Interview

ปรียนันท์ ทองเจริญ

ปรียนันท์ ทองเจริญ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีซี คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด
“อะไรที่ พอดี นั่นคือ ดีพอ”

สาวพระประแดง : คุณพ่อเป็นมอญ คุณแม่เป็นไทย แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่คนมอญในสมุทรปราการทั้งคู่ เราเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่มีลูกช้ามาก ทำให้ถูกเลี้ยงแบบประคบประหงม, คุณแม่เป็นแม่บ้าน คุณพ่อไปทำงานตอนเช้าแวะส่งที่โรงเรียนบูรณะศึกษา ตอนเย็นคุณแม่ไปรับ พานั่งรถสองแถวกลับบ้าน เพราะพระประแดงมีแต่แบบนี้ ผู้คนที่นั่นมีชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย, คุณพ่อเป็นพนักงานบริษัท ระดับรองกรรมการผู้จัดการ ถึงเป็นลูกจ้าง แต่ตั้งใจทำงานมาก เหมือนมือขวาของเจ้านาย ทำงานสารพัด พ่อสอนเสมอว่า ต้องซื่อสัตย์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีหนี้ต้องใช้ คดโกงไม่ได้ ครอบครัวของเราจึงมีความเป็นอยู่สุขสบายตามอัตภาพ

โอกาสในวิกฤติ : ช่วง ม.ต้น ย้ายไปศึกษานารี เรียนก็แบบปริ่ม ๆ ไม่ได้เป็นเด็กหัวดี แต่พอวันนึงที่ต้องก้าวเข้าสู่ ม.ปลาย การขึ้น ม.4 ต้องใช้เกรดมาเป็นตัววัด, ช่วง ม.2 ปลาย ๆ เริ่มคิดได้ เริ่มฟิต เรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยเกินสาม ตั้งใจเต็มที่ กลัวพ่อแม่ผิดหวัง แต่ชีวิตมาเริ่มผกผันตอนเรียน ม.5 เพราะพ่อเป็นอัมพาต ทำงานไม่ได้ ครอบครัวเรามีอยู่กันแค่สามคน ไม่มีรายได้ทางอื่นเลย แต่ด้วยพ่อสร้างเหตุไว้ดี ในวิกฤติก็มีโอกาส ครอบครัวเรายังโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย ยังให้เงินเดือนต่อไป เพื่อดูแลชีวิต เป็นทุนการศึกษา การเรียนจึงไม่สะดุด แต่ชีวิตก็ไม่สุขสบายเหมือนก่อน เพราะด้วยวัยแค่เด็ก ม.5 เมื่อมีรายได้มาหนึ่งก้อน ต้องทำแผนบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะแบ่งออกเป็นใช้อะไร เท่าไหร่ เป็นหน้าที่ของเรา ส่วนคุณแม่ไปคุยกับเจ้าหนี้ของคุณพ่อ เพื่อผ่อนผันค่อย ๆ ทยอยจ่าย ทุกคนก็ใจดีไม่มีปัญหา ขอให้พ่อรักษาตัวเต็มที่ นับเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะกับคุณท่าน (คุณทวิช – คุณสุวิสาว์ กลิ่นประทุม) เจ้านายของพ่อ อย่างไม่มีมีวันลืม จนทุกวันนี้ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวเจ้านายกันทุกปี เพราะชีวิตเราถูกสร้างมาแบบนั้นตั้งแต่จำความได้ ได้รับความเมตตาเอื้อเอ็นดูทั้งจากคุณท่าน คุณผู้หญิง และจากลูกหลานของท่าน

หอการค้า : ช่วงเข้ามหา’ลัย คิดว่าเรียนที่ไหนก็ได้ เพราะโจทย์มีอยู่ว่า ขอแค่ไม่ต้องอยู่หอ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ณ ตอนนั้น จึงจบที่ ม.หอการค้า เนื่องจากพระประแดงไปหอการค้า มีรถเมล์ต่อเดียวถึง เรียนเสร็จต้องรีบกลับบ้าน มาช่วยแม่ดูแลพ่อ ชีวิตไม่ได้มีสีสันกับเพื่อน กิจกรรมแทบไม่มี มองย้อนกลับไปก็รู้สึกเสียดายบ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่ได้เลือกแล้วตามสถานการณ์, แม่อยากให้เรียนบัญชี เพราะคือวิชาชีพ แต่ด้วยความที่เราเองกลัวด้านวิชาการ จึงเลือกบริหารการตลาด กว้าง ๆ ไว้ก่อน แต่พอเข้าไปเรียนจริง ๆ ถึงได้รู้ว่า เราก็ทำได้ แล้วมารู้ทีหลังว่ามหา’ลัยมีทุนการศึกษา โดยมีเงื่อนไข ถ้าใครได้เกรดสูงสุดของสาขาในคณะฯ ปีการศึกษานั้น ค่าเทอมทั้งหมดจะยกให้

เล็คเชอร์ประจำรุ่น : เป้าหมายแรกคือ ต้องได้เกรดเอทุกวิชา แต่บางวิชาก็พลาด ยังไม่สำเร็จในครั้งเดียว ทำให้เกิดความพยายามมากขึ้นไปอีก เป็นเหมือนเล็คเชอร์ของเพื่อน จะรู้กันว่าเราตั้งใจเรียนมาก ขยันเรียน เป็นเด็กหน้าห้อง ลายมือก็ไม่สวย จดตอนเรียนก็เละหน่อย มีเพื่อนมาแปลงให้สวยอีกที แล้วซีร็อกซ์แจกทั้งคลาส ตอนนั้นจึงเป็นเหมือนที่รักของเพื่อน… “ใช่สิ่ เพราะฉันต้องคว้าทุนให้ได้”… มาทำได้สำเร็จตอนปี 4, ชีวิตไม่เคยได้เที่ยวเลย มาขอแม่ไปอาร์ซีเอครั้งแรกตอนจบปี 4 ขณะที่คนอื่นไปกันตั้งแต่ปี 1 เพื่อน ๆ ที่สนิทกันไม่ค่อยเข้าเรียน แต่เก่ง เอาตัวรอด ได้เกียรตินิยมเพราะเล็คเชอร์ของเรา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานกันทั้งนั้น ทุกวันนี้ก็ยังคบหากันอยู่

ปริญญาโท : จบปริญญาตรี ต้องเลือกระหว่างเรียนต่อหรือทำงาน เพราะคิดแล้วว่า ถ้าทำงานเลย อาจจะมีรายรับที่ไม่เพียงพอกับการดูแลครอบครัว จึงไปหาคุณท่านเจ้านายของพ่อ ขออนุญาตต่อปริญญาโทอีกสองปี เรียนท่านว่า อยากเรียน เพื่อดูแลครอบครัว จะพยายามสอบเข้ามหา’ลัยรัฐให้ได้ และทำงานเสริมเพื่อช่วยลดภาระ แล้วหลังจากเรียนจบจะไม่ขอรับทุนอีก ซึ่งท่านก็อนุญาต โจทย์รอบนี้คือ เป็นปริญญาโทที่ไม่ขอประสบการณ์ในการทำงาน มาสรุปที่นิด้า สาขาการเงิน ต้องขวนขวายหาความรู้เพื่อเตรียมตัวสอบ ยากมาก ก็เข้าจนได้แบบปริ่ม ๆ เราหัวไม่ดี แค่สู้ไม่ถอย ใครแนะนำอะไรก็ทำตาม สัปดาห์นึงเรียนแค่ไม่กี่วัน แต่หนักมาก การบ้านเยอะ โชคดีที่ได้แฟน เข้ามาช่วย

