Interview

ไกรกิติ ทิพกนก

ไกรกิติ ทิพกนก
ผู้จัดการทั่วไป
PHANHIN REGENT BOWIN SRIRACHA
บริษัท สวนพานหิน จำกัด
“ดูแลกันและกัน”

ผมเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ คุณพ่อคุณแม่มักจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน ผมจึงมีความฝันแบบเด็กๆ ว่า จะมีธุรกิจอะไรที่ทำให้คนในบ้านได้อยู่ร่วมกันได้ทั้งหมดแบบจริงๆ จังๆ ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้ จนกระทั่งโตขึ้นก็พบว่า ธุรกิจโรงแรมน่าจะตอบโจทย์ได้ตรงที่สุด ผมจึงค่อนข้างจะชัดเจนกับตัวเองมากว่าจะเลือกเดินสายนี้ จึงเลือกเรียนการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต

อีกสิ่งที่เป็นแรงผลักดัน คือได้เห็นการต้อนรับแขกที่เข้ามาหาคุณพ่อที่บ้านอยู่เสมอ ผมต้องทำหน้าที่คอยดูแล คอยจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย ทำมาจนชินกับเรื่องแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นคนเหนือช่วงสงกรานต์ทุกปีจะจัดงานรดน้ำดำหัวกัน มีคนเข้ารวมที่บ้านกันเยอะ ผมก็เหมือนกับหัวโจก คอยพาน้องๆ ลูกของแขกไปเที่ยวเล่นในสวน แล้วก็มาคอยเตรียมเครื่องดื่มให้ผู้ใหญ่ ซึ่งที่บ้านเรื่องอาหารการกิน เครื่องดื่ม จะเตรียมไว้พร้อมอยู่ตลอดเวลา แขกเข้ามาเมื่อไหร่ต้องมี ผมก็ชินในบรรยากาศแบบนั้น จนรู้สึกว่าการดูแลต้อนรับ ไม่ใช่เรื่องยาก รู้สึกว่าสนุกด้วยซ้ำ เพราะเมื่อได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ หรือได้รางวัลบ้าง นั่นคือความสุข เป็นความทรงจำทางด้านบวกกับงานด้านการบริการ เมื่อโตขึ้นมาจึงไม่รู้สึกว่า เป็นงานของผู้รับใช้ หรือดูไม่มีศักดิ์ศรี ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ที่เราสามารถทำให้คนมีความสุขได้

กิจกรรมที่ทำตั้งแต่สมัยเด็กก็จะเล่นฟุตบอลบ้าง แต่ที่ชอบจริงๆ คือดนตรี ผมเล่นกีตาร์ แล้วฝึกฝนจากงานอดิเรกจนเป็นอีกหนึ่งอาชีพมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งแต่งเพลง โปรดิวซ์ ดูแล ศิลปิน หรือทำเพลงออกมาสำหรับเทศกาลพิเศษต่างๆ มีผลงานออกมาเรื่อยๆ ทำงานในห้องอัดเสียง ร่วมกับศิลปินเก่งๆ มากมายหลายท่าน เพื่อทำงานดนตรีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ผมเป็นคนชอบงานกวีนิพนธ์ แต่การนำเสนอนั้นยากมาก โชคดีที่ผมเล่นดนตรีได้ จึงนำมาผสมผสานให้เกิดเป็นเพลงออกมา ส่วนจะให้ใครนำไปร้องนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ดนตรีเป็นงานอดิเรกที่กลายมาเป็นสิ่งเราหารายได้ได้ การทำงานด้านดนตรีเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ยิ่งด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ ทุกอย่างทำได้ง่ายขึ้น แล้วก็มีการร่วมงานหลายระดับตั้งแต่ นิดๆ หน่อยๆ ร่วมกันท่านอื่นๆ จนถึงแต่งเองหมดทั้งเพลงก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นแนวป๊อปยุค 90 ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง มีแนวเพลงหลากหลาย ดนตรีฟังง่าย ภาษาสวย คนไทยเราชอบเพลงในแนวนี้ ผลงานที่สร้างออกมาก็มีอยู่พอสมควร ขึ้นอยู่กับเวลาว่าง เพราะผมเชื่อว่าคนเราต้องทำอะไรให้สุดๆ ทำงานก็ต้องทำให้จริงจัง พักก็พัก เล่นก็เล่น

