ความสงบของชาติเมื่อไหร่จะมา
ความสงบของชาติเมื่อไหร่จะมา
“ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” ประโยคปลุกใจแบบนี้มีเพียงที่เดียวเท่านั้นเองนั่นคือ “คำร้องของเพลงชาติไทย” เราเองถ้าจะพูดกันจริงๆ ก็เป็นชาตินักรบมาแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว นับแต่ยุค “สุโขทัย” ไล่เรียงยันยุค “รัตนโกสินทร์”ตอนต้นยันตอนกลางไทยเรารบพุ่งมาตลอดเพราะถ้าสืบสาวราวเรื่องลงไปกันจริงๆ เราเองเพิ่งจะเลิกรบราฆ่าฟันกันมาเมื่อร้อยกว่าปีนี่เอง เอาเข้าจริงๆ สมัย ร.5 เองนั้นจากที่เคยฟาดฟันกันกับบรรดาประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเราจัดหนักกับพวกฝรั่งตาน้ำข้าวกันเลยทีเดียว แต่ที่เรารอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ถึงทุกวันนี้ก็คงมีแต่เพียง “ความปรีชาสามารถของกษัตริย์สยาม” ที่เป็นเหมือนพลังอำนาจที่จะทำให้ชาวสยามไม่เคยยอมถอยให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น…
ล่าสุดก็เพิ่งฟัดกันไปชนิดที่เรียกว่า “ศพทหารฝ่ายศัตรูจนถึงป่านนี้หนอนยังกินไม่หมดกันเลยก็ว่าได้” เพราะจากข่าวกรองหรือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้บรรดาทหารน้อยใหญ่ของกัมพูชาล้มตายและบาดเจ็บกันเรือน 1,000 แต่ก็อย่างว่าใครจะออกมายอมรับกับความปราชัยของเขาโดยเฉพาะผู้นำประเทศที่เถียงหัวชนฝาว่า “กำลังทหารฟากฝั่งเขาบาดเจ็บและล้มตายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไทยเรา…
แต่จะอะไรก็ช่างเลือดนักรบของคนไทยเรามันมีอยู่ในตัวกันเนิ่นนานกาเลมาแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่พยายามปลุกเอานักรบที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นก็ถือว่าเป็นคราวซวยไปก็แล้วกัน ดังนั้นการบาดเจ็บและตายที่ผ่านมาก็ถือว่า “เสียค่าโง่ไปก็แล้วกันนะกัมพูชา” คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ติดตัวมนุษย์สยามมาเนิ่นนานคือ “พวกเราเป็นมนุษย์เครื่องร้อนเร็ว” แบบชนิดที่เรามักพบเห็นกันตามหน้าข่าวอยู่เสมอมาคือ “โมโหแบบไม่กลัวตายกันเลยครับ” นี่คือคุณสมับติของนักสู้ติดตัวมากับชาติเราแต่ดั้งเดิมก็อาจเป็นได้อยู่….
ล่วงเข้าเวลานี้เรากับกัมพูชาทำท่าจะกอดคอกันอีกรอบการค้าชายแดนอาจกลับมาเพราะฟากฝั่ง “คณะผู้บริหารประเทศเขาว่ามา” แต่บรรดาแม่ทัพนายกองเขายังไม่ยอมให้เปิดด่านค้าขายกัน… จำไว้นะครับ “กัมพูชามันเหมือนงูพิษจะตีต้องตีให้ตาย” ไม่เช่นนั้นมันจะแว้งกัดเอาได้ภายหลัง แต่เราเองก็ใช่ย่อยในเวลานี้หมดศึกนอกก็ต่อด้วยศึกในกันเองได้ยินได้เห็นแล้วท้อใจจริงๆ ให้คำที่ว่า “ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” ก็ดูได้จากเรากับกัมพูชาตอนนี้เบาใจได้แต่ศึกในมันเริ่ม “คุกรุ่น” อีกแล้ว… อยากถามดังๆ ว่า “เมื่อไหร่จะเลิกกัดกันเสียที”.
ครูไก่