คู่ชีวิต : เจอกับแฟน (คุณสุชาติ ปั้นทอง) ครั้งแรกในงานวัดตั้งแต่ยังเด็ก แต่ระหว่างทางช่วงที่โตกันนั้นยังไม่มีเป้าหมาย ต่างคนต่างใช้ชีวิต มีกิจกรรมที่แตกต่างกันไป เขาเป็นสายกิจกรรมแบบ 100% เรื่องเรียนอยู่ที่หลัง ขณะที่เรา ‘เรียนนำ กิจกรรมไม่มีเลย’ การติดต่อกันและกันก็น้อยมาก ๆ … เพราะเรื่องมีอยู่ว่า สำหรับทางบ้านเราแล้ว ผู้ชายคนไหนก็ได้ ที่ ‘ไม่ใช่คนนี้’ อาจเกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน ระหว่างครอบครัว ทำให้มีความเข้าใจกันผิดระหว่างญาติพี่น้อง ยิ่งสมัยก่อนยังไม่มีการสื่อสารที่ดีแบบนี้ เป็นแบบปากต่อปาก คำพูดจากคนนึงกว่าจะไปถึงปลายทาง มีทั้งหาย ทั้งแต่งเติม ข้อมูลจึงเกิดการผิดเพี้ยน ซึ่งเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ยิ่งกว่าละครด้วยซ้ำ รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า ชีวิตต้องฝ่าฟันแบบนี้ ถึงจะพิสูจน์ว่า ‘รักแท้เป็นอย่างไร’ แล้วเราก็อยู่ได้ด้วยรักแท้เช่นกัน

สูงแค่ไหนก็ต้องข้าม : เมื่อผู้ใหญ่สร้างกำแพง เขาก็ต้องปีนกำแพงข้ามมาให้ได้ การพิสูจน์ตัวเองคือ ‘สร้างเนื้อสร้างตัว’ แฟนยอมลาออกจากการเป็นอาจารย์สอนมหา’ลัย เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถมีเงินมาสู่ขอ ขณะเราทำงานครั้งแรกที่ธนาคารอยู่ฝ่ายต่างประเทศ แฟนต้องแอบมารับส่ง ให้แม่รู้ไม่ได้ ไม่เคยมีรูปคู่ พอมีคนเห็นก็มาฟ้องแม่บ้าง เราจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะทุกคนเป็นห่วงในความเป็นหลานสาวคนเล็ก แต่เรายึดมั่นในเรื่องการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ การเรียนไม่เสีย การงานไม่เสีย ขณะที่เขาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบริสุทธิ์ใจจริง ๆ

รักแท้ต้องพิสูจน์ : ญาติผู้พี่ เรียกแฟนไปคุยเลยว่า จะ ‘มาเล่น ๆ ไม่ได้’ รู้นะว่าต้องเจออะไรบ้าง ขณะที่ญาติ ๆ ทราบเรื่องกันหมด กองเชียร์เยอะ เราอยู่ในสายตา ยกเว้นกับแม่ ที่ยังเปิดตัวไม่ได้ ทุกอย่างต้องให้เกียรติกัน มีเป้าหมายชัดเจน ต้องแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี ทุกคนต้องยอมรับเรา ก็ค่อย ๆ เล่าให้แม่ฟังแบบน้ำซึมบ่อทราย บอกว่าเราไปทำงานอะไรกันมาบ้าง แต่แม่จะยอมรับรึป่าวไม่รู้นะ ขอทำให้ท่านชินหูไว้ก่อน ให้เห็นว่าพวกเราตั้งใจทำมาหากิน สุดท้ายก็เพื่อดูแลครอบครัว รอแค่เวลาที่เหมาะสม จนกระทั่ง แฟนมาขอกับแม่ด้วยตัวเอง โจทย์ของแม่ตั้งไว้สูงมาก สินสอดต้องมากองให้เห็น ทั้งเงินสดและเครื่องประดับ งานเลี้ยงต้องจัดในโรงแรมห้าดาว จะมาถมที่ข้างบ้านจัดงานไม่ได้นะ เพราะแม่อยากรู้ว่า ‘ทำได้มั้ย’ แล้วทุกอย่างก็ได้มาครบอย่างฉิวเฉียด อาจเป็นเพราะทั้งเราสู้ไม่ถอยและมีโชคเข้าข้างอยู่บ้างในช่วงนั้น… เมื่อมองย้อนกลับไป รู้สึกว่าบางเรื่องก็เกินความจำเป็น แต่ ณ วันนั้น ไม่ทำไม่ได้ หลังจากนั้น แฟนก็กลายมาเป็นลูกเขยคนโปรด

