เอกชัย ลิมปิโชติพงษ์
เอกชัย ลิมปิโชติพงษ์
กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทยางโอตานิ
การใช้ชีวิต ไม่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา แต่ต้องรู้จักรักษาอัตราที่ไม่เหนื่อย และไม่ช้าจนเกินไป
“คุณพ่อพูดสอนอยู่เสมอว่า คิดทำ จำแก้ไข ‘เมื่อคิดได้แล้วจงรีบทำ’ เพราะคนเราเวลาคิดอะไรได้ ต้องลงมือทำเลย ถ้าไม่ ก็จะกลายเป็นอะไรที่อยู่ในอากาศ ไม่เคยสัมฤทธิ์ผลขึ้นมา, แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เมื่อทำแล้ว ต้องมีปัญหาแน่นอน ต้องแก้ไขไปเรื่อย ๆ แล้วจะดีขึ้นเอง และคุณพ่อจะคอยถาม ติดตามเสมอว่า งานที่คิด ที่ลงมือทำ ไปถึงไหนแล้ว เหมือนเตือนใจว่า จงทำนะ จงเริ่มนับ 1, 2, 3 แล้วมันจะไปได้ หากโครงการมาแล้ว แต่ทิ้งไว้ ก็จะเสียเวลา เสียโอกาส”
ไม่สะดวก แต่สนุก : ตั้งแต่วัยเด็กผมได้ยินผู้ใหญ่พูดกันอยู่เสมอว่า ทศวรรษที่ 19 อาจเป็นของอเมริกาหรือยุโรป แต่ทศวรรษที่ 20 จีน จะกลับมายิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวจึงอยากให้พูดภาษาจีนได้ ตอนอายุ 12 คุณพ่อบอกให้ตามลูกพี่ลูกน้องไปเรียนภาษาจีนที่ปักกิ่ง 45 วัน ผมเป็นเด็กชอบเดินทางอยู่แล้ว อยากนั่งเครื่องบิน ช่วงไปเรียนภาษาที่จีน การใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่างไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา แต่ผมกลับรู้สึกสนุกกับความยากลำบาก ในสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน อย่างสภาพอากาศหนาว ๆ แต่มีน้ำอุ่นให้อาบแค่สัปดาห์ละสามวัน ต้องรอเฉพาะวันที่เขาจุดหม้อต้มน้ำถึงจะได้มีใช้ สมัยนั้นผู้คนยังใส่ชุดสีน้ำเงินเหมือนกันทั้งเมือง การจราจรบนถนนแทบทั้งหมดเป็นจักรยาน
ภาษาเรื่องสำคัญ : ก่อนหน้านั้นภาษาจีนของผมเป็นศูนย์ พอกลับมาจากรอบนั้น ได้ติดตามคุณพ่อไปนั่งร่วมโต๊ะกับแขกของท่าน ผมเริ่มซึมซับ ได้ฟังบทสนทนาบ่อย ทำให้เข้าใจภาษาจีนได้ค่อนข้างดี, ไปเรียนภาษาจีนรอบแรกตอนอายุ 12 อยู่ 45 วัน, อยู่ ม.1 ไปอีก 45 วัน, พอเรียนจบปริญญาตรี รู้สึกว่าภาษาจีนของผมแค่พอฟังออก แต่ไม่สามารถสื่อสารตามต้องการได้ บอกคุณพ่อว่า อยากไปเรียนอีกครึ่งปี พอครบกำหนดก็ อยากอ่านหนังสือพิมพ์จีนได้ ขออยู่ต่ออีกครึ่งปี เรียนจนครบปีก็พออ่านแบบงู ๆ ปลา ๆ พอเอาตัวรอดได้ พอมาถึงวันนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะการทำธุรกิจแล้วพูดภาษาเขาได้ เวลาคุยมันถึงพริกถึงขิง และยังได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง ความช่วยเหลือบางสิ่งไม่ได้มาอย่างเป็นทางการ แต่มาจากความสนิทสนมส่วนตัว ทำให้เราได้ประโยชน์เยอะมาก ต้องขอบคุณคุณพ่อที่มองการณ์ไกล
สะสมเครดิต : การทำงานร่วมกับคุณพ่อ ตอนเริ่มงาน เครดิตเรายังมีน้อยมาก อะไรที่เสนอไป คุณพ่อมักจะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็พยายามชี้ให้เห็นประโยชน์ ในมุมของท่านอาจเห็นจุดเสีย เราก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า จุดดีเป็นอย่างไรบ้าง ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกับท่าน สิ่งที่ผมรู้สึกได้เลยคือ ทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จขึ้นมา ผมจะได้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากขึ้นทีละนิด ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงทุกวันนี้ จากเดิมที่เคยเสนอไป 100 คุณพ่ออาจรับแค่ 10 จนมาถึงทุกวันนี้ ท่านเชื่อมั่นว่าเราสามารถจะบริหารงานได้ เสนอไป 100 ก็อาจรับ 90 เหลืออีกนิดหน่อยไว้ติง ๆ บ้าง

ผู้บริหารต้องเล่นกีฬา : ผมค่อนข้างติดกับคุณพ่อ จนซึมซับว่า ท่านให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก ทุกเย็นคุณพ่อจะออกกำลังกาย แกว่งแขน ฟังเพลง แล้วทุกครั้งท่านจะสอนเสมอว่า ต้องออกกำลังกายนะ เพราะคุณพ่อเคยเป็นนักแบดฯ คุ้นเคยกับการเล่นกีฬา ส่วนคุณแม่ก็มีความเป็นห่วงใยในเรื่องสุขภาพ ขยันออกกำลังกายด้วยกันทั้งคู่ เช้า วิ่ง ขี่จักรยาน เย็น โยคะ เดินวันละหมื่นก้าวทุกวัน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคน และอีกสิ่งที่คุณพ่อเสนอ แนะนำมาตลอดคือ อยากให้ทุกคนเล่นกีฬา ยิ่งเป็นผู้บริหารต้องเล่นกีฬา เพราะทำให้เราได้มีปฏิสัมพันธ์กับคน ทำให้รู้จักน้ำใจนักกีฬา มีความอดทน การจะเล่นกีฬาเก่งได้ ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน รู้จักฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องถูกวิธีด้วย
เรียบง่าย สมถะ : คุณพ่อคุณแม่ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ดำเนินชีวิตแบบสมถะมาก โดยเฉพาะคุณพ่อ, จนหลายครั้งทำให้เราไม่กล้าใช้จ่าย แต่ท่านทำงานมาเยอะก็อยากให้ได้ใช้อะไรที่เหมาะสมบ้าง ผมจะใช้วิธีซื้อให้ท่านเลย อย่างเช่น โทรศัพท์รุ่นใหม่มาแล้ว ป๊าใช้เถอะ ท่านก็จะบอกว่า เครื่องเดิมยังดีอยู่เลย แล้วจะเอาไปไหน ผมก็ตอบว่า เครื่องเก่าผมใช้ต่อเอง แล้วก็ใช้จริง ๆ ให้ท่านเห็น รองเท้าก็เช่นกัน พอดีผมใส่ไซส์เดียวกับท่าน ซื้อคู่ใหม่ให้ท่านใช้ก่อน แล้วผมใช้คู่เก่าต่อ ไม่งั้นไม่ยอมเปลี่ยน จนหลัง ๆ ท่านบอกไม่ต้องมาเปลี่ยนอะไรให้แล้ว เอารุ่นใหม่ ๆ ไปใช้เองเถอะ, ถึงจะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ท่านก็ยังปลูกฝังในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงอยู่เสมอ
สุขภาพ ของขวัญเพื่อลูก : ตอนมีลูกแฝดคู่แรก ผมอายุ 42 เริ่มเยอะแล้ว คิดว่า เราต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อจะได้อยู่กับลูกไปนาน ๆ เพราะกว่าเขาจะโตเราคงแก่ไปมากแล้ว พอดีน้องสาวจะไปวิ่งมาราธอนที่เบอร์ลิน เลยบอกว่าจะไปวิ่งด้วย ช่วยสมัครให้ที ผมสมัครก่อนไปวิ่งแค่ราว 5 – 6 เดือน จำได้ว่า จะไปวิ่งตอนปลาย กันยายน วันที่ 1 กรกฎาคม ไปซื้อนาฬิกาใส่เตรียมวิ่ง ปรากฏว่า ผมวิ่งได้แค่ไม่กี่ร้อยเมตรแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก แล้วแบบนี้ ทำไงถึงจะวิ่งให้จบได้ เพราะนี่คือของขวัญที่ตั้งใจจะให้กับลูก
สม่ำเสมอ ยืนระยะ ชนะอุปสรรค : ผมใช้วิธีให้โค้ชมาสอน ค่อย ๆ ฝึกความทนทานเราให้มากขึ้น จนภายในช่วงเวลาสี่เดือน ผมวิ่งจบมาราธอนที่เบอร์ลินได้ น้ำตาไหลเลย ไม่คิดว่าจะทำได้, ผมอ่านเจอว่า การวิ่งมาราธอน มีสอนอยู่ในหลักสูตรปริญญาโทของสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก ปรัชญาของการวิ่งมาราธอน คือ ไม่ใช่วิ่งเร็ว แต่ต้องรักษา เพซ (Pace) อัตรา ความเร็วเฉลี่ยในการวิ่งให้ได้สม่ำเสมอ เพื่อจะยืนระยะจบมาราธอนให้ได้ ซึ่งตรงกับปรัชญาการใช้ชีวิตของผมเลย
ไม่รีบ ไม่เหนื่อย ไม่ช้า : การใช้ชีวิต ‘ไม่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา’ แต่ต้องรู้จักรักษาอัตราที่ไม่เหนื่อย และไม่ช้าจนเกินไป แล้วรักษาอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เราสามารถ ยืนระยะ มีความแข็งแรง ไปจนจบ ถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ เวลาวิ่งมาราธอน ผมวิ่งไม่เร็วไม่ช้า แต่สิ่งที่ผมทำได้ตลอดระยะเวลา 6 ชั่วโมง 20 นาที คือ ผมวิ่งตลอดไม่มีเดินเลย พอผ่านกิโลที่ยี่สิบไปแล้ว ชั่วโมงที่ 3 – 4 ก็ถามตัวเองว่า อยู่ดี ๆ ทำไมต้องมาเหนื่อยอะไรขนาดนี้ หาเรื่องอะไร ทรมานมาก แต่ว่าก็รักษาเพซ แล้ววิ่งต่อไปจนจบได้ หลังจากนั้นก็ไปวิ่งมาราธอนที่ชิคาโกและโตเกียว จบไปแล้ว 3 เมเจอร์ ของรายการมาราธอนระดับโลก

พ่อแม่คือตัวอย่าง : ปีที่แล้ว พอดีแฟนผมไปสมัครลงวิ่งโตเกียวมาราธอนได้ แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ออกกำลังกายเลย ผมแนะนำให้หาโค้ชมาฝึก จนได้ไปวิ่งโตเกียวมาราธอนด้วยกัน พอผ่านเข้าเส้นชัยแล้ว เรากอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ เพราะนี่คือความพยายามที่จะรักษาสุขภาพของเรา เพื่อเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่สำหรับลูก ๆ, หลังจบวิ่งมาราธอน ก็ไม่ได้ออกกำลังหนัก ๆ อีก แต่อาศัยไปกับลูก มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่นเขาเรียนว่ายน้ำ ก็ไปว่ายน้ำแข่งด้วย ไปเรียนกอล์ฟ ก็ไปเล่นด้วย พาไปออกรอบ เพราะผมกับแฟนเชื่อว่า ถ้าอยากให้ลูกทำอะไร ต้องไปทำกับเขาด้วย คิดเสมอว่า ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวมาก เมื่อมีเวลากับเขา ก็พยายามใช้กับเขาให้เต็มที่ เคยฟังอาจารย์หมอบรรยายว่า สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุด คือตอนที่ลูกอยู่ในท้อง มีสายสะดือต่อกับคุณแม่ พอลูกเกิดมาแล้วสายนั้นถูกตัด สิ่งที่จะใช้เชื่อมกับลูกได้ คือการให้ความผูกพัน ให้ความใกล้ชิด พอยิ่งโตขึ้น เขาก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งนึงที่จะมัดใจให้เขาอยู่ในแนวทางที่ควรจะเป็นคือ จิตใต้สำนึกของเขา ที่ยังรู้สึกว่า มีเราอยู่ข้างหลัง มีเราอยู่ในใจเสมอ เวลาเขาอยู่ในสถานะลำบาก เรายังเคียงข้างเขาเสมอ
วิกฤติ มีไว้ลับคม : ช่วงปี 2540 ผมลำบากที่สุด เกิดวิกฤติหนัก เรียนจบมา เริ่มทำงาน ก็ถูกฟ้องล้มละลายเลย เพราะเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินที่นำไปค้ำ แต่เราก็ได้ผ่านจุดที่ลำบากที่สุดในชีวิตมาแล้ว จนทุกครั้งที่เจอวิกฤติอีก ผมกลับรู้สึกว่า เป็นจังหวะที่เราจะได้ลับคมมีดของเราอีกครั้ง คิดแค่นั้นเอง และด้วยแนวในการใช้ชีวิต จะทำแบบอนุรักษ์นิยม ไม่ได้ทำแบบลุยแหลก โดยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วทำไป การตัดสินใจในเรื่องการทำธุรกิจ จะมีแผนสำรอง เราไม่อยากจะกลับไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นอีกแล้ว
เครียด แต่มีทางออก : ทุกวันนี้ยังทำงานเครียดอยู่ แต่คิดว่า เป็นความเครียดที่มีทางออก ไม่เหมือนตอนโน้นที่โดนฟ้องล้มละลาย เพราะมีหนี้สินมาก ขณะที่ยอดขายยังไล่กันไม่ทัน แล้ว ณ วันนี้เราอยู่ในสถานะที่ดีกว่านั้น มีความมั่นคง ผมพยายามปลูกฝังน้อง ๆ ให้ทำบัญชี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เหมือนกับการตรวจสุขภาพของเรา ยิ่งถี่ได้แค่ไหนก็ยิ่งดี แล้วจะรู้ว่า ควรปรับตัวไปทางไหน และความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เวลาเครียดมาก ๆ ผมจะไปพบคุณพ่อ ปรึกษาท่าน ขอความเห็น ท่านจะบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะดีขึ้นเอง อย่าไปวิตกกังวลกับมันมาก บางครั้งท่านก็สอนให้ทำใจ ตราบใดที่มีลมหายใจได้อยู่ เราก็น่าจะอยู่ได้ ปล่อย ๆ มันไปบ้าง อย่าไปเครียดมาก แล้วหลาย ๆ ครั้งพอเห็นหน้าลูก ได้เล่น ได้กอด ความเครียดนั้นก็ละลายไปได้ สิ่งที่สำคัญคือสถาบันครอบครัว เป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก แต่เราจะเลือกให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นภูมิคุ้มกันสำหรับสิ่งไม่ดีที่เข้ามาหรือเปล่า
OTANI ฝันที่เป็นจริง : ความฝันสูงสุดของครอบครัวเราในฐานะของผู้ทำยางล้อคือ วันนึง ได้ขับรถที่ใส่ยางของเราเอง รถที่อยู่ในบ้านทุกคันไม่ว่าจะรุ่นไหน ต้องใส่ยางของเราเท่านั้น ซึ่งเราทำได้แล้ว เราพอใจในสถานะที่อยู่ในตอนนี้ และมองว่าธุรกิจจะโตขึ้น 5 – 10% เราขยับไปอีกได้ไม่ยาก แต่ความท้าทายที่เราตั้งกันในครอบครัวคือ ในรุ่นถัดไป ลูก ๆ หลาน ๆ จะมาให้ความใส่ใจกับธุรกิจ จะสามารถสืบสานได้มากแค่ไหน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการวางแผน, เราเริ่มคุยกันในบ้านแล้วว่า จะทำให้มีหลักการอย่างไร เพื่อให้รุ่นต่อไปเข้ามาสนใจในธุรกิจ โดยไม่เป็นการถูกบังคับ มิเช่นนั้นเขาจะทำงานอย่างไม่มีความสุข เราอยากให้เขามีความสุข, ขณะเดียวกัน อาจคิดว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่คงไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย จนมีคำพูดกันว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่ถ้าถึงจุดนึงเมื่อถึงเวลา ก็ต้องสร้างคนรุ่นถัดไปที่จะมาสานต่อธุรกิจให้ได้ด้วย มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย นี่คือโจทย์สำคัญ ที่เราจะต้องช่วยกันหาคำตอบครับ


