Interview

เลอภพ โสรัตน์

เลอภพ โสรัตน์
หัวหน้าข่าวกีฬา เดลินิวส์
นายกสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย
“คิดใหม่ ทำใหม่ อยู่เสมอ”

คุณพ่อผมเป็นครูใหญ่สอนหนังสือในโรงเรียนที่ โนนทอง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมาก ผมมีพี่สาว 5 คน ผมเป็นคนสุดท้อง พอพี่ๆ เรียนจบ ป.4 พ่อตัดสินใจให้แม่ย้ายเข้ามาในเมืองก่อนเพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือ ส่วนผมก็อยู่กับพ่อจนเรียนจบ ป.4

พ่อสอนเสมอว่า เมื่อได้รับโอกาส ก็ต้องรู้จักให้โอกาส ซึ่งท่านทำเป็นตัวอย่างให้เห็นด้วย ตอนย้ายเข้าเมืองคุณพ่อได้บริจาคที่ดินที่เราอาศัยให้กับโรงเรียนทั้งหมด แล้วจากครูใหญ่บ้านนอกก็กลายมาเป็นครูน้อยในเมือง เพราะต้องการให้ลูกๆ ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียน

ครอบครัวเราไม่มีทรัพย์สินให้แบ่งกัน คุณพ่อจึงส่งพวกเราให้เรียนหนังสือจนจบระดับปริญญากันทุกคน เพราะถ้าไม่เรียนก็จะไม่มีอะไรทำ พี่ๆ ทุกคนรับราชกันหมด มีผมคนเดียวที่แยกตัวออกมา

ช่วงเรียนหนังสือ ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าอยากจะเป็นอะไร รู้อย่างเดียวแค่ว่า ไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะเห็นชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งคุณพ่อ พี่ๆ จนรู้สึกว่าไม่ชอบ อยากจะทำงานที่ไม่ใช่งานราชการบ้าง ตอนเรียนมัธยมปลาย ผมสนใจอยากจะเรียนทางด้านนิติศาสตร์ จนไปสมัครที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงไว้ แล้วก็บังเอิญสอบติดคณะครุศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณพ่อก็สนับสนุนให้เรียน บอกว่าถ้าไม่ใช่งานทางสายวิชาชีพโดยตรง เช่น แพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ การเรียนทางด้านสังคมศาสตร์เป็นพื้นฐานของงานอื่นๆ ได้หมด

การเข้ามาเรียนจุฬาฯ เป็นการเข้ากรุงเทพฯ ครั้งที่ 2 ของผม ความยากลำบากในการปรับตัวช่วงแรกๆ ค่อนข้างเยอะ มาอาศัยอยู่กับอาที่เคยเป็นลูกน้องพ่อ ต้องเดินทางจากแถวดอนเมืองไปเรียนจุฬาฯ ทุกวัน จนกระทั่งขอหอพักได้

สมัยผมเรียนที่โรงเรียนแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น ผมไม่ใช่นักกีฬาที่โดดเด่น ทำกิจกรรมมาก็น้อย เรียนพิเศษก็ยังไม่เคย เพราะขีดจำกัดของครอบครัวทำให้ไม่สามารถสนับสนุนเราในเรื่องการออกสู่สังคมได้อย่างเต็มที่ จนเมื่อได้มาเรียนจุฬาฯ ทำให้มีโอกาสได้ทำงานมากขึ้น มีทุนการศึกษา มีทุนกิจกรรม ทำให้ผมเปิดตัวในสิ่งที่อยากจะเป็นได้เร็ว ผมชอบติดต่อ ชอบการประสานงาน ชอบทำกิจกรรมช่วยเหลือ อยู่ในกลุ่มค่ายฯ การอยู่ในหอพักจุฬาฯ ทำให้ได้เจอเพื่อนๆ ต่างคณะมากมาย ได้ทำงานร่วมกัน เป็นการเปิดโลกใบใหม่ให้กับผม ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโอกาสจะทำได้เลย ทำให้ได้เป็นประธานนิสิต ประธานกีฬา ประธานชมรมฯ ทำโน่นทำนี่เยอะมาก รวมถึงการมีส่วนร่วมในฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์

