แจ็ค นิคคลอส
แจ็ค นิคคลอส
ที่ผ่านมา เอ่ยอ้างถึงสุดยอดนักกอล์ฟในประวัติศาสตร์มาหลายท่าน และเมื่อยิ่งลงลึกกับอดีตก็ยิ่งพบว่า อีกหนึ่งในที่สุดของนักกอล์ฟที่ทุกสำนักชี้ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ “เจ้าหมีทอง” แจ็ค นิคคลอส ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เขาอยู่บนยอดสูงสุดของความสำเร็จ ขนาดที่ช่วงหนึ่ง มีผู้คนคาดการไว้ว่า “เสือ” อย่าง ไทเกอร์ วูดส์ จะเทียบรัศมีและจะแซงทิ้งห่าง ลบสถิติของปู่แจ็คอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่ในที่สุดก็ยังไม่เกิดขึ้นได้ ทำให้บันทึกของตำนานกอล์ฟ ยังคงยกให้นักกอล์ฟผู้นี้ อยู่บนหิ้งชั้นสูงสุดของทำเทียบเกียรติยศในโลกของกอล์ฟอีกต่อไป ตราบนานเท่านาน ลองมาค้นหาเรื่องราวของเขาผู้นี้กันครับ…

แจ็ค นิคคลอส (Jack Nicklaus) เป็นหนึ่งในนักกอล์ฟที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬากอล์ฟ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มีฉายาว่า “เจ้าหมีทอง” (The Golden Bear) เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1940 ในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ชื่อเต็มคือ ‘แจ็ค วิลเลียม นิคคลอส’ เริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่อายุยังน้อย โดยได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ ‘ชาร์ลี นิคคลอส’ ซึ่งเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นที่เก่งมาก ๆ, แจ็ค แสดงความสามารถที่โดดเด่นตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยชนะการแข่งขันโอไฮโอ สเตท จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ เมื่ออายุได้เพียง 16 ปี และยังชนะการแข่งขันโอไฮโอ สเตท โอเพ่น กลายเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดของการแข่งขันนี้
นิคคลอสเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ซึ่งเขาสามารถรักษาความสมดุลของการศึกษาและการเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นที่กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของเขาในช่วงนี้คือการชนะการแข่งขันยูเอส อเมเจอร์ แชมเปี้ยนชิพ ถึงสองครั้งในปี 1959 และ 1961 โดยในปี 1960 เขาจบอันดับสองในการแข่งขันยูเอส โอเพ่น ด้วยการแพ้ให้กับ อาร์โนลด์ พาล์มเมอร์ ซึ่งเป็นยอดในกอล์ฟในช่วงนั้น เพียงสองสโตรก เป็นการแสดงความสามารถที่น่าประทับใจเป็นอย่างมากสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่น
นิคคลอส เปลี่ยนมาเป็นนักกอล์ฟอาชีพในปี 1961 และมีผลกระทบทันทีต่อวงการกอล์ฟอาชีพ เพราะเขาชนะการแข่งขันรายการยูเอส โอเพ่น ครั้งแรกในปี 1962 โดยเอาชนะพาล์มเมอร์ในการแข่งขันเพลย์ออฟ ชัยชนะนี้เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพที่ยิ่งใหญ่ และได้รับการยอมรับอย่างสูงสุดในฐานะผู้ชนะการแข่งขันเมเจอร์ถึง 18 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน รายการเมเจอร์ที่เขาชนะมีดังนี้…
– มาสเตอร์ ทัวร์นาเมนต์ 6 ครั้ง (1963, 1965, 1966, 1972, 1975, 1986)
– ยูเอส โอเพ่น 4 ครั้ง (1962, 1967, 1972, 1980)
– ดิ โอเพ่น แชมเปี้ยนชิพ 3 ครั้ง (1966, 1970, 1978)
– พีจีเอ แชมเปี้ยนชิพ 5 ครั้ง (1963, 1971, 1973, 1975, 1980)

หนึ่งในความสำเร็จที่น่าทึ่งของนิคคลอสคือ ความสามารถในการรักษาความเป็นนักกอล์ฟชั้นยอด ในระยะเวลาที่ยาวนาน เขาชนะรายการเมเจอร์สุดท้ายคือ มาสเตอร์ ทัวร์นาเมนต์ ในปี 1986 เมื่ออายุ 46 ปี ทำให้เขาเป็นแชมป์มาสเตอร์ที่อายุมากที่สุด
นิคคลอส มีชื่อเสียงในสไตล์การเล่นด้านการตีลูกที่ทรงพลัง การเล่นเหล็กที่แม่นยำ ความแข็งแกร่งทางจิตใจ ความสามารถของเขาในการเล่นภายใต้ความกดดันไม่มีใครเทียบได้ เขามักจะทำผลงานได้ดีในรอบสุดท้ายของการแข่งขันเมเจอร์ คู่แข่งหลักของเขารวมถึง อาร์โนลด์ พาล์มเมอร์, แกรี่ เพลเยอร์ และต่อมา ทอม วัตสัน ซึ่งแต่ละคนได้ผลักดันให้ นิคคลอส ต้องยกระดับการเล่นของตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกอยู่ตลอด
นอกจากอาชีพนักกอล์ฟแล้ว นิคคลอส ยังมีบทบาทสำคัญในการออกแบบสนามกอล์ฟ การทำงานเพื่อสังคม และการส่งเสริมกีฬากอล์ฟ เขาได้ออกแบบสนามกอล์ฟกว่า 400 สนามทั่วโลก แต่ละสนามสะท้อนถึงความคิดอย่างแยบยลตลอดจนกลยุทธ์ของเขาในกีฬากอล์ฟ และยังได้เขียนหนังสือหลายเล่ม เกี่ยวกับเทคนิคการเล่นกอล์ฟและชีวิตในอาชีพ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสำเร็จและปรัชญาชีวิตของเขา

แจ็ค นิคคลอส แต่งงานกับ บาร์บาร่า แบช ในปี 1960 มีลูก 5 คน และหลานอีกมากมาย ครอบครัวเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและอาชีพของเขา มักจะเห็นเครือญาติคอยตามชมตามเชียร์ในระหว่างการแข่งขัน นิคคลอสยังได้รับรางวัลและการยกย่องมากมาย รวมถึงเหรียญเสรีภาพ (Medal of Freedom) ในปี 2005 และเหรียญทองของรัฐสภาในปี 2015 เรื่องราวของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่การชนะรายการเมเจอร์ แต่ยังรวมถึงการมีอิทธิพลต่อการเติบโตและความนิยมของกอล์ฟทั่วโลก เขายังทำงานเพื่อสังคม ผ่านมูลนิธิสุขภาพเด็กของนิคคลอส แจ็คและบาร์บาร่า นิคคลอส มีการระดมทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนบริการดูแลสุขภาพเด็ก เป็นการอุทิศตนเพื่อตอบแทนสังคม สะท้อนถึงค่านิยมและความตั้งใจที่จะทำให้เกิดผลประโยชน์ที่ดีให้กับส่วนรวม
แจ็ค นิคคลอส มีชีวิตและอาชีพที่ทิ้งร่องรอยสำคัญ เป็นบุคคลที่น่ายกย่องสูงสุดอีกคนหนึ่งในวงการกอล์ฟ ความสำเร็จและการมีส่วนร่วมของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกอล์ฟและแฟน ๆ ทั่วโลก ต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน นั่นจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า ทำไมเขาจึงได้รบการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจะยังคงอยู่ในใจของชาวโลกใบนี้ต่อไปอีกนานแสนนานอย่างไม่ต้องสงสัย
เรื่อง – ภาพ : wikipedia.com, dispatch.com