ผู้รับเหมา : ชีวิตดีขึ้นในแง่ตัวเลข สามีค่อย ๆ โตในฐานะผู้รับเหมา แต่ก็ยังล้มลุกคลุกคลาน เราไม่มีทุนรอนเยอะ มีหนี้สิน อาศัยมีผู้สนับสนุนกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคุณแม่เริ่มป่วยอีกคน ถ้ายังทำงานประจำอยู่เราจะมาดูแลท่านไม่ได้ ทำให้ต้องออกมาทำงานด้านประกันภัยที่เหมาะกว่า โชคดีที่คุณพ่อปูพื้นฐานไว้ให้ ทั้งในเรื่องงานและความสัมพันธ์กับผู้คน เราจึงได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่เป็นพิเศษ

บททดสอบ : มีเรื่องต้องให้ตัดสินใจใหญ่อีกครั้ง เมื่อจะขยับขนาดธุรกิจให้ก้าวข้ามการทำแค่เรื่องงานฉนวน แต่นั่นต้องลงทุนเรื่องนั่งร้านซึ่งใช้เงินเยอะมาก ขณะที่ปัญหาส่วนตัวด้านต่าง ๆ ก็รุมเร้ารอบด้าน โดยส่วนใหญ่เราจะโทษตัวเอง จนวันนึงมาคุยกันว่า จะทำยังไงกันดี สัญญาเรื่องงานได้มาแล้ว แต่ไม่มีเงินลงทุน ต้องนำสินสอดไปขายบ้าง ไปวางทรัพย์สินไว้กับกัลยาณมิตรบ้าง ตัดสินใจหอบสัญญาเดินไปหาทุกธนาคาร แล้ววันที่ได้รับการอนุมัติ คือวันที่พ่อจากไป นี่คงเป็นบททดสอบชีวิตที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตเรา

บุญ – กรรม : เชื่อในหลักของบุญนะ บางครั้งไม่จำเป็นต้องทำด้วยเงิน อาจทำด้วยความดี สะสมมาด้วยความซื่อสัตย์ ในวิกฤติทุกอย่าง ก็ยังมีทางของมัน ชีวิตเราสองคนไม่ได้สบาย อาจมีกรรมจากอดีตชาติ ทำให้ต้องฝ่าฝันอุปสรรคเยอะมาก แต่มันก็ผ่านไปได้ ถ้าเหตุพ่อแม่สร้างไว้ดี ย่อมส่งผลดีนั้นมาถึงรุ่นลูก นั่นเป็นจุดนึงที่ว่า เราต้องสร้างเหตุดีไว้ เพื่อลูกเราจะได้ดีไปด้วย เพราะวันเริ่มต้นธุรกิจ กัลยาณมิตรของเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ ที่เคยคบค้ากันมา เขาสั่งพนักงานไว้ว่า กิจการปั้นทองเจริญไม่ต้องไปทวง อาจมีวิกฤติทำให้จ่ายช้าไปบ้าง แต่มีเมื่อไหร่เดี๋ยวเขามาจ่ายเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะโกง ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไร ซื้อเหล็ก ซื้อไม้มาทำนั่งร้าน เขาปล่อยให้หมด ไม่จำกัดวงเงิน

สุขภาพดีไม่มีขาย : ปี 2556 ธุรกิจขยายไปจนแตะหลักร้อยล้าน เรื่องงานกำลังรุ่ง แต่เรื่องสุขภาพกลับสวนทางกัน สามีทำงานหนักมาก พักผ่อนน้อย จนต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นครบร้อยวันที่คุณพ่อจากไป เขาต้องแกะสายน้ำเกลือมาร่วมทำบุญที่วัด โดยไม่อยากให้ใครรู้ว่าป่วยอยู่ หมอเป็นห่วงไม่อยากให้ออกมาเลย แต่เมื่อห้ามไม่ได้ ก็ขอต่อรองให้มีรถพยาบาลมาเตรียมพร้อมไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน เราก็บอกว่าทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเดี๋ยวญาติแตกตื่นกันหมดว่าเกิดอะไรขึ้น, ช่วงสามีป่วย ทำให้เราต้องดูทั้งลูกและงาน จนป่วยตามไปอีก เราสองคนต้องเข้าโรงพยาบาล เปิดห้องแพ็คคู่ ขนเครื่องมืออุปกรณ์ทำงาน ราวกับไปเปิดสำนักงานย่อยอยู่ในนั้น ทั้ง ๆ ที่ป่วยหนักกันทั้งคู่ แต่หยุดทำงานไม่ได้ ต้องเรียกลูกน้องมาประชุมที่โรงพยาบาล รักษาตัวกันไป ทำงานกันไป