ผมเรียนในเรื่องการสอนพลศึกษา สอนกีฬา แต่เล่นกีฬาไม่ค่อยเก่ง แค่เล่นได้เรื่อยๆ ทุกประเภท ถนัดที่สุดคงเป็นซอร์ฟบอล ซึ่งสมัยเรียนแก่นนคร มีรุ่นพี่ไปสอนไว้ ทำให้เกิดทีมขึ้น และยังเป็นกีฬาที่แปลกในบ้านเรา ดูแล้วสนุกดี พอมาจุฬาฯ ก็ได้นำมาใช้ ได้เล่นในสโมสรอุตุนิยมฯ บ้าง ส่วนกีฬาที่เหลือก็เล่นเป็นกิจกรรมรวมกลุ่มต่างๆ สมัยนั้นมีนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมาซ้อมอยู่ที่สนามเทพฯ ใกล้ๆ จุฬาฯ ผมก็เดินข้ามมาดู และยังมีคณะพลศึกษาของ มศว. เพื่อนๆ ก็อยู่ในนั้น ทำให้มีพรรคพวกในแวดวงกีฬาเต็มไปหมดจากที่นั่น ตอนกำลังจะจบเพื่อนๆ ก็หาสอบสมัครงานเพื่อเป็นครู แต่ผมรู้สึกว่าไม่ชอบอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มก็ไม่มุ่งมั่นทางสายนี้ ก่อนจะจบผมได้เจอรุ่นพี่ให้คำแนะนำว่า ให้ไปสมัครงานที่ หนังสือพิมพ์วัฏจักร ซึ่งกำลังจะเริ่มต้นเปิดหน้ากีฬาพอดี ผมก็เข้าไปสมัครแล้วได้งานทันทีเลย งานแรกที่ทำคือ ทดสอบให้ผมมาสัมภาษณ์ผู้บริหารของการกีฬาแห่งประเทศไทย

โชคดีที่ทำงานแล้วมีรุ่นพี่ทางสายพลศึกษาเยอะมาก ทำให้การรับการช่วยเหลือ ช่วยชี้แนะ พาผมเข้าไปหาคนโน้นคนนี้ เมื่อคุ้นเคยกันอยู่แล้วทำให้ทำงานได้ง่าย ส่งผลดีต่ออาชีพมากๆ ที่ไม่ต้องไปเริ่มจากศูนย์ ส่วนใหญ่การทำงานของผมจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ชนิดกีฬา แต่จะไปสนใจในเรื่องการประชุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬา เช่น การประชุมโอลิมปิค การประชุมกรรมาธิการในสภาผู้แทนฯ การประชุมบอร์ดของการกีฬาฯ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายทางการกีฬา แต่ละครั้งใช้เวลานาน ผมจะไปร่วมนั่งฟัง แล้วสรุปเนื้อหาออกมา

ชีวิตการทำงานของผมจะแกว่งไปแกว่งมาอยู่ในช่วงแรกๆ ยังมีความคิดที่อยากลองโน่นทำนี่ เคยออกไปเป็นฝ่ายบุคคล ไปฝึกอบรมจนได้ใบประกาศฯ แรงงานสัมพันธ์, ความปลอดภัยในโรงงานเบื้องต้น แต่ก็ยังรู้สึกไม่ชอบ พอดีมติชนเปิด สปอร์ตนิวส์ รุ่นพี่ที่จุฬาฯ เรียกให้ไปช่วยผมก็ไปอีก อยู่จนรุ่นพี่ออกก็ออกตาม หันกลับมาใช้ความรู้เดิมที่เคยได้ใบประกาศ ไปทำงานกับบริษัทไต้หวัน ทำอยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกไม่สนุก ยิ่งพอเห็นเพื่อนๆ สายข่าวกีฬาที่เคยทำงานด้วยกันมาได้ไปโน่นมานี่ ก็อยากจะกลับเข้าวงการข่าวกีฬาอีก แล้วก็ได้เข้ามาอยู่ที่ เดลินิวส์ จนมาถึงทุกวันนี้

เดลินิวส์ เปิดโอกาสให้ผมได้ทำงานในสิ่งที่อยากจะทำ ผมชอบเขียนเพราะชอบอ่าน ขอโอกาสเขียนมาเรื่อยๆ ทำงานอยู่ 10 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้า ทั้งนี้ก็เพราะ เราชอบคิด ชอบทำ ขณะที่ผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน โดยเรื่องถนัดของผมยังเป็นแนวนโยบาย ผมอาจจะเป็นผู้สื่อข่าวคนเดียวที่เคยไปร่วมงานกีฬาสำคัญๆ แต่เลือกจะไม่ไปดูเกมส์การแข่งขันที่คนส่วนใหญ่อยากดูกัน ชอบอยู่วงนอกเพื่อนำเสนอมุมมองอื่นๆ แทน อย่างการประชุม ที่ได้รับฟังแนวคิดจากคนแต่ละระดับในเรื่องของกีฬาชนิดต่างๆ

