Interview

ดร.วิทัศน์ ศรีสุวรรณเกศ

ดร.วิทัศน์ ศรีสุวรรณเกศ
บริษัท ซีเจเค อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด
“วันที่คุณดูถูกตัวเอง ใจจะดิ่งลงไปเรื่อย ๆ เวลาทำอะไร จะไม่ประสบความสำเร็จเลย”

ชีวิตคุณหนู :
ผมเกิดที่พะเยา ตั้งแต่ยังเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย วัยเด็กชีวิตเหมือนกับคุณหนู แต่พอชีวิตพลิกผัน จากสวรรค์ก็มารู้ว่านรกเป็นยังไง จากโรงเรียนที่ดีที่สุด ต้องมาเรียนเทศบาล ซึ่งวิถีชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม ต่างกันมาก คุณแม่เป็นช่างทำผมฝีมือดี ดังมากในอำเภอเมืองพะเยา พอย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ท่านมีความมุมานะ หางานจนได้เป็นอาจารย์สอนในสถาบันเสริมสวยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ ส่วนผมก็ไม่ได้ย้ายตามมา ยังเรียนหนังสือและอาศัยอยู่กับยาย

พนักงานขายรุ่นจิ๋ว :
แม่มาบุกเบิกชีวิตที่กรุงเทพฯ ชีวิตยังลำบากมาก รายได้ยังไม่ค่อยพอใช้ก็เลยทำให้ส่งเงินรายเดือนมาให้ลูกๆไม่ค่อยจะแน่นอน พอการเงินไม่แน่นอนเราก็ต้องดิ้นรน ผมก็เริ่มรู้จักชีวิตการเป็นพ่อค้าครั้งแรก ยายสอนให้รู้จักวิชาการขายรวมทั้งการการโน้มน้าวคน  อันนี้บอกเลยได้วิชาตรงนี้มาจากยายอย่างมาก ซึ่งยายมีอาชีพทำห่อหมกปลาและห่อหมกไก่ขาย ในแต่ละวันถ้าหากขายในตลาดสดไม่หมด มีห่อหมกเหลือ ผมต้องไปขายต่อในร้านเหล้าละแวกแถวบ้านช่วงกลางคืน ไปนั่งคุยกับพวกนักดื่ม ไปนั่งตื้อจนซื้อมาแกล้มเหล้า จากจุดนี้เองทำให้ได้รู้จักเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ที่กำลังดังในสมัยนั้นจำได้หมด ร้องตามได้ทุกเพลง  เปิดตู้เพลงเป็น, พอวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ไปขายหนังสือพิมพ์ วันไหนที่หวยออกก็ไปขายเรียงเบอร์ ทำทุกอย่างเพื่อหารายได้  พอช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ไปเร่ขายของบนรถประจำทางช่วงที่รถจอดพักตามสถานี สินค้าก็จะมี “ฮอลล์ ชิเคล็ทส์ กระดาษเช็ดหน้า เม็ดแตงโม ยาแก้เมา ยาหม่อง ยาดม ยาอมโบตัน” ขายในรถเมล์เขียวที่วิ่งต้นทางจากเชียงใหม่หรือลำปางไปเชียงราย พอวิ่งผ่านจุดพักรถ ก็ขึ้นไปขายของจากตำบลที่เราอาศัยอยู่ ไปยังท่ารถในตัวเมืองพะเยา นั่งไป และกลับ ได้ฝึกการขาย และฝึกความอดทน

กรุงเทพฯ :
ช่วงเรียน ป.5 ตอนนั้นผมชื่อเสียงดังมาก มีคนมาคุยให้แม่ฟังว่า เราเก่งอย่างโน้น เก่งอย่างนี้ จนแม่รู้สึกว่าอายที่ตัวเองเริ่มพอมีฐานะบ้างแล้ว แต่ทำไมปล่อยให้ลูกทำงานหนัก เลยเอาตัวผมเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนต่อที่โรงเรียนกิ่งเพชร ราชเทวี… ผมเปลี่ยนโลกเลย จากเบอร์หนึ่งบ้านนอก มากรุงเทพฯ รู้สึกว่าตัวเองโง่ จนได้เรียนต่อที่สันติราษฎร์ เริ่มปรับตัวได้ ผมเรียนดี แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจ ไม่ขยัน เป็นคนเรื่อย ๆ อาศัยชอบเดาข้อสอบได้ เลยอ่านไม่ค่อยเยอะ แล้วผมเป็น 1 ใน 5 คนของโรงเรียนที่สอบเทียบได้ตั้งแต่ ม.5 ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร ไม่มีใครให้คำแนะนำ เอ็นทรานซ์ครั้งแรก ติด ฟิสิกส์ ที่ มศว. มหาสารคาม แต่แม่ไม่มีเงินส่ง ต้องกลับมาอยู่บ้านทั้งปี ลงเรียน รัฐศาสตร์ ม.รามฯ เก็บหน่วยกิตไปได้สี่สิบกว่าหน่วย แต่ใจจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร

วนศาสตร์ :

พอดีมีญาติเรียน คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรฯ พอได้คุยกันเขาก็แนะนำ บอกว่ามาเรียนที่นี่สิ ตอนเอ็นฯ ใหม่ ผมก็เลือกไป แล้วสอบติด เมื่อปี 2528 ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอเข้าไปก็บอกว่าผมเป็นญาติของใคร รุ่นพี่ก็มองหน้าด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ช่วงประชุมเชียร์ เจอรับน้องด้วยวิธีว้ากจากรุ่นพี่เป็นร้อยคน จนงงว่านี่มันอะไรวะ? มีเรื่องนึงที่จำขึ้นใจ เพื่อนคนใต้เวลาบอกชื่อ เป็นสำเนียงทองแดง แล้วในคณะ มีรุ่นพี่ที่เป็นคนใต้ คนอีสาน เยอะมาก เขาคุ้นเคยสำเนียงกันอยู่แล้ว แต่ผมไม่คุ้นมาก่อน พอรุ่นพี่ถามผมว่า เพื่อนคนนี้ชื่ออะไร ก็ตอบไปตามที่ได้ยิน เขาถามย้ำอยู่หลายรอบ ผมก็ตอบผิดทุกรอบ ทำให้พวกเราปีหนึ่ง ถูกลงโทษด้วยกันทั้งหมดโดยการวิดพื้น รุ่นผม 52 บวกกับสร้อย “วนศาสตร์ เข้มแข็ง กล้าหาญ อดทน สามัคคี” อีก 5 รวมเป็น 57 ครั้ง พอครบก็ถามใหม่ ถ้ายังจำไม่ได้อีก ตอบผิด ก็โดนอีก วันพิธีรับเลส (ข้อมือ) เราวิดพื้น สก็อตจัมพ์ กันเป็นพันครั้ง (หัวเราะ) เราไม่เคยเจอมาก่อน กลับถึงที่พัก เหมือนกับเป็นอัมพาต ร่างกายเปลี้ยไปหมดเลย ญาติ คนที่แนะนำให้มาเรียน ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ไม่เตือนด้วยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่การลงโทษทั้งหมดที่ทำ ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าโหด โดนหนัก ๆ ผมกลับรู้สึกสนุกดี ท้าทาย รู้ว่ามีวัตถุประสงค์ให้พวกเราได้รู้จักกัน จำกันได้แม่น มีความรักและสามัคคีกันอย่างเหนียวแน่น ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ต่อเนื่องกันจนมาถึงทุกวันนี้ และผมยังได้ทำงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของทางมหา’ลัยอีกมากมาย เช่น เป็นประธานชมรมเห็ด ตอนปีสาม, เคยทำหนังสือ การเพาะเห็ดในถุงพลาสติก ขายดีพอสมควร แต่ได้เงินน้อย เพราะเราไม่มีหัวทางการตลาด แต่นั่นก็ดีใจแล้ว

ทำงานตรงสาย :
งานราชการช่วงนั้นนับว่าหาได้ยากมาก ป่าไม้ก็หายไปเรื่อย ๆ มีอยู่ช่วงที่เกือบย้ายไปเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ เพราะผลการเรียนของผมผ่านเกณฑ์ ต้นสังกัดก็ตอบรับแล้ว แต่พอไปฝึกงานภาคสนามในป่า จนสนิทกับเพื่อน ๆ เลยตัดสินใจเรียนต่อจนจบในสาขาวนผลิตภัณฑ์ แล้วได้งานตรงกับสายที่เรียน เป็นโรงงานผลิตไม้อัดชนิดต่าง ๆ เงินเดือนก็ดี ผมอยู่แผนกวิจัยทดลอง ต้องทำงานกับสารเคมีอันตรายมาก ตอนนั้นยังเด็ก ร่างกายเป็นยังไง หรือมีอาการป่วยก็ไม่รู้ตัว ทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่ยุ่งกับใคร เก็บเงินได้เยอะ จนวันนึงแม่สังเกตว่าทำไมผอมจัง สุดท้ายก็รู้ว่า ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปเราไม่รอดแน่ ต้องหางานใหม่