เมื่อเรียนจบปริญญาตรีผมก็มุ่งเดินหน้าสายงานโรงแรม ทำงานในเครือแอคคอร์จนได้ทุนไปฝึกงานที่ประเทศเนเธอแลนด์ประมาณครึ่งปี ทางด้านงานบริหารโรงแรม ผมไม่ลังเลเลยในการเดินทาง เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็ต้องคว้าไว้ เพื่อเรียนรู้ให้เข้าใจถึงวิถีชีวิต นิสัย ของคนในภูมิภาคยุโรป แล้วเราก็จะยิ่งรู้จักตัวเองได้ชัดเจนขึ้นไปอีก อะไรที่ทำ ก็ทำอย่างชัดเจน อะไรที่ไม่ทำก็พูดตรงๆ ผมก็ติดมาด้วยจนถึงทุกวันนี้ กลับมาทำงานอีกปี ก็สอบได้ทุนจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยรังสิตร่วมกับเบอร์มิงแฮมไปเรียนอังกฤษ

หลักสูตรที่ไปเรียนเป็นระดับเดียวกับปริญญาโท ที่เบอร์มิงแฮม เป็นการเรียนจากการให้กรอบเนื้อหาของอาจารย์ แล้วเราก็ต้องมาตั้งโจทย์เอง หาคำตอบเอง จากเคสจริงๆ ที่เราศึกษา ผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ใช้เวลาถึง 4 ปี เพราะอยากอยู่ที่นั่น อยากได้ประสบการณ์เยอะๆ อยู่จนรู้ว่า คนอังกฤษเป็นคนอ้อมๆ คล้ายๆ กับคนไทย ขี้เกรงใจ สุภาพ

โปรเจคที่ผมสนใจอย่างหนึ่งในการเรียนคือ การส่งต่อธุรกิจโรงแรมจากรุ่นสู่รุ่นของแฟมิลีโฮเทล ไปศึกษาหาข้อมูลจากโรงแรมกิลบิ้นลอจ์ดที่วินเดอร์เมียร์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นการสืบทอดธุรกิจจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก สิ่งที่ได้ข้อมูลกลับมาก็คือ การเชื่อมต่อของแบรนด์เก่าและใหม่ จะทำอย่างไรให้องค์ความรู้เดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ให้ตามมาในวันที่มีการเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นจะเสียลูกค้าไป

แบรนด์ดิ้ง คือชื่อเสียงขององค์กร เสมือนกับ ดีเอ็นเอ ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมือธุรกิจไปสู่รุ่นอื่น ก็ต้องมีอะไรที่เหมือนกัน บางสิ่งส่งมอบได้ และมีบางสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เช่นเดียวกับของพานหิน ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนรูปโฉมให้เป็นโรงแรมสากลมากขึ้น แต่ดีเอ็นเอดั้งเดิมก็ยังคงได้รับการถ่ายทอดมา เช่นในเรื่องความอบอุ่น ความเอาใจใส่ รายละเอียดในความยืดหยุ่นในการบริการ

ทั้งการศึกษาที่ได้รับมา บวกกับความตั้งใจของเรา ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คล้ายๆ กัน นั่นคือ คนในรุ่นก่อน ซึ่งถือว่าเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เรียกกันว่า เบบี้บูม คนยุคนี้จะเป็นกลุ่มบุกเบิก เป็นผู้สร้าง ผู้ฟื้นฟู หลังจากผ่านช่วงสงครามมา ส่วนรุ่นต่อมาคือเจนเอ็กซ์ คือรุ่นของการสานต่อ เป็นผู้สนับสนุน ช่วยรุ่นพ่อรุ่นปู่ทำงาน ปัญหาคือการขาดช่วงในการส่งต่อธุรกิจ ไม่มีคนทำงาน คนรุ่นก่อนมักจะมองเรื่องวิสัยทัศน์ในเรื่องใหญ่ มองภาพกว้างๆ ขณะที่คนรุ่นหลังจะถนัดเรื่องการบริหารความเสี่ยง มีหน้าที่อุดรอยรั่ว ลงรายละเอียดในภาพเล็ก ถนัดเรื่องการแก้ปัญหา