พอดี = ดีพอ : พอรอดจากวิกฤติช่วงนั้นมาได้ ก็เกิดคำถาม ที่ทำให้ต้องมาคุยกันอย่างจริงจังว่า ชีวิตเรา ต้องการอะไรกันแน่? ตัวเลข หรือ สุขภาพ บทสรุปสุดท้าย มาตกผลึกที่ สุขภาพสำคัญที่สุด อย่างอื่นเอาแค่พอไปได้ ธรรมดา กลาง ๆ ตัวเลขอาจไม่สูงขนาดนั้น เพราะอะไรที่ ‘พอดี’ นั่นคือ ‘ดีพอ’ สำหรับเรา ถ้าตื่นมาแล้ว ยังหายใจสะดวก ลืมตาแล้วได้เห็นสามีอยู่ข้าง ๆ ได้เห็นลูก หูได้ยินเสียง ปากกินได้ ลิ้นยังรับรส ขายังเดินได้ ดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระใคร ได้กินข้าวกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว แค่นี้จบ พอใจแล้ว เรื่องอื่น ๆ ทุกอย่างแก้ปัญหาได้ เมื่อมีมุมมองแบบนี้ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ นี่คือความสุขที่แท้จริง ถึงแม้จะมีวิกฤติต่าง ๆ เข้ามาอีกบ้าง แต่ก็รับมือได้ ด้วยสติที่มั่นคง

กอล์ฟ : ตั้งแต่ยังเด็กเคยเห็นถุงกอล์ฟที่บ้าน รู้ว่าคุณพ่อออกไปตีกอล์ฟกับลูกค้า แต่เราไม่เคยไปด้วย ทำให้ไม่มีภาพจำในเรื่องนี้เลย จนสามีแนะนำ ทำให้ได้ไปเรียน ได้เริ่มเล่นกอล์ฟ มีออกรอบบ้างแล้ว แต่พอมีลูกคนแรกก็หยุดเล่นทันที จนลูกเข้าสู่วัยประถม เขาไปเรียนกอล์ฟ ซึ่งเราเคยเรียนมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก็ไปบอกลูกว่า ต้องทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่เชื่อ บอกว่าแม่ไม่ใช่โปร ทำให้เราหยุดทันที… หลังจากนั้นเริ่มมีไปออกรอบกับครอบครัว จนสุดท้ายต้องกลับมาเรียนกอล์ฟอีกรอบ หลังจากไม่ได้จับไม้มาเป็นสิบปี เพื่อไปเล่นกอล์ฟกับสามีและลูก ๆ

ครอบครัวแสนสุข : เป้าหมายชีวิตอีกสิ่งคือ มองว่ากีฬากอล์ฟ สามารถเล่นได้จนถึงอายุเยอะ ๆ ในทางกลับกัน สักวันลูก ๆ ก็ต้องแยกไปมีชีวิตของตัวเอง แต่เรามีเป้าหมายร่วมกันว่า อย่างน้อยทั้งครอบครัวควรมาออกรอบด้วยกันเดือนละครั้งสองครั้ง ได้ใช้ชีวิตสักครึ่งวันในการพูดคุยอัพเดทชีวิตของกันและกัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เรายังเล่นกอล์ฟด้วยกันได้ทุกคน เป็นธรรมนูญของครอบครัวเราว่า จะทำกิจกรรมนี้ร่วมกันไปทุกเดือน ตลอดไปค่ะ