เส้นทางนักขาย :
เพื่อนชวนมาขายเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางกายภาพ เช่น ถุงน่องกันเส้นเลือดขอด แบบที่พยาบาลใช้กัน นั่นคืองานขายครั้งแรกของผม ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการเข้าหาแพทย์ว่าต้องไปพบช่วงเวลาไหน ถึงจะได้มีโอกาสเสนอสินค้า แต่ทำไปทำมาก็ไม่สนุก ไม่มีโอกาสโต ทำได้ไม่นานก็ออก แต่ช่วงตกงาน ผมไม่ได้บอกแม่ ทุกวันแต่งตัวเหมือนไปทำงานปกติ แล้วไปนั่งอยู่ที่สนามบินดอนเมือง อ่านหนังสือพิมพ์หางาน อยู่ที่นั่นถึงดึกทุกวัน จนเจ้าหน้าที่แถวนั้นคุ้นหน้า เป็นแบบนี้อยู่เดือนเต็ม ๆ รถก็ขายไปแล้ว เพราะคิดอยู่ว่าอยากจะไปเมืองนอก จนได้เจอรุ่นพี่โดยบังเอิญในห้องน้ำที่สนามบิน เขากลับจากยุโรป ทักทายกันจนรู้ว่าผมตกงาน พี่ให้ไปหาในวันรุ่งขึ้น นัดกัน 9 โมงเช้า แต่พี่บอกว่าขอไปทำธุระก่อน ให้ผมรอที่นี่ เดี๋ยวกลับเข้ามา วันนั้นฝนตกหนัก รถติดมาก ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ ทั้งวัน จนเลขารู้สึกเกรงใจที่รอนานมาก กว่าจะเจอหน้าพี่อีกที ตอน 4 โมงเย็น เขาก็ให้งานเลย ไม่ต้องสัมภาษณ์เยอะ เพราะเขารู้จักผมดีอยู่แล้ว เคยทำงานกิจกรรมต่าง ๆ ในมหา’ลัย ด้วยกันมาก่อน

เปิดโลกใบใหม่ :
การขายเครื่องครัวระดับโรงแรมเป็นงานใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ ทั้ง ครัวไทย ครัวจีน ครัวฝรั่ง ครัวแขก อุปกรณ์ไม่เหมือนกัน ผมต้องออกแบบเองได้ เปิดโลกอีกใบให้ผมเลย ฉลาดขึ้นเยอะ ติดต่องานเป็น เดินทางเองได้ รู้จักทุกแผนกของโรงแรม โดยเฉพาะในครัว เชฟแต่ละคน มีสไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน ช่องว่างระหว่างการหมุนตัว การวางเครื่องมือแต่ละชิ้น ต้องเอื้ออำนวยให้กับการทำงาน มีความปลอดภัย ขนาดเหมาะกับจำนวนลูกค้า ใบเสนอราคามีแค่สองหน้า แต่รายละเอียดหนาเป็นสมุดโทรศัพท์

Mini MBA ยุค IMF :
มีหลักสูตร มินิ MBA สำหรับผู้บริหารของบริษัทโดยตรง มีคนได้เรียนเป็นพัน แต่เลเวลผมไม่ถึง ยังเป็นแค่เซลส์ธรรมดา ไม่เข้าเกณฑ์ เลยควักเงินเรียนเอง ที่ ธรรมศาสตร์ เงินเดือนน้อยแต่อยากเรียน ผมโชคดีมาก เป็นรุ่นที่เจอกับเจ้าของธุรกิจตัวจริงเต็มไปหมด เป็นเถ้าแก่อู้ฟู่มาก ขับรถแพง ๆ ไปเรียน ทำให้ได้รับความรู้จากคนเหล่านี้ แต่พอเรียนสักพัก เกิดวิกฤติ ค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้หลายคนต้องล้มหายไปจากธุรกิจอย่างไม่ทันตั้งตัว วันรับประกาศฯ หลายคนน้ำตาคลอ เพราะหมดตัว จากเศรษฐีสู่ยาจกในชั่วเวลาไม่นาน เลยเรียกว่า รุ่น IMF

ฟองสบู่แตก :
ผมอยู่แผนกครัว ได้ผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้เยอะมาก บริษัทมีหนี้เสียหลายร้อยล้าน เก็บเงินไม่ได้ มีการประกาศว่า ถ้าปีนี้ไม่รอด ตัวใครตัวมัน แล้วก็เจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ มีการปิดสาขาทั่วประเทศ จากพนักงานเป็นพัน เลย์ออฟจนเหลือแค่ราวยี่สิบกว่าคน เงินผมเดือนยังน้อย มีแววที่จะพัฒนาได้ จึงเป็นหนึ่งในนั้นที่ยังรอดอยู่

ภาคใต้ :
ถูกส่งให้ไปทำงานที่ภาคใต้ โดยไม่มีอะไรให้เลย ผมหาเอกสารได้แค่ประวัติลูกค้า มีรายชื่อ แต่ไม่มีรายละเอียด ก็หอบกระดาษติดตัวขึ้นรถทัวร์ไป เจอเซลส์เก่าบอกว่า ภูเก็ตทำงานเป็นปีก็วิ่งไม่ทั่วหรอก ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ผมเช่ามอเตอร์ไซด์ ขับหาลูกค้า วิ่งไปตามแผนที่ไปเรื่อย ๆ ให้ไม่ซ้ำเส้นทางกัน อาทิตย์เดียว วิ่งไป 2 -3 ร้อยโรงแรม วิ่งหาลูกค้าเก่า ส่วนใหญ่ไปรับคำด่า เพราะมีช่วงปิด ไม่มีการให้บริการไปพักใหญ่ สองปีแรกผมขายไม่ได้ ไม่มียอดเลย จนจะถูกปลด แต่ผมก็พยายามต่อไป ขยายพื้นที่ จากภูเก็ต ไป กระบี่ สมุย หาดใหญ่ ฯลฯ ทำอย่างนี้วนไปเรื่อย ๆ ลูกค้าเห็นว่าผมอยู่ภาคใต้ตลอด จำหน้าได้ จนเริ่มขายได้ ยอดขายเริ่มโตขึ้น ๆ ตลอด

บทเรียนล้ำค่า :
จากการลงมือทำตลอด 7 ปี กับ 14 จังหวัด ที่ภาคใต้ นับเป็นสถานที่ฝึกงานที่ดีที่สุด รู้จักนายหัวภูเก็ตเกือบทั้งหมด ได้เห็นวิธีคิด วิธีบริหาร ได้รู้เส้นทางจนปรุ โรงแรมเล็กใหญ่ รู้จักหมด เช้าทำงาน พอตกเย็นไปนั่งดื่มตามร้านดัง ๆ ดี ๆ เพื่อดักคนโรงแรมให้เห็นเรา ผมจำลูกค้าได้หมด มีสมุดบันทึก พร้อมที่จะคุยงานได้ตลอด เรียนรู้ด้วยว่า คนนี้พูดอะไร เราก็จดไว้ กลับมาอ่าน ทำการบ้าน ขยันออกไปเจอคนทุกวัน จนรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร หลอกใช้หรือจริงใจกับเรา ผมอ่านคนออกก็จากการทำงานที่ภาคใต้ หรืออยากขายของให้โรงแรมไหน ก็ไปพักที่นั่น แพงกว่างบที่เบิกได้ก็จ่ายเอง เพราะอยากให้เจ้าของเห็นหน้า เช้ามา เขาเห็นเราแล้ว แต่เราไม่คุยเรื่องการขาย เปิดคอมนั่งทำงานไปเรื่อย จนกระทั่งเขาสนใจว่าเราทำอะไร เราถึงเริ่มเปิดประเด็น บางครั้งเจอเจ้าของที่เขาดื่มตั้งแต่เช้า ผมไม่เคยก็ต้องดื่มด้วย เมากลิ้งเลย จากนั้นก็ดื่มได้ทั้งวัน

ตรงไปตรงมา :
บริษัทไม่มีศูนย์บริการ แต่ใช้ระบบตัวแทนจำหน่าย ผมเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอว่าควรเป็นใครบ้าง ใครไม่พร้อมก็เป็นซับไปอีกที ทำให้ผมมีเด็กปั้น รู้จักกันหมด บางคนเป็นช่างธรรมดา จากไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวนี้รวยกว่าผมอีก ทำให้ผมภูมิใจมาก เมื่อผมขายได้จะโยนยอดให้เขาหมด ลดราคาพิเศษให้ด้วย ไม่ขายตรงเอง เขาจะให้ส่วนแบ่งก็ไม่รับ เพราะผมได้จากบริษัทอยู่แล้ว เรามีศักดิ์ศรี และซื่อสัตย์ วิธีการแบบนี้ ทำให้เราไม่มีแผล ใครมาทำอะไรไม่ได้