พอเรียนจบต้องตัดสินใจว่าจะกลับ หรืออยู่ที่อังกฤษต่อ ตอนนั้นได้งานทำแล้ว แต่ก็ติดตามศึกษาสภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองเราอยู่ตลอด เมื่อราวแปดปีที่แล้วมองเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากโรงแรมขนาดเล็กเปิดตัวกันมากขึ้น มีการลงทุนในอสังหาฯ เยอะมาก จนรู้สึกว่ากำลังจะขยายมากไป ถ้าเรากลับมาช้า จะไม่มีพื้นที่ในการเรียนรู้ จะไม่ทันคนอื่น ถ้าช้าคงไม่รอดแน่ๆ ถ้ากลับต้องตัดสินใจทันที

เมื่อกลับมาผมก็ตั้งเป้าการทำงานใหม่ จากเดิมเคยดูด้านบริการ ก็เปลี่ยนมาเป็นงานด้านการขาย มีความมั่นใจในการทำงานมาก จากประสบการณ์ที่ได้รับจากอังกฤษ เคยทำงานในโรงแรมที่ติดอันดับดีที่สุด 1 ใน 50 ของประเทศอังกฤษ เคยทำงานในห้องอาหารระดับมิชชิลินสตาร์ มั่นใจว่าในเรื่องการปฏิบัติงานเราผ่านมาหมดแล้ว ฉะนั้นเราควรขยับตัวเองให้ทำงานที่ท้าทายขึ้นไปอีก เพราะเมื่อธุรกิจร่วง ทางเดียวที่จะพ้นวิกฤติได้ คือการขาย ถ้าขายไม่เป็น ทำการตลาดไม่เป็น ก็ไปไม่รอด แต่ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายโรงแรม ยังทำงานกับเครือแอคคอร์

ผมเริ่มมาทำงานบริหารให้กับโรงแรมที่ไม่ได้อยู่ในเครือ มีเจ้าของเป็นผู้ดำเนินกิจการเอง โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป แต่ผมทำหน้าที่แทนทุกอย่าง เป็นโครงการเปิดโรงแรมใหม่ ยอมรับว่าเหนื่อยมาก อุปสรรคเยอะ เพราะแนวคิดในการบริหารโรงแรมที่มีเจ้าของโดยตรง กับระบบเครือ แตกต่างกันมาก ผมก็ต้องปรับตัว ผสมผสานความคิดเพื่อให้ดำเนินธุรกิจไปได้ หากมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็จะต้องมีแผนสำรองให้กับทุกการตัดสินใจเสมอ

ช่วงนั้นผมก็มีบริษัทที่ปรึกษาให้กับหลายธุรกิจ ทั้งกลุ่มนักลงทุน เอสเอ็มอี ภาคเกษตร ภาครัฐ จนเมื่อได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับผู้บริหารของพานหินถึงทิศทางที่จะไป จนทราบว่ามีบางอย่างที่ได้เปรียบ ในฐานะนักการโรงแรมมองเห็นว่า พานหิน มีกายภาพครบถ้วน ดีเอ็นเอ ดีพร้อม ส่วนที่เหลือคือการจะทำอย่างไรให้กลมกลืน ให้สังคมยอมรับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องทำให้สังคมยอมรับว่าคุณทำธุรกิจนั้นได้ดี ถ้าทำได้ ก็ประสบความสำเร็จ อย่างของพานหิน ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่า เราเป็นโรงแรมที่ดี โจทย์ของเรามีแค่ 2 ข้อเท่านั้นเอง คือที่พักที่ดีสำหรับนักธุรกิจ และ สำหรับนักกอล์ฟ

