Interview

นพ.เศรษฐวินท์ สัจจะพรเทพ

นพ.เศรษฐวินท์ สัจจะพรเทพ
SONGNAE CLINIC
“ถ้าอยากมีความสุขตามคนอื่น ก็จะไม่มีวันค้นหาความสุขที่แท้จริงของตัวเองได้… ควรจะมีความสุขในแบบที่เรามีความสุขดีกว่า”

คุณแม่ของผมมีโรคประจำตัวเยอะ ก่อนที่ผมจะเกิด คุณหมอเคยบอกว่าท่านร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ควรจะมีลูก แต่ท่านก็ฝืนอยากมีลูก และปลูกฝังให้ผมอยากเป็นหมอมาตลอด แต่ก่อนจะได้เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ผมคิดว่าอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่อยู่หลายอย่าง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะสอบติดคณะอะไร เพราะตลอดการเรียนที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็คิดแค่ว่า ต้องตั้งใจเรียน ทำให้ดีที่สุด และด้วยผลการเรียนที่ทำได้ดีพอสมควร จึงยื่นสมัครในคณะที่เกี่ยวกับสุขภาพก่อน เมื่อติดคณะแพทย์แล้วก็ไม่ได้สมัครเรียนอะไรต่อไปอีก

เส้นทางชีวิตมันเหมือนกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมาทำงานด้านนี้ จากเด็กวัยรุ่นที่มีเวลาเยอะ เวลาที่จะใช้เที่ยวเตร่ ทำเรื่องสนุกสนาน เวลาเหล่านั้นก็หายไป เพื่อใช้โฟกัสไปกับการอ่านหนังสือ แต่ผมก็ยังชอบทำกิจกรรมอยู่เสมอถ้ามีเวลา ระหว่างเรียนถ้าคณะฯ มีกิจกรรมอะไรก็พยายามเข้าไปช่วย อย่างเช่น เชียร์ รับน้อง ฯลฯ เป็นชีวิตที่สนุกสนาน ได้เจอกับเพื่อนๆ มีสังคม เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงหนึ่งในชีวิต

ผมว่ามันสมองของผมเองไม่ได้ดีนะ แต่คิดว่าผมมีความพยายามมากกว่า เมื่อรู้สึกว่าเราด้อยกว่าเพื่อนคนอื่น ก็ต้องขยันกว่าเขา ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน ผมแบ่งเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวไว้ส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งทำกิจกรรมที่ชอบ ที่เหลือก็จะทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือ และสิ่งที่ถนัดอีกอย่างก็คือ การเล่นต่อคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งเล่นมาตั้งแต่ ม.1 จนถึงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย และไปแข่งตามเขตการศึกษาต่างๆ จนได้เป็นที่หนึ่งของเขตการศึกษา

ผมมีความเป็นตัวของตัวเองสูง คนอื่นๆ อาจจะทำตามครรลองที่ปฏิบัติต่อๆ กันมา เช่น เมื่อเรียนจบ ใช้ทุนจนครบกำหนดแล้วไปเรียนต่อเฉพาะทาง แต่ผมใช้ทุนไปแค่ปีเดียวก็อยากทำอะไรใหม่ๆ เลยออกมาหาโอกาสดีๆ ในกรุงเทพฯ ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย เวลาเริ่มต้นทำงานหลังเรียนจบใหม่ๆ ก็ต้องประหยัดทุกอย่าง แล้วยังต้องส่งให้พ่อให้แม่ จำได้ว่าพอได้เงินก้อนแรกมาก็นำไปซื้อรถยนต์มือสองเท่าที่จะพอจ่ายไหว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการไปทำงานหลายๆ แห่ง ไม่ต้องดูดีก็ได้ ขอแค่ให้ไปถึงจุดหมายปลอดภัยก็พอแล้ว ผมใช้รถคันนี้อยู่หลายปี จนกระทั่งชีวิตเริ่มลงตัวขึ้น

สาขาความงามไม่ได้มีหลักสูตรเป็นแพทย์เฉพาะทาง แต่จะเป็นหลักสูตรเฉพาะ เปิดเป็นคอร์สๆ ไป ผมก็เข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ มาโดยตลอดระยะเวลาที่ทำงาน และยังได้ลงเรียนคอร์ส Diploma in Practical Dermatology ที่ Cardiff University ประเทศอังกฤษ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคผิวหนัง ตอนเรียนก็เหนื่อยมากกว่าจะจบหลักสูตร เพราะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เลิกงานแล้วก็ต้องไปหาร้านกาแฟที่เปิดดึกๆ หรือ เปิด 24 ชั่วโมง เพื่ออ่านหนังสือ ทำรายงานส่ง

หลังจากทำงานในกรุงเทพฯ ได้ราว 2-3 ปี ก็มีคนที่เชื่อว่าเราทำงานได้ดี มาให้คำแนะนำว่าน่าจะลองเปิดคลินิกเอง พอดีเขาเห็นว่ามีสถานที่ที่เหมาะกับการเริ่มต้นของเราพอดี ทำให้ผมได้เริ่มเปิดคลินิกแห่งแรกแถวลาดพร้าวตั้งแต่ตอนนั้น เน้นการดูแลความงามในเรื่องการฉีดเป็นหลัก เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม เลเซอร์ ฯลฯ คนไข้ก็จะเป็นกลุ่มเพื่อนๆ แล้วมีการบอกต่อ โดยผมก็จะมาทำคลินิกในช่วงหลังจากเลิกงานประจำ ทำให้ต้องนอนดึกอยู่ตลอด

ทำไปได้สักพักจนเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ บังเอิญว่าเพื่อนได้ชวนไปเปิดคลินิกอีกแห่งที่อ่อนนุช ชื่อ ซองเน โดยมีเพื่อนดูแลเรื่องการตลาด อีกคนดูบัญชี ส่วนผมดูแลเรื่องการแพทย์ แต่ทำไปได้สักพักก็รู้สึกว่าการตลาดยังไม่ค่อยแข็งแรงทำให้มีแนวโน้มว่าจะไปไม่ไหว ในขณะที่คลินิกเล็กๆ ของเรากลับไปได้ดี ผมจึงขอเทคโอเวอร์คลินิกซองเนที่อ่อนนุชมาเป็นของตัวเอง และทำสองคลินิกพร้อมกัน

เมื่อคนไข้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เราต้องการมากขึ้นก็คือ ความน่าเชื่อถือ คงไม่เหมาะที่จะอยู่คลินิกเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว อยากเปิดตัวให้ทุกคนรู้จักตัวเรามากขึ้น สำหรับคนที่อยากจะเสริมความงามแต่ไม่กล้าจะไปคลินิกเล็กๆ ได้มีโอกาสมาหาเรา จึงตัดสินใจปิดสาขาเดิม และมาเปิดที่ลาดพร้าว 34 ซึ่งสถานที่สะดวกสบายกว่ามาก ควบคู่ไปกับสาขาอ่อนนุช โดยผมเป็นหมอคนเดียวที่ดูแล ถ้าเป็นเรื่องอื่นถึงจะมีคุณหมอท่านอื่นเข้ามาช่วย

ชื่อ ซองเน มาจากภาษาเกาหลี มีความหมายมาจาก กึมซอง แปลว่า ดาวศุกร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความสวยความงามบนฟากฟ้า แล้วชื่อก็ยังสื่อถึงการช่วยดูแลความสวยความงามสไตล์เกาหลีด้วยในบางส่วน แต่ทั้งนี้การตกแต่งการเสริมความงาม ก็ต้องดูพื้นฐานดั้งเดิมด้วยว่าเหมาะสมกับการเติมแต่งแค่ไหนถึงจะออกมาได้ตรงใจที่สุด

จริงๆ แล้วก่อนที่จะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมจมูก ก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะเลือกทำเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเมื่อตอนยังเรียนอยู่ ครั้งแรกเล็งว่าจะเรียนเฉพาะทางด้านอายุรกรรม พอทำไปจริงๆ แล้วรู้สึกว่าชอบทางด้านความงามด้วย คิดว่าตัวเองน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านทำให้คนอื่นสวยขึ้นได้ เลยสนใจทางนี้เป็นพิเศษ และไปเรียนเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม การยิงเลเซอร์ และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยตอนแรกจะไม่มีการใช้มีดเลย เป็นการฉีด หรือใช้เครื่องมือ เลเซอร์ยกกระชับ จนทำมาได้ 2-3 ปี เริ่มอยู่ตัว อยากจะหาอะไรใหม่ๆ มาลองทำบ้าง จึงไปเรียนเรื่องการทำศัลยกรรมจมูก แต่ ณ ตอนนั้นก็คิดเสมอว่าไม่ได้ชอบผ่าตัดมากเท่าไหร่ อาจจะไม่เหมาะกับเรา แต่ก็ลองทำดู พอเริ่มผ่าไปเคสสองเคส ผลตอบรับกลับมาดี เริ่มมีการบอกต่อ จนมีคนสนใจมาทำจมูก มากกว่าการฉีด จากที่เคยมีคนรู้จักในเรื่องการฉีด ก็กลายเป็นมาหาเพื่อทำศัลยกรรมจมูก จนเราเปิดเน้นเรื่องนี้เป็นหลักเลย และยังมีการเสริมหน้าอกอีกด้วย ส่วนหัตถการบางอย่างไม่ได้ทำเอง เพราะคิดว่าตอนนี้ขอโฟกัสแค่บางเรื่องที่ตัวเองถนัดดีกว่า