ปลูกต้นธุรกิจ :
ธุรกิจซักรีดอุตสาหกรรม เหมือนกับการปลูกต้นไม้ยืนต้น ต้องขายไปด้วย ปลูกไปด้วยเรื่อย ๆ ผมวิ่งวันละสิบราย โรงแรมใหญ่ ๆ ต้องรู้จักทั้งหมด เคยคุยกับเจ้านายว่า ผมจะคุยตั้งแต่ระดับล่างขึ้นไป ส่วนเจ้านายผม ให้คุยจากผู้บริหารข้างบนลงมา แล้วเรามาเจอกันระหว่างกลาง แล้วเราจะขายได้

ปริญญาโทใบแรก :
ปี 2544 ลูกค้าเริ่มนิ่ง พอมีเวลาว่าง จะเรียนปริญญาโท ที่ ม.สงขลาฯ แต่เวลาไม่ลงตัว จนไปทราบว่า ม.วลัยลักษณ์ เปิดปริญญาโท MBA (บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต) เป็นรุ่นที่นำคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำไปสอน จึงเข้าเรียนที่นั่น ทำให้ได้รับความรู้ต่อยอดเพิ่มขึ้นจากที่เคยเรียน มินิ MBA มาแล้ว

เถ้าแก่ :
ปี 2547 ตำแหน่งของผมถึงทางตัน ยากที่จะไปต่อ ตอนลาออก ไม่ได้วางแผนอะไรเลย คิดแค่ว่าอยากจะเปลี่ยน เพราะเราโตไม่ได้ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ออกมาก็ขายอุปกรณ์ดับเพลิงนิดหน่อย ๆ แต่การออกของผมไปกระทบยอดขายในบริษัทมาก โดยเฉพาะในภาคใต้ เจ้านายเก่าก็เรียกไปคุย บอกให้มาเป็นดีลเลอร์ ผมถามเลยว่าที่ไหน ถ้าเป็นภาคใต้ไม่เอา เพราะไม่ต้องการฆ่าเพื่อนฝูง เพราะลูกค้าอยู่ในมือผมอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นภาคกลาง เพราะเขาเคยลองผิดลองถูกมาแล้ว แต่ไม่เวิร์ค ลูกค้าแต่ละภาคมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภาคใต้ถ้านายหัวถูกใจ เซ็นสัญญาจ่ายเลย เงินคล่อง แต่ถ้าเป็นภาคกลาง โรงแรมขนาดเล็ก ไม่ลงทุนมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ บางครั้งเจอเล่ห์เหลี่ยม ดึงเช็ค จ่ายเงินช้า โดนไปหลายราย จนเครดิตที่เราสร้างมาแทบหมด เคยติดแบล็คลิสต์ไปเหมือนกัน จากลูกจ้างดีเด่น มาเป็นเถ้าแก่ที่แย่ เราไม่ได้เตรียมตัว ต้องปรับตัวอยู่เป็นปี จนในที่สุดก็ได้เป็นดีลเลอร์ดีเด่นหลายปีติด

ในวิกฤติย่อมมีโอกาส :
เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เพิ่งมาทำช่วงโควิด ก่อนหน้านี้เคยไปประชุมที่สวีเดน และยุโรป เราเห็นร้านซักผ้าแบบบริการตัวเองมีเยอะมาก แต่ประเทศไทยยังไม่มีส่วนหนึ่ง สาเหตุคือเทคโนโลยีของประเทศไทยตอนเวลานั้นมันยังไม่ตอบโจทย์ที่จะเปิดแบบ24 ชม. เราเคยเสนอสำนักงานใหญ่ว่าขอทำแต่เขาไม่เชื่อว่าคนไทยจะทำได้ จนกระทั่งมีบริษัทต่างชาติเข้ามาทำ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าเพราะเมืองไทยมีกติกา มีกฎหมาย และวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนชาติอื่น การจะเข้ามาคุยเรื่องทำเลจึงทำได้ยาก ทำให้แบรนด์เสียโอกาส จนคู่แข่งที่นำเข้ามาเริ่มเติบโตไปไกลมากแล้ว ช่วงนี้ผมเลยขอโอกาสจากสำนักงานใหญ่มาขายเอง จนช่วงโควิด จาก วิกฤติก็กลายมาเป็นโอกาส ช่วงนั้นคนใช้ชีวิตลำบากมาก ถูกจำกัดเรื่องการห้ามเดินทาง แต่บางธุรกิจยังจำเป็นต้องทำอยู่ เช่นโรงงานผลิตอาหาร ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงนั้นรถขนส่งยังวิ่งได้อยู่ ทำให้ผมยังขายสินค้าได้ ก็หาช่องทางเสริม มาเปิดร้านซักผ้าแบบ24 ชม.  เพื่อนฝูงที่เคยเรียนคอร์สพิเศษมาด้วยกันอยากจะเปิดร้านแนวนี้ ผมก็ขายให้ในราคาพิเศษ ถ้าร้านไปได้ดี เขาก็แนะนำคนอื่นต่อ เป็นการตลาดแบบปากต่อปาก ช่วงปีโควิด เปิดไปสี่สิบกว่าแห่ง ได้กำไรมากที่สุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเลยก็ว่าได้ ดูแลพนักงานทุกคนให้อยู่กับเราครบทุกคน ทุกแผนก ไม่มีลดเงินเดือน แถมใจดีแจกโบนัสให้เยอะด้วย แล้วก็ดำเนินกิจการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

