Interview

ประพันธุ์ คูณมี

ประพันธุ์ คูณมี
สมาชิกวุฒิสภา / ทนายความ
“ถ้าคิดดีใฝ่ดี คงไม่ทำผิดศีล ไม่ทำในเรื่องไม่ถูกต้อง”

ลูกอีสาน : โดยสายเลือดผมก็คือคนอีสาน เพราะเกิดและโต ที่ อำนาจเจริญ แต่มาเติบโตที่หนองคาย เรียนที่ขอนแก่น ก่อนเข้ามากรุงเทพฯ ครอบครัวของผมเป็นร้านขายอาหาร ขายกาแฟ เป็นสโมสร เป็นที่ทำการสมาคมศิษย์เก่าประจำอำเภอ เป็นศูนย์รวมของบรรดาข้าราชการ เป็นที่สังสรรค์ ฯลฯ ตั้งอยู่ติดกับด่านศุลกากร อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย อยู่ตรงข้ามกับ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว ทั้งหมู่บ้าน เวลาจะดูแข่งขันชกมวย ก็มาดูทีวีที่บ้านเรา เป็นที่รวมของผู้คนในยุคนั้น แล้วที่บ้านยังขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเสียง ส่งสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค ไปขายฝั่งเวียงจันทร์ ตอนเด็กผมช่วยดูแลร้าน ขายแผ่นเสียง ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เสิร์ฟกาแฟ บดกาแฟ ทำงานทุกอย่างได้ เวลาส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ ก็ช่วยไปส่งให้ที่ฝั่งโน้นด้วย และที่บ้านยังมีรถสามล้อให้เช่า ผมจึงมีหัวเข้าใจในเรื่องการค้ามาตั้งแต่เด็ก

วิศวกร : ผมเรียนจนจบมัธยมที่นั่น ไปเรียนหนังสือ ก็ชอบการเรียน แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ กีฬา ตั้งแต่วิ่งเปี้ยว วิ่งเร็ว ตะกร้อ บาสฯ ฟุตบอล ชอบเล่นจนได้เป็นนักฟุตบอลประจำอำเภอ ฟุตบอล เล่นตำแหน่งปีก บางครั้งก็เป็นศูนย์หน้า แต่ได้เล่นแค่ในระดับอำเภอ จังหวัด เคยข้ามไปแข่งเชื่อมสัมพันธ์ที่ฝั่ง สปป.ลาว ด้วย ก็สนุกดี สำหรับชีวิตที่อยู่แถวชายแดน วัยเด็ก ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกร พอเข้ามาเรียนวิทยาลัยเทคนิคไทย-เยอรมัน ที่ขอนแก่น เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในด้านเทคนิคคัล เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเยอรมัน จึงเป็นความใฝ่ฝันของเด็กต่างจังหวัดที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะจบแล้วมีงานทำแน่นอน จะไปเรียนต่อที่อื่น ๆ หรือจะไปเยอรมัน เป็นวิศวกร ก็มีหนทางที่ดี มีช่องทางในอนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วย

ชีวิตหักเห : ระหว่างเรียนปีสุดท้ายกำลังจบที่ขอนแก่น กำลังคิดว่าจะเตรียมตัวไปเรียนต่อที่เยอรมัน ก็เกิดเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 นักศึกษา ประชาชน เดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยกันทั่วประเทศ เราเป็นนักเรียนนักศึกษา ไทย-เยอรมัน ก็ออกเข้ามาร่วมชุมนุม มีความตื่นตัวกันถ้วนหน้า พอเหตุการณ์ผ่านไป รู้สึกว่าตัวเองเกิดสนใจในเรื่องประเทศชาติ การบ้าน การเมือง การบริหาร การปกครองประเทศ สนใจอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับนักต่อสู้ นักปฏิวัติ นักเปลี่ยนแปลงสังคม ขณะที่เพื่อนบางคนไปเยอรมัน หรือมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ บ้าง แต่เราตัดสินใจ มาเรียนนิติศาสตร์ สนใจเรื่องการเมือง การปกครอง การบริหาร เลยชวนเพื่อนมาเรียนกฎหมายด้วยกัน สมัยนั้นเป็นวัยรุ่น ตัดสินใจเร็ว ชอบอะไรขึ้นมาก็ไปเลย (หัวเราะ)