สิ่งที่ทำจะเน้นความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ถึงอยากจะได้จมูกโด่งแค่ไหนก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของธรรมชาติ อย่างคนที่เกิดมาแล้วจมูกโด่งมากมาตั้งแต่เกิด เราก็จะพยายามเลียนแบบลักษณะนั้น เพราะถ้าอะไรที่มากเกินไปก็จะขัดใจเรา ต้องเอาออกบ้าง ถึงแม้บางคนอาจจะอยากได้แบบที่มองแล้วรู้เลยว่าทำมา เราก็ต้องเอาความต้องการเขามาสมดุลกับเนื้อจมูกเดิมที่มี แล้วมาขัดเกลาด้วยความคิดของเราว่าความเด่นที่เกินออกมานั้นจะแค่ไหน เพื่อให้เราพอรับได้ และลดของเขาลงมาแค่นิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ตรงใจทั้งสามส่วน ทั้งเขาทั้งเราและเนื้อจมูก บางรายนำรูปดาราเกาหลีมาให้ดู ซึ่งเราก็บอกว่าสามารถทำให้ใกล้เคียงได้ แต่บางครั้งคุณไม่ได้ชอบจมูกเขา แต่คุณดูภาพรวม ดูผิว ดูดวงตา แล้วชอบ ถ้าเราทำจมูกให้สวยเหมือนเขาได้ แต่ส่วนอื่นๆ คุณก็ยังไม่เหมือน ทั้งนี้ต้องดูองค์รวมเพื่อให้เข้ากับใบหน้าทั้งหมด

ในอนาคตเราเล็งไว้ว่าจะเปิดให้บริการในส่วนอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาอีก เช่น การดูด การเติมไขมัน เส้นผม ฯลฯ กำลังหาคนมาช่วยอยู่ เพราะทำเองคนเดียวทั้งหมดคงไม่ไหว กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา เพราะสถานที่ของเราเพียงพอกับการให้บริการได้อย่างสบาย

ผมยังให้ความสนใจในเรื่องศิลปการแสดง ก็นับว่าเป็นอีกกิจกรรมที่ให้ความสนใจและสนุกกับการเข้าไปมีส่วนร่วม ได้ลองเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์มาบ้าง ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่อีกอย่างหนึ่ง และเรายังได้เสนอโครงการผลิตละครเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นให้กับช่องโทรทัศน์ ซึ่งผมคงจะทำหน้าที่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและความเมตตาของผู้บริหารว่าจะเปิดโอกาสให้เรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราเป็นผู้จัดหน้าใหม่ก็อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะได้เริ่มมีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชน

เพราะผมเลิกงานดึก เวลาทานอาหารก็ดึกตามไปด้วย แต่ก็ยังคงหมั่นออกกำลังกายด้วยการไปเข้ายิมฯ หลังเที่ยงคืน ซึ่งผมคิดว่าการได้ออกกำลังกายบ้าง ถึงแม้จะไม่เต็มที่และเวลาอาจจะผิดแปลกไปจากคนอื่นสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าการไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย เพราะเมื่อวัยเริ่มสูงขึ้น ร่างกายมีแต่จะถดถอย หากเราไม่รู้จักดูแลสุขภาพบ้าง ก็ยิ่งจะทำให้ร่างกายแย่ลงไปอีก อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการควบคุมอาหาร ผมโชคดีที่มีน้องๆ ช่วยกันหาอาหารคลีนที่มีประโยชน์มาให้ทาน เพราะรู้ว่าผมไม่ค่อยมีเวลาที่จะดูแลในเรื่องนี้เอง และพยายามเลี่ยงของหวานๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองชอบมาก อะไรที่ไม่มีต่อสุขภาพก็จะพยายามเลี่ยง

ผมเริ่มชินกับความวุ่นวาย ชีวิตในโลกมนุษย์ใบนี้ ยังไงแล้วทุกคนก็หนีไม่พ้นความวุ่นวายไม่จบสิ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำงานเยอะกว่านี้ หรือทำน้อยกว่านี้ ก็ต้องวุ่นวายเหมือนเดิมอยู่ดี ก็แค่พยายามมองให้เป็นเรื่องปกติ เรื่องไหนที่ทำความเดือนร้อนให้มาก ก็พยายามไม่เอามาใส่ใจ หาความบันเทิงอื่นๆ มาให้ตัวเองบ้าง หรือพาคุณแม่ไปเที่ยวบ้าง และผมเองก็ชอบไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ใช่เพราะบ้านเราไม่มีสถานที่ดีๆ นะ แต่รู้สึกว่า เวลาอ่านหนังสือหลายเล่มก็อยากจะลองอ่านเล่มที่มีความแตกต่างกันเยอะๆ บ้าง ออกไปหาประสบการณ์ที่แปลกออกไป

ไม่ว่าเราจะทำงานหนักแค่ไหน ได้ผลตอบแทนมากมาย แต่ถ้าคุณภาพชีวิตไม่ดี ทุกวันไม่มีความสุข รู้สึกว่าหาเงินมาเพื่อจ่ายแต่หนี้ ทำไปเท่าไหร่ก็มีแต่ทุกข์ ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานมากมาย เราควรมีความสุขระหว่างทางที่ใช้ชีวิต อย่าไปตกหลุมพรางในเรื่องที่จะทำให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์ แล้วก็อย่าไปใส่ใจคนอื่นมาก หากว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเราอยากมีความสุขตามคนอื่น เราก็จะไม่มีวันค้นหาความสุขที่แท้จริงของตัวเองได้ ควรจะมีความสุขในแบบที่เรามีความสุขดีกว่าครับ