นิติศาสตร์ :
พองานเข้าที่ มีเวลาว่างวันหยุด ช่วงใกล้จบปริญญาโท ก็ไปเรียนนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ พอจบก็สอบตั๋วทนาย จนได้ว่าความ การเป็นทนายก็สนุกดี มีการซักพยาน การวางกลยุทธ์ ต้องศึกษาคดีเก่า ๆ แล้วลากให้ไปถึงคำพิพากษาคดีในแนวเดียวกัน โอกาสที่ชนะจะเยอะกว่าแพ้ ชีวิตผมมันต้องสู้ ไม่ได้สบายเหมือนคนอื่น บางวันพอมีเวลาว่างก็รับงานว่าความ ในความคิดผมสมัยนั้นรายได้จากอาชีพทนายไม่ได้เยอะแบบสมัยนี้ แต่สำหรับผมมองเลยว่าถ้าทำอาชีพทนายเป็นหลักไส้แห้ง แน่นอน เลยไม่คิดจะทำเป็นอาชีพหลัก บางครั้งว่าความอยู่ ก็มีลูกค้าโทรมาต่อรองราคาสินค้า จนต้องปิดมือถือไปก่อนก็มี มันดูวุ่นวายไปพอสมควร

โทอีกใบ :
พอจบธรรมศาสตร์ ก็เรียนปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต อีกใบที่นิด้า (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) ทำให้ได้พบคนอีกหลากหลาย เป็นอีกประสบการณ์ ของชีวิต ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจการค้าของเราเลย ด้วยความที่ขี้เกียจอ่านหนังสือเยอะ เวลาเรียนหนังสือ ผมจะค้นหาภาพประกอบในตำรามาช่วยให้เราเข้าใจวิชาการได้ง่ายขึ้น เวลาติวให้เพื่อนหรือรุ่นน้องเราก็จะเอาภาพพวกนี้มาติวให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เพื่อให้คนเข้าใจง่าย เพราะคิดว่า ‘หนึ่งภาพ ดีกว่าบรรยายพันคำ’ ถ้าเขาไม่มีเวลาอ่าน ก็ให้มองภาพรวมแบบนี้ก่อน เหมือนให้เห็นเป็นโครงสร้างใหญ่ๆ ติวให้เข้าใจในทฤษฎี แล้วให้นำทฤษฎีที่ชอบตอบลงไป เหมือนกับเราสร้างโครงบ้านแล้วให้เขาเอาเฟอร์นิเจอร์ที่ชอบใส่เข้าไป แต่ทฤษฎีที่ชอบที่ต้องตรงกับโจทย์ด้วยนะ  แล้วอธิบายให้สอดคล้อง  ลากให้เข้าไปตอบให้ตรงกับโจทย์ของอาจารย์ วิธีผมเป็นแนวใหม่ ไม่ต้องจำหนังสือเยอะ ไม่ต้องท่องเยอะ ผมได้จากหลักการเป็นทนาย มีเหตุและผลไล่ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมเป็นติวเตอร์ที่ดังมากในนิด้าช่วงนั้น แนวเดาข้อสอบแม่น แถมฟันธงให้ด้วย แล้วข้อสอบที่ออกก็ไม่หนีไปไหน ผมติวรุ่นน้องให้ได้เกียรตินิยมไปเยอะมาก