ผมเริ่มทำงานตั้งแต่สมัยเทคโนโลยียังไม่สะดวกสบายแบบปัจจุบัน ทำให้ต้องหัดเป็นคนจดบันทึกเก่งด้วยความจำเป็น เพราะไม่จดเองก็ไม่รู้จะไปค้นจากที่ไหน ชอบจดจนติดเป็นนิสัยส่วนตัว ผิดกับปัจจุบันสามารถใช้เทคโนโลยีในการสืบค้นเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่า เป็นประโยชน์กับงานที่ทำ

การคิดใหม่ทำใหม่อยู่เสมอเป็นสิ่งท้าทาย ที่เดลินิวส์ ผู้ใหญ่ให้เราคิด ให้เราทำ ให้เราเถียง ในสิ่งที่จะช่วยกันพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่หยุดนิ่ง อยากจะคิดอยู่เรื่อยๆ ทำอย่างไรถึงจะแข่งขันกับผู้อื่นได้ แม้แต่ในปัจจุบันก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง ปรับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับสื่อสมัยใหม่ชนิดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย ทำให้ผมต้องคอยสอนน้องๆ อยู่เสมอว่า เราต้องชัดเจนกับความไม่อยู่นิ่ง

ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนเงียบๆ ง่ายๆ อะไรก็ได้ ที่สำคัญคือ รักพี่รักน้อง ทำให้มีโอกาสได้ทำงานดีๆ เยอะ ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬา หรือเรื่องอื่นๆ พี่ๆ น้องๆ ก็จะช่วยกันผลักดันส่งเสริม ให้เข้าไปเป็นกรรมการต่างๆ อยู่เสมอ สิ่งสำคัญก็คือ เราฟังคนอื่นมาเยอะ เหมือนกับได้อ่านหนังสือมาเยอะ เมื่อคนเห็นว่าเราได้ฟังมาเยอะ เขียนมาเยอะ ก็ให้เกียรติในการไปร่วมพูดบ้างเป็นมุมสะท้อนหนึ่งในสายวิชาชีพ โดยอาศัยจากข้อมูลที่เรามี ข้อมูลจากคนอื่น มาใช้ร่วมกัน ทำให้มีตำแหน่งต่างๆ ตามที่เราสามารถจะช่วยเขาได้อย่างเต็มที่

ผมโชคดีที่ได้เข้าไปช่วยงานในสายการศึกษาค่อนข้างเยอะ เป็นประธานคณะกรรมส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยของราชภัฏสวนสุนันทา, ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และดูแลคุณภาพหลักสูตรของสื่อสารการกีฬา นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ฯลฯ

หลังจากจบปริญญาโทนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต มาระยะหนึ่งแล้ว ผมยังอยากทำงานวิจัยเป็น จึงตั้งใจไปเรียนต่อ รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ เป็นรุ่นแรก โดยมีอาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ จากหลากหลายสาขามาให้ความรู้ โดยผมทำงานวิจัยเรื่อง บทบาทสื่อมวลชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไทย ซึ่งผมเป็นคนชอบสถิติ ชอบเรื่องข้อมูล ตั้งแต่อดีต รู้สึกดีใจที่ผลการวิจัย ได้นำไปใช้ คณะกรรมมาธิการการมีส่วนร่วมทางการเมือง เคยนำงานวิจัยนี้ไปพิมพ์แจกให้คณะกรรมมาธิการ สมาชิกสภาผู้แทนฯ กสทช. ที่ทำงานเรื่องสื่อสารมวลชน ก็นำไปใช้อ้างอิงเป็นหลักส่วนหนึ่ง นำผลของการศึกษาไปใช้เป็นคำนิยามศัพท์ในงานวิจัยของเขา นั่นแสดงว่า งานวิจัยของเราได้รับการยอมรับ ซึ่งผลสรุปแบบสั้นๆ ของงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ถ้าสื่อมวลชนมีเสรีภาพมากเท่าไหร่ จะช่วยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากเท่านั้น

การศึกษาเรื่องเหล่านี้ สามารถนำมาช่วยมองในเรื่องการกีฬาด้วยเช่นกัน การมีส่วนร่วมของการกีฬาก็เหมือนกันกับทางการเมือง มีขั้นตอนที่คล้ายคลึงกัน ก่อนที่เข้ามาทำงานในหน้าที่ต่างๆ คุณต้องเรียนรู้อะไรมาบ้าง นำมาประยุกต์ใช้ด้วยกันได้

ผมช่วยงานในสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาฯ มาตั้งแต่ปี 2536 มาเป็นเลขาฯ ให้กับ พี่ตุ๋ย (ศิวดล ชวลิตปรีชา) นายกสมาคมฯ ที่ทำงานด้วยกันมายาวนานมาก ช่วยงานทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมาย งานหลักอย่างหนึ่งคือทำกิจกรรม วันนักกีฬายอดเยี่ยม แล้วก็เรียนรู้งานต่างๆ มาเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ ไม่คาดคิดว่าจะได้รับเกียรติอย่างสูงให้มารับผิดชอบตำแหน่งนายกสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย แรกๆ ก็มีความกังวล ห่วงว่าจะทำงานนี้ได้ไม่ดี เพราะต้องอาศัยความร่วมมือเยอะมากจากพี่ๆ น้องๆ เป็นงานจิตอาสาที่ไม่มีค่าตอบแทนให้ แต่ทุกคนก็ให้กำลังใจผม รุ่นพี่ๆ อาวุโสก็ให้คำแนะนำที่ดี จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว เริ่มมีคนเข้ามาช่วยมากขึ้น เมื่อก่อนสมาคมฯ อยู่ที่สนามศุภชลาศัย ตอนนี้ก็ย้ายมา รัชมังคลากีฬาสถาน เป็นการถาวร…
นอกเหนือจากพันธกิจเดิมที่เราให้บริการสมาชิกอยู่แล้ว เรากำลังจะลุยเข้าไปสู่การช่วยเหลือ สนับสนุน บุคลากรทางวงการกีฬาให้มากขึ้น บางเรื่องก็เริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น สถานศึกษาต่างๆ ที่เปิดหลักสูตรเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนทางการกีฬา จะเป็นการนำวิชาชีพของเราเข้าไปสู่วิชาการ เพื่อช่วยเหลือ เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป จากการที่เราได้เข้าไปมีส่วนร่วม ได้ไปวิพากษ์หลักสูตรในสถาบันต่างๆ ทำให้เห็นว่า เขาไม่มีบุคลากรทางด้านวิชาชีพเข้าไปสอน เวลาเด็กจบออกมาทำงาน ก็ไม่รู้เรื่องว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรบ้าง เราจะทำให้เขาได้เห็นภาพข้างนอกตั้งแต่เมื่อยังเรียนอยู่ ซึ่งผมได้เริ่มทำจากความสนิทส่วนตัวก่อน และได้ยกระดับให้ขึ้นมาเป็นทางการ เพราะขณะนี้เรามีความพร้อมทางด้านบุคลากรเป็นอย่างยิ่ง

ผมอยากจะเปิดพื้นที่ของสมาคมฯ ให้เป็นพื้นที่ของสมาชิกทุกท่าน ใครมีอะไรก็เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันได้ เหมือนกับเราได้มีบ้านของเราเองแล้ว อยากให้น้องๆ ได้มีโอกาสสานงานต่ออีกด้วย

ณ วันนี้ สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย เรามีบุคลากรที่พร้อมมาก เราได้สมัครเป็นสมาชิกของสหพันธ์สื่อมวลชนทางด้านกีฬานานาชาติ มีการจัดแบ่งงานรับผิดชอบในส่วนต่างๆ ในฝ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน เรากำลังเตรียมการเพื่อออกไปช่วยเหลือสังคมภายนอกอย่างเต็มที่ สมัยก่อนเราอาจจะปิดกั้นตัวเองเพราะต้องทำงานกันเป็นช่วงเวลา แต่ต่อไปจะมีบุคลากรมานั่งประจำ สามารถติดต่อได้ตามเวลาปฏิบัติงาน เราเชื่อว่า สมาคมฯ ของเราพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันกับทุกสายงาน

ผมมักจะให้กำลังใจตัวเองเสมอ มองโลกในแง่ดี ในเรื่องการทำงานก็จะมองคนอย่างเข้าใจ ต้องให้มองออกว่าแต่ละคนมีศักยภาพแค่ไหน อย่าไปคาดหวังว่าทุกคนจะทำทุกเรื่องได้เหมือนกันหมด แล้วมอบหมายงานตามความสามารถ ทั้งเราและเขาก็จะไม่เครียด ทุกอย่างผิดพลาดกันได้ หากเกิดจากความไม่ตั้งใจ ก็ต้องรู้จักให้อภัย ให้โอกาสกัน และถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขมากๆ ก็อย่าไปซีเรียสกับทุกเรื่องให้มากเกินไปครับ