เราไม่ได้มองว่าใครเป็นคู่แข่ง แต่พยายามมองหาช่องว่าง นั่นคือความดีที่ขาดหายไป อะไรที่คนอื่นยังไม่ได้ทำ แล้วเรายังทำได้ ทำให้ผู้คนมีความสุข นั่นคือเป้าหมาย สังคมไม่จำเป็นต้องแข่งขันกัน ผมไม่ศรัทธาในการสร้างคู่แข่ง ผมมองว่ากลุ่มลูกค้าเรามีแค่สองกลุ่ม คือกลุ่มที่สนับสนุนเราอยู่แล้ว กับกลุ่มที่สนับสนุนเราบ้าง เพราะอาจจะมีบางอย่างยังไม่โดนใจเขาเต็มที่ เราก็ต้องเติมส่วนที่ขาดเหล่านี้ให้กับเขา เพื่อจะได้หันมาสนับสนุนเราเต็มที่ ในระยะสั้นอาจจะยังไม่ได้เป็นลูกค้าเรา แต่ในระยะยาวเราต้องหาวิธี ทำให้เขารู้ว่า เราเป็นใคร เราช่วยอะไรเขาได้บ้าง

เรามีคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างจากที่พักอื่นๆ ค่อนข้างเยอะ เราเป็นเอ็กซ์คลูซีฟเรสซิเด้นท์ ที่มุ่งที่จะรองรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ นอกเหนือจากลูกค้ากลุ่มทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราถนัดและมีประสบการณ์อยู่แล้ว เราเน้นการบริการที่ยืดหยุ่น เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด และอีกส่วนที่เราให้ความสนใจมากๆ คือกลุ่มนักกอล์ฟ เนื่องจากในพื้นที่ย่านนี้มีสนามกอล์ฟค่อนข้างเยอะ เราจะจัดกิจกรรมร่วมกัน ทำโปรโมชั่น จัดตารางเวลาในเรื่องต่างๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของนักกอล์ฟ

งานโรงแรม เป็นงานที่เราต้องทำให้ลูกค้าไม่เกิดอาการโฮมซิก เมื่อเขาต้องอยู่ไกลบ้านออกมา ซึ่งการจะเข้าถึงอาการนี้ได้ เราต้องเคยเป็นเองมาก่อน นั่นคือโจทย์ของพานหินด้วยว่า ลูกค้าต้องไม่คิดถึงบ้าน การจะลืมเรื่องบ้านได้ เราก็ต้องดูแลเขาเป็นอย่างดี

ทุกอย่างที่เราทำกันนั้น หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ของความสบายใจ ของความต้องการ เมื่อเปิดใจคุยกันแล้ว ทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่าย อย่างเช่น เมื่อเราเห็นคนกระหายน้ำ บางครั้งการเสิร์ฟน้ำเย็นเปล่าๆ ให้ อาจจะมีคุณค่ามากที่สุด ดีกว่าการนำเครื่องดื่มแพงๆ ที่เขาไม่ต้องการในเวลานั้น ปัญหาคือเราต้องดูความเหมาะสม ดูความต้องการที่แท้จริงของเขา แล้วบริการให้ตรงกับใจ หรืออย่างพนักงานขายของเรา ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ขาย ผมจะให้พวกเขาออกไปสร้างเพื่อน ไปบอกกับคนอื่นๆ ว่า อะไรที่เราทำให้เขาได้บ้าง และถ้าหากมีอะไรที่ทำไม่ได้ ก็บอกว่าทำไม่ได้ แต่ ในเรื่องที่ทำไม่ได้นั้น มีอะไรที่พอจะทำให้ได้บ้างหรือไม่ หากสิ่งที่เราพอจะทำให้เขาได้ สามารถสร้างความพึงพอใจให้เขา เราก็อยู่ด้วยกันได้ ผมมองว่าทุกคนเป็นลูกค้าเราได้หมด เพียงแค่ว่าเราจะขายอะไร ขายเมื่อไหร่ ถ้าเราใส่ใจ ก็จะได้ใจเขาแน่นอน