ปริญญาเอก :
ได้เรียนด้วยความบังเอิญ ไปเข้าห้องน้ำที่มหา’ลัย เห็นประกาศของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต ก็สมัครเรียนเลยดื้อ ๆ โดยไม่มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ แล้วเรียนจบภายในสามปีกับอีกซัมเมอร์ เร็วที่สุดในมหา’ลัย ที่ทำได้เพราะนิสัยผมจะวางแผนไว้ก่อน หาหัวข้อเนิ่น ๆ หาโมเดล อ่านเอกสารของเมืองนอก เก็บสะสม อ่านไปเรื่อย ๆ พอเห็นแนวทางว่าจะใช้โมเดลไหน ก็หยิบขึ้นมาอ้างอิงได้เลย เพราะผมดูทุกวัน แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าโมเดลนี้ใช้ไม่ได้ วันรุ่งขึ้นผมก็เปลี่ยนใหม่ได้เลยทันที พอจบก็ไม่ได้ใช้ความรู้ในสาขาโดยตรง เพราะผมชอบเรียน ชอบแชร์ เคยเป็นอาจารย์พิเศษ แต่ถ้าจะให้ไปสอนเป็นเรื่องเป็นราว ต้องทำคะแนน ตรวจข้อสอบ จะไม่ชอบตรงนั้น ถนัดการไปบรรยาย ไปแชร์ไอเดียให้เด็ก ๆ คิดว่าอาชีพที่อาจจะเหมาะกับผมน่าจะเป็นอาชีพเป็นครูแนะแนวมากกว่า

นักวิ่งมาราธอน :
ด้วยความเป็นเด็กวนศาสตร์ ผมเป็นนักวิ่งอยู่แล้ว, ฟุตบอล กีฬาอื่น ๆ ก็เล่นบ้าง แต่ชอบวิ่งมากกว่า มาวิ่งเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ตอนเรียนคอร์สพิเศษ เมื่อปี 2554 เริ่มรู้จักว่า มีการจัดวิ่งระยะต่าง ๆ 10 กิโลฯ มินิฯ ฮาร์ฟฯ จนถึง มาราธอน 42.195 กิโลเมตร ครั้งแรก ที่ ลากูน่า ภูเก็ต ออกสตาร์ท แปดกิโลฯ แรก ฝนตกหนัก ฟ้าผ่าตลอดทาง นึกในใจว่าตายแน่ วิ่งไปอีกพักแดดเปรี้ยง เส้นทางเป็นเนินซึม ๆ ไปเรื่อย ๆ จนวนกลับมาเข้าเส้นชัยแบบตะคริวกินทั้งตัว ตัดตัวที่ 7 ชั่วโมง ผมวิ่งไป 6 ชั่วโมง 10 นาที, เรื่องวิ่งระยะทางไกล ๆ เราวางแผนการวิ่งให้อยู่ในช่วงปลอดภัยได้ ถ้าตัด 7 ก็วิ่ง 6 ได้ แต่ถ้าตัด 6 แบบที่ญี่ปุ่น ก็วิ่ง 5 ได้ ที่รอดมาก็เพราะช่วงวิ่งต้องหันมาดูร่างกายตัวเองเป็นระยะ ๆ ถ้าตะคริวมาก็หยุด เดินชมนกชมไม้ ผมวิ่งแบบมีความสุขในระหว่างทาง ไปเรื่อย พอเจอตากล้องก็เข้าไปถ่ายรูป ในแต่ละงานผมจ่ายค่ารูปตัวเองที่ตัวเองไปเยอะมาก

ระยะทางพิสูจน์ใจ :
จบมาแล้วทั้งหมด 14 มาราธอน รายการดัง ๆ ในบ้านเราเก็บหมด ประเทศญี่ปุ่น ที่โอซาก้า ก็เก็บมาแล้ว ผมใช้วิธีวิ่งตามกำลังตัวเอง งานวิ่งมาราธอนล่าสุด ช่วงวิ่งที่กม.34  วิ่งไปถามตัวเองไป จนเริ่มมีความรู้สึกว่า เราทำไปเพื่ออะไรวะ? หรือสงสัยจะหมดไฟ เพราะไม่ได้ต้องการชนะตัวเอง ไม่ได้ต้องการเพื่อทำสถิติตัวเอง หรือ New PB (Personal Best) แต่ผมวิ่งเพื่ออยากพิสูจน์ใจตัวเองว่าในตลอดห้าหรือหกชั่วโมงกว่านั้น ช่วงอยู่ในเส้นทางวิ่งที่มี ทั้งแดด ทั้งฝน มันเหมือนกับการเรียนรู้ใจตัวเอง เพราะเวลาวิ่งจะต้องรู้ว่า เรามาทำอะไรตรงนี้ ทำไมต้องมาอดทนกับใช้ชีวิตกลางแจ้งในเวลาที่ยาวนานด้วย มันเป็นการฝึกตัวเองขั้นสุดอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ

กอล์ฟ :
ตอนเรียนนิด้า ผมยังไม่เล่นกอล์ฟ แต่พอได้จัดงานกอล์ฟเพื่อหารายได้ เราเป็นตัวหลักในการหาสปอนเซอร์ เพราะในอดีตผมเป็นมือหาสปอนเซอร์มาตั้งแต่อยู่ ม.เกษตร เรียนรู้วิธีการทำงานมาหมดแล้ว พอเข้าสมาคมสถาบันพระปกเกล้า เราก็ช่วยจัดกอล์ฟเพื่อหารายได้เข้าสมาคม ก็ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ของสมาคม จนได้เข้าไปเป็นกรรมการสมาคมฯ ช่วงที่ยังตีกอล์ฟไม่เป็น เห็นคนอื่นเล่นกอล์ฟกันจนความสนใจ เลยใช้วิธีไปหาโปรสอน เริ่มหัดจับวง จำได้ว่าพอออกรอบครั้งแรกที่สนามพลูตาหลวง  สัตหีบ ผมได้รางวัลบู้บี้มาแบบยังงง ๆ จากนั้นเพื่อน ๆ ก็พาไปตีกอล์ฟในที่ต่าง ๆ ไปมาทั่วประเทศ สนุกสนานไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2548 ผมเป็นนักกอล์ฟที่ใจร้อน ไม่ค่อยละเอียดในแต่ละช็อต บางทีตีมาดี ๆ ก็มาเสียเพราะใจสู้ ใจร้อน ไม่ค่อยวางแผน แต่ยังมีจุดแข็งคือ เอาตัวรอดได้ ถ้าในเกมส์เพลี่ยงพล้ำมาก ๆ ก็ฮึดสู้จนกลับมาได้ ใครจะกินเราก็ต้องเหนื่อยหน่อยว่างั้น

สุขภาพ :
ผมออกกำลังกายทุกวัน จะรักษาร่างกายตัวเองให้ลีน ไม่ให้อ้วน เพราะทำให้สมาร์ท ใส่เสื้อผ้าสวย ไปไหนก็สะดวก คล่องแคล่ว ว่องไว อายุขนาดนี้ยังสามารถวิ่งมาราธอน ยังทำอะไรได้โดยไม่เหนื่อยง่าย ทุกเช้าก่อนอาบน้ำ วิดพื้น 100 ครั้ง อาบเสร็จต่ออีก 50 แต่ละวันอย่างน้อยต้องได้ 200 ครั้ง มียกดรัมเบล 2 – 3 เซ็ต มีซ้อมกอล์ฟบ้าง ช่วงไม่มีฝุ่นก็ไปวิ่งสวนจตุจักร ราว 10 กิโลฯ สัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ถ้าเข้าฟิตเนสก็เล่นอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่จะไม่วิ่งสายพานเพราะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมากที่วิ่งอยู่กับที่  ส่วนเรื่องอาหารผมไม่ได้คุมอะไร กินปกติทั่วไป ครบสามมื้อ อาจจะโชคดีที่ร่างกายเผาผลาญได้เร็ว ทำให้เวลากินแล้วย่อยง่าย สบาย ๆ ปีนี้ที่จะเริ่มงดอาหารทุกวันพระ เพราะเริ่มจะถือศีล 8 พอช่วงหลังเที่ยงผมไม่แตะต้องอาหารเลย

ให้คุณค่าตัวเอง :
ผมบอกตัวเองเสมอว่า ชีวิตนี้จะ ‘ไม่ดูถูกตัวเอง’ ไม่ว่าจะล้มเหลวขนาดไหน หรือประสบความสำเร็จมากเพียงไรก็แล้วแต่ แต่ใจเราต้องสู้ ต้องมองโลกในแง่บวกเสมอ ‘เราไม่กระจอก’ ต้องหัดคิดแบบนี้ เพราะคิดว่าในวันที่คุณดูถูกตัวเอง ใจจะดิ่งลงไปเรื่อย ๆ เวลาทำอะไรเราจะไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะใจมันไม่สู้ไง แต่ถ้าคิดว่าคุณ ‘เจ๋ง’ คุณแค่ก้าวพลาด แค่ล้มเหลว จะกี่ครั้งก็ว่าไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องล้มเลิก ต้องยอมแพ้ เพราะเมื่อไหร่ที่ล้ม ผมจะกลับมาได้เสมอครับ