ราม – ธรรมศาสตร์ : เข้าไปเรียนที่รามฯ ขณะเพื่อนหลายคนเรียนที่ธรรมศาสตร์ เพราะเขาเอ็นทรานซ์มาแล้ว แต่ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมาทางนี้ แล้วผมเป็นคนเดียวที่ไม่เหมือนนักศึกษาคนอื่น เวลาเรียน มาเรียนที่ธรรมศาสตร์ แต่เวลาสอบ ไปสอบที่รามคำแหง (หัวเราะ) ฟังเลคเชอร์ อ่านหนังสือในห้องสมุดของธรรมศาสตร์ เพราะมีตำรากฎหมายเต็มไปหมด เป็นคลังความรู้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เหมือนตักศิลาทางกฎหมาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบ เรียนด้วยใจรักใจชอบ อ่านหนังสือตลอด อาจารย์ถามอะไรมาก็ตอบได้หมด ผมเรียนจบภายในเวลาสองปีครึ่ง

กิจกรรม : ทำเป็นหลักเลย (หัวเราะ) มาอยู่ธรรมศาสตร์มีแต่เพื่อนทำกิจกรรม พวกที่อยู่ตึกโดม เป็นศูนย์รวมของกลุ่มคนที่มีความคล้ายกัน ไม่ว่าศูนย์กลางนิสิต สหพันธ์นักศึกษา องค์กรบริหารนักศึกษา พรรคการเมืองของมหา’ลัย ชมรมต่าง ๆ เต็มไปหมด เราไปร่วมกับเพื่อน ๆ ทั้งเรียนหนังสือ และเป็นทั้งนักทำกิจกรรมทางการเมือง, หลัง 14 ตุลา รัฐบาลส่งเสริมให้นักศึกษาออกไปชนบท เพื่อเผยแผ่ประชาธิปไตย ไปออกค่าย ให้ความรู้กับประชาชน ให้มีความตื่นตัว เข้าใจกับระบอบการปกครองที่เกิดขึ้นใหม่ ยุคที่ประชาชนเริ่มมีเสรีภาพ ประชาธิปไทยเบ่งบาน

เรียนรู้ชีวิต : แม้ว่าผมจะเกิดอีสาน แต่โตขึ้นมาในพื้นที่เมือง ไม่เคยไปทำไร่ไถนา เพราะทำอาชีพค้าขาย ไม่เคยรู้ชีวิตชาวไร่ชาวนา ปลูกข้าวไง อยู่กินยังไง ไม่ค่อยได้รู้วิถีชีวิตผู้คนเหล่านั้น มารู้ตอนเป็นนักศึกษาในมหา’ลัยแล้ว และได้ออกไปชนบทถึงได้รู้ว่า ชีวิตชาวไร่ชาวนาลำบากขนาดไหน ทำมาหากินด้วยความแร้นแค้น สุขภาพอนามัย การรักษาพยาบาล การเดินทาง ทำให้เรามีอุดมการณ์ เกิดแรงบันดาลใจที่จะช่วยพี่น้องประชาชนให้มีชีวิตที่ดีกว่า

วิถีวัยรุ่น : แทนที่จะไปกินเที่ยวตามวัย ก็ไม่ได้ไป เพราะสนใจเรื่องกิจกรรมการบ้านการเมืองเป็นหลัก เคยมีใช้ชีวิตวัยรุ่นแค่ช่วงเรียน เทคนิคไทย – เยอรมัน ได้เล่นดนตรีบ้าง มีปาร์ตี้บ้าง สมัยนั้นไม่มีอะไรมาก ก็แค่ดนตรี ร้านอาหาร มีการจัดงาน เชิญวงดนตรีดัง ๆ ยุคนั้น ที่เล่นตามฐานทัพอเมริกา มาแสดงแล้วก็ขายบัตร พวกเราก็ไปดูกัน แต่พอเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ เริ่มมีอุดมการณ์​ ไม่ได้ไปเที่ยวในลักษณะวัยรุ่นเลย แต่ผมก็ไม่เคยห่างจากดนตรี ยังได้เล่นกีตาร์ เป็นนักร้องนำประจำวง หลัง 14 ตุลา ก็เป็นหัวหน้าวงไดเรคติก เล่นเพลงเพื่อชีวิต เล่นคู่กับวงน้าหงา คาราวาน เวลาหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์มีงาน วงของพวกเราก็ได้ขึ้นไปเล่น

เทนนิส : ผมเล่นครั้งแรกที่คอร์ทสันติสุข สุขุมวิท มีเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันชักชวน แล้วเล่นต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ตกเย็นเลิกงานเจอกันที่คอร์ท เล่นกันