สังคมไทยต้องไม่ทิ้งกัน
สังคมไทยต้องไม่ทิ้งกัน
หลายปีที่ผ่านมากระแสของวงการ ‘ลูกทุ่งไทย’ หายหน้าไปเป็นนานสองนาน คำว่า ‘เพลงลูกทุ่ง’ ของครูไก่นั่นหมายถึง ‘นักร้องที่สามารถสะกดคนดูและคนฟังด้วยเสียงเพลง’ ถ้าจะเล่าย้อนหลังไปก็ต้องไล่เรียงมาตั้งแต่ยุคครูเพลงอย่าง ‘ก้าน แก้วสุพรรณ’ ที่โด่งดังมากที่สุดก็เห็นจะเป็นครูเพลงอย่าง ‘สุรพล สมบัติเจริญ’ ผู้ที่ปลุกกระแสของคำว่า ‘เพลงลูกทุ่ง’ ให้แยกออกมาจากเพลงไทยสากลหรือบางคนก็เรียกจ่าเพลงไทยสากล นอกจากฝ่ายชายที่พูดถึงมาด้านฝ่ายหญิงที่มีเสียงสุดแจ๋วของแนวลูกทุ่งก็ต้อง ‘แม่ผ่อง’ หรือ ‘ผ่องศรี วรนุช’ ที่ยังเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ ถัดมาในยุคต่อมาก็จะมีพวก สายัณห์, ยอดรัก และใครต่อใครอีกมาก สุดท้ายก็มาดังกันยกใหญ่ก็เป็นยุคของ ‘แม่ผึ้ง’ พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องคนนี้ว่ากันจริงๆ ก็แทบจะอ่านหนังสือได้ไม่ใคร่แตกฉานเท่าใดนักแต่สวรรค์ได้ประทานความจำในการจับสัญญาณเสียง และมีลูกล่อลูกชนในการร้องเพลงถึงขั้น ‘อัจฉริยะ’ ก็ว่าได้

ทุกเพลงที่พุ่มพวงร้องมันถ่ายทอดอารมณ์ก็ว่าได้เหมือนเราได้เห็นภาพตามที่เธอร้องจริงๆ แต่ก็น่าเสียดายที่ชีวิตที่สวรรค์ให้มาเพียงไม่กี่ปีในวงการเพลงพอหมดจาก ‘แม่ผึ้ง’ ครูไก่ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างตามกระแสที่เขานิยมกัน ยิ่งมาตอนนี้นักร้องลูกทุ่งขายเนื้อขายหนังมากกว่าเสียงเพลงผมเองก็หันหลังให้กับลูกทุ่งก็ว่าได้ แต่สุดท้ายมาสะดุดที่เวทีที่สนามกอล์ฟ ‘มิชชั่นฮิลล์’ เมืองกาญจน์ มันเป็นการแข่งขันของชมรม ‘เสมากาญจนบุรี’ จบสิ้นการแข่งขันมีเด็กเล็กคนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงให้พวกเราฟังกัน ไอ้ทีแรกก็นั่งกันนิ่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเด็กน้อยคนนี้จับไมค์เท่านั้นผมต้องหยุดกึกแล้วหันกลับไปตั้งอกตั้งใจฟังว่า ‘ไอ้เด็กคนนี้มีของ’ ถ้าหลับตานึกภาพก็จะนึกว่า ‘พุ่มพวง’ มาได้อย่างไร แต่พอทราบว่าเด็กคนนี้ร้องเพลงเปิดหมวกมาแต่ 6 ขวบ โดยมี ‘คุณย่า’แท้ๆ เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ เพราะย่าเคยเป็นนักร้องร้านอาหารย่านนั้นมาก่อน…

ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้ตัวน้อยนี่ถึงได้แกร่งเกินตัวแล้วยิ่งทราบว่าเวลานั้นเจ้าหนูนี่เป็นแชมป์ ‘ดวลเพลงชิงทุน’ และชนะมา 30 กว่าครั้งเข้าไปแล้วขณะที่ผมเขียนงานนี้อยู่เธอมีแชมป์ 43 รายการชิงเงินสะสมไปแปดแสนกว่าเกือบจะเก้าแสนไปแล้ว นี่คือ ‘สังคมไทยอะไรต้องเริ่มที่บ้าน’ จะเป็นปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่ก็ตาม อย่าลืมนะครับครอบครัวอย่างไทยอะไรก็ไม่ผิดหวังครับ
ครูไก่