การสร้างภาพลักษณ์และความผูกพัน ในเรื่องแบรนด์รอยัลตี้ เป็นเรื่องสำคัญ แต่เราต้องพยายามทำให้เกิดแบรนด์รีคอล ทำให้คนนึกถึงเราให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อนึกถึง เรื่องที่พัก ไม่ว่าจะมีงบแค่ไหน มีความต้องการอย่างไร มีปัญหาที่ต้องการใครสักคนมาช่วย ขอให้เขานึกถึงพานหินก่อนเป็นที่แรก นั่นแหล่ะคือความสำเร็จ คือความสุขของเรา

ผมจะสอนให้คนทำมากกว่าที่ตัวเองคิดอีกขั้นอยู่เสมอ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน เช่นอยากเป็นเจ้าของโรงแรม แต่ถ้ายังเป็นไม่ได้ ก็เป็นผู้จัดการโรงแรมได้ ถ้ายังไปไม่ถึง ก็เป็นหัวหน้าแผนกได้ ทำก็ทำให้จริง ได้ไม่ได้นั่นเป็นอีกเรื่อง ทำให้มันรู้ไปเลยว่าได้หรือไม่ ผมเชื่ออย่างนั้น และเป็นหลักคิดของชีวิตมาตลอด

อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตลังเลไม่ควรทำ ผมมีความเชื่อง่ายๆ ว่า ถ้าจะทำอะไร นับ 1,2,3 แล้วตัดสินใจเลย ว่าจะทำหรือไม่ แล้วจะไม่เสียดายอะไรอีกเลย เพราะการตัดสินใจทำให้ชีวิตขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ และเมื่อตัดสินใจก็ต้องเชื่อ ว่าเราทำได้

ผมพร้อมเดิมพันกับทุกอย่าง ชอบความท้าทาย ไม่ค่อยคิดเหมือนคนอื่น แต่จะมีแผนสำรองไว้เสมอ ทุกครั้งของการทำงานหรือการใช้ชีวิต จะอยู่ภายใต้พื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าอะไรไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่ดันทุรัง แต่ต้องไปหาคำตอบมาว่าเพราะอะไร พอเจอปัญหาแล้วก็ต้องแก้ ต้องพิสูจน์ให้ได้คำตอบออกมาชัดเจน

การดูแลกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ชีวิตคนเรามีจำกัด ถึงวันหนึ่งก็ต้องยุติบทบาท แต่สิ่งที่จะเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง คือ ครอบครัว เพื่อน พี่น้องที่เรารัก จะทำอย่างไรให้ชีวิตเราสบายใจ หรือ ตายตาหลับได้ อย่างเดียวก็คือ การได้เห็นพวกเขาประสบความสำเร็จ การทำให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ความสุขอันสุดยอดของมนุษย์ไม่ใช่การมีปัจจัยสี่ที่ครบถ้วน แต่จะเป็นอีกแบบที่อยู่ข้างในใจ เป็นสันติสุข ทำให้เราสงบ สบาย วางทุกเรื่องได้ ภารกิจหลักของเราอย่างหนึ่ง คือการสร้างคน อยากเห็นคนได้เติบโตขึ้น เห็นคนประสบความสำเร็จ ผมอาจจะเป็นอีกคนที่โชคดีได้รับพระพรจากพระเจ้าให้ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนี้แล้วส่วนที่เหลือคือการแบ่งปัน ทำให้คนที่ตามหลังเรามา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน พี่น้อง คนที่เข้ามาในชีวิต ได้มีความสุขเหมือนกัน เราได้เป็นบทเรียน เป็นตัวอย่างที่ทำให้ชีวิตเขามั่นคง และอยู่ได้ นั่นคือเป้าหมายของชีวิตผมครับ