ดร.อนุศาสตร์ สระทองเวียน
ดร.อนุศาสตร์ สระทองเวียน
กรรมการผู้จัดการ, บริษัท มีดีกรุ๊ป 2022 จำกัด
เลขาธิการสมาคมนักธุรกิจอาเซียน, อาจารย์พิเศษด้านช่องทางจัดจำหน่ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ปัญหาทำให้เราเก่ง ถ้าไม่หนีมันเลย แก้ไข ปรับปรุง ไปเรื่อย ๆ ไม่สำเร็จวันนี้ ก็ต้องสำเร็จ สักวันนึง”
ความเป็นผู้นำที่เติบโตจากรากเหง้าและได้แบบอย่างที่ดีจากคุณพ่อ : ผมเติบโตในครอบครัวผู้นำชุมชน คุณพ่อ เป็นผู้ใหญ่บ้าน “ทุกครั้งที่มีแขกมาเยือนบ้าน ผมต้องช่วยจัดเตรียมสถานที่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่ นายอำเภอ… มันทำให้ผมซึมซับเรื่องความรับผิดชอบและการดูแลผู้คนตั้งแต่ยังเด็ก ที่เห็นคุณพ่อ ได้ช่วยเหลือ พัฒนาชุมชน และ ช่วยเหลือ คนในท้องถิ่น” เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากเป็นผู้นำ เลยความใฝ่ฝันในวัยเยาว์คืออยากเป็น “นายอำเภอ” เพราะเป็นคนที่ใครก็ให้เกียรติและไว้วางใจ
ชีวิตที่พลิกผัน เปลี่ยนผ่านจากข้าราชการ สู่ โลกธุรกิจ และอาชีพอิสระ : เคยฝันอยากเป็น “นายอำเภอ”แต่ ชีวิตจริงกลับพาผมเปลี่ยนไปสู่อีกเส้นทางหนึ่ง เพราะสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด เลยสอบชิงทุนรับราชการ ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม เรียนด้านเวชสถิติ (สถิตทางการแพทย์) กระทรวงสาธารณสุข จบด้วยรางวัลเหรียญทอง เรียนยอดเยี่ยม และกลับมาทำงานใช้ทุนได้ ไม่นาน จึงเปลี่ยนสายงาน เป็นนักวิชาการ ทำงานที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายทำงานได้ระยะนึง จึงตัดสินใจลาออก เพื่อ เรียนต่อปริญญาโทด้านการจัดการประยุกต์ ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ เมื่อจบแล้วจะกลับมาเป็นอาจารย์…
เมื่อเรียนใกล้จบ ผมเข้าทำงาน บริษัทระบบขนส่งมวลชน BTS โดยรับผิดชอบด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางและนำข้อมูลเพื่อ วางแผนกลยุทธ์การตลาด “คนส่วนใหญ่มองว่างานวิเคราะห์เป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นแค่งานเอกสาร… แต่ผมกลับเห็นว่ามันคือขุมทรัพย์มหาศาลของโอกาสทางธุรกิจ” ผมจบมาสายการจัดการ ต้องทำงานบริหารองค์กร เลยมาทำเป็นคนวางแผน วิเคราะห์ธุรกิจ และได้ทำงาน กับองค์กรระดับชาติ ระดับนานาชาติ เช่น บริษัท นันยาง เท็กซ์ไทล์ จำกัด, Danone, ซัมซุง, มาร์ส ไทยแลด์อิ้ง,เป๊ปซี่, DKSH, มุ่งพัฒนา และ เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น

ระหว่างทาง ผมยังรับงานทำอาชีพอิสระ เป็นทั้งอาจารย์พิเศษ วิทยากร ที่ปรึกษาการตลาด วางแผนในการพัฒนาองค์กรเช่น ม.ธรรมศาสตร์ ม.เอแบค ม.เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาลัยพยาบาล กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ,สถาบันอาหาร… “ผมเชื่อในการให้อิสระกับผู้เรียน”… แต่ต้องเริ่มจากการสอนให้เขารับผิดชอบต่อตัวเองก่อน ถ้าเขาทำได้ เขาจะรู้ว่าต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ต้องวางตัวยังไงให้เหมาะสมกับสถานการณ์การสอนของผมไม่ใช่แค่ในห้องเรียน แต่เป็นการปั้นผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้าใจบริบทของโลกธุรกิจจริง ๆ ผมนำโจทย์จากสนามจริงมาในชั้นเรียน ให้นักศึกษาได้คิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ เพื่อฝึกให้คิดเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ผมกลับมาเรียนอีกครั้ง เพราะเชื่อว่า เราต้องไม่หยุดเรียนรู้ เลยลงเรียน ปริญญาเอก ด้านการจัดการ จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ตามคำแนะนำ อ.หนึ่ง (โค้ชหนึ่ง, หนึ่งฤทัย สระทองเวียน) และ เรียนปริญญาโท การจัดการเชิงกลยุทธ์ จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะ “ผมสอนคน ผมต้องรู้ลึก รู้จริง ตำราเป็นทฤษฎีที่ต้องมี แต่ประสบการณ์และการประยุกต์ใช้ คือ สิ่งที่จำเป็น” การสอนเด็กรุ่นใหม่ ๆ ต้องเข้าใจพฤติกรรม เราต้องยอมรับความแตกต่างระหว่าง GEN
จากความเบื่อ… สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ :
ในวันที่รู้สึกว่า “งานประจำ” กลายเป็นวงจรเดิมที่ไม่มีแรงบันดาลใจ ผมเลือกหันเหชีวิตอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะหมดหนทาง ..แต่เพราะอยากสร้างทางของตัวเอง เริ่มที่พักเล็ก ๆ… แต่คิดอย่างผู้บริหาร ผมจึงเกิดเป็น “I AM Cottage เฮือนแก้วมณี” ที่พักขนาดอบอุ่นใน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ท่ามกลางช่วงโควิดที่ใครหลายคนไม่กล้าขยับ แต่ผม กลับมองเห็นโอกาส ชื่อ “I AM” ไม่ได้มาจากภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นคำพ้องเสียงในภาษาลาวโซ่ง ที่แปลว่า “พ่อ (ไอ่)แม่ (เอ็ม) ” ธุรกิจนี้จึงไม่ใช่แค่โมเดลการลงทุน แต่เป็น ‘บ้าน’ ที่สร้างด้วยความรัก ความใส่ใจ และมาตรฐานระดับโรงแรม ด้วย ที่ผมเดินทางบ่อย “ผมรู้ดีว่า นักเดินทางต้องการอะไร” ผมนำประสบการณ์จริง มาปรับเป็นจุดขาย ตั้งแต่ระบบเช็กอินออนไลน์ ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส ไปจนถึงมาตรฐานความสะอาดและมีกลยุทธ์ชัดเจน ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ด้วยการสื่อสารการตลาดสมัยใหม่ ทำให้ ผลประกอบการอยู่ได้ในเกณฑ์ดีถึงดีมากมาโดยตลอด
สู่ตลาดเครื่องปรุงอาหาร หมื่นล้าน ภายใต้ “ซอสผัดกะเพรา แบรนด์ป้าละมัย” :
เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาขอคำปรึกษาเรื่อง “ทำซอสกระเพรา” ผมหัวเราะออกมาตรง ๆ ใครจะซื้อ? คนไทยทำเองได้หมดนั่นแหละ!” จน แพ้ใจเพื่อน จึงตัดสินใจ ลองช่วย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ “ป้าละมัย”
ซอสป้าละมัย ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแค่ “ของขายได้” แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการวิเคราะห์ตลาด การวิจัยเชิงพฤติกรรม และความเข้าใจใน “วิถีการปรุงอาหารของคนไทย” ที่เปลี่ยนไป ซอสของ “ป้าละมัย” ไม่ได้แค่อร่อย แต่ สะดวก ประหยัด และใช้ง่าย และ เข้าใจชีวิตคนยุคใหม่ ผมเชื่อ การสร้างแบรนด์ ต้องไม่หวังรวยเร็ว… แต่ต้องสร้างให้ยาว ผมไม่ได้หวังยอดขายพุ่งในทันที แต่เน้นการการรับรู้ในแบรนด์อย่างมั่นคง สร้างการรับรู้ในทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์ วางแผนกลยุทธ์ในโมเดิร์นเทรด ควบคู่กับการลงพื้นที่เจาะกลุ่มร้านค้าทั่วประเทศ โดยมี ระยะเวลา และ ขยายช่องทางจัดจำหน่ายอย่างมีระบบและแผนที่ชัดเจน เพราะ ผมเชื่อ เรื่องการสร้างแบรนด์ “แบรนด์ที่ดี ไม่ได้ชนะเพราะถูกกว่า แต่เพราะความจงรักภักดีมากกว่า”

เดินหน้าเต็มตัว : จากจุดเริ่มต้น ซอสกะเพรา ผมเริ่มขยายสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ ซอสข้าวผัด และ ซอสพริกไทยดำ ส่วนในอนาคตวางแผนเพิ่ม “ผัดพริกแกง” และ “ผัดกระเทียม” เมนูบ้าน ๆ ที่คนไทยทำกินเองและร้านอาหารตามสั่ง ทำมากที่สุด ผมมองว่า ธุรกิจในอนาคต ใครขยับก่อน มีแต้มต่อ แม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ผมว่า เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งแข่งขันเท่าไหร่ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจและรับรู้ในสินค้า และใช้สินค้ามากขึ้น โอกาสของ ซอสป้าละมัยก็จะมีมากขึ้น ถ้าผมทำคนเดียว คนไม่รู้จักหรอกมันช้า แต่พอมีหลายแบรนด์ ตลาดก็คึกคัก และ ผู้บริโภคจะเริ่มจำแนกคุณภาพสินค้ากันเอง ใครทำดี ก็ได้ไปต่อ”
กีฬาฝึกการใช้ชีวิต :
ผมเติบโตมาในบ้านของผู้ใหญ่บ้านต่างจังหวัด ที่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นและเวทีกลางของชุมชน กีฬาจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยธรรมชาติ เล่นทุกอย่างตั้งแต่วอลเลย์บอล แบดมินตัน ฟุตบอล ไปจนถึงวิ่งระยะกลาง กีฬาไม่ได้สอนแค่เรื่องชัยชนะ แต่สอนให้ผมรู้จัก ความรับผิดชอบ และ ความยุติธรรม มันฝึกทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง และกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวผมมา มี ช่วงหนึ่งผมจริงจังกับการวิ่ง ผมเริ่มจากฟันรัน 5 กม. ขยับถึงฮาร์ฟมาราธอน และเตรียมลงฟูลมาราธอนเต็มรูปแบบ วิ่งไม่ใช่เพื่อเหรียญหรือถ้วยรางวัล วิ่งแต่ละก้าว เหมือนเราได้พูดคุยกับตัวเอง ปลดปล่อยความเครียด คิดงานใหม่ ๆ และตั้งเป้าหมายในครั้งหน้าต้องทำให้ดีกว่าเดิม นั้นคือสิ่งที่ผมได้ คือการพัฒนาและมุ่งมั่นที่จะไปต่อ และให้ดียิ่งขึ้น
บทเรียนของการไม่ยอมแพ้ ยิ่งเจอปัญหา ยิ่งแกร่ง :
ผมไม่เคยกลัวปัญหา กลับมองว่ามันคือคือการทดสอบตัวเราในการขับเคลื่อน ถ้าเราไม่หนีปัญหา มันจะทำเราให้แกร่งขึ้นทุกวัน ผมชอบทำงานยาก เพราะมันท้าทาย มันทดสอบวิธีคิด วิธีทำงาน หลายคนถามว่าทำไมรับแต่โจทย์หิน ๆ คำตอบง่ายมาก คือ ผมสนุกกับมัน แม้บางปัญหาแก้ไม่ได้ทันที แต่ทุกครั้งที่ลุย มันเหมือนเรากำลังหาทางออก และวันหนึ่งเราหาทางออกเจอเอง และมันต้องใช้เวลา ผมเชื่อในเรื่องเวลา และ ผมไม่ปฏิเสธโชคชะตา เมื่อก่อนผมไม่เชื่อเรื่องพลังความศรัทธา แต่วันนี้ผมรู้ว่า ถ้าใจเรานิ่ง สติจะมา พลังบวกมันจะพาเราไปถึงเป้าหมาย ผมคิดเสมอว่า ผมจะไม่ยอมแพ้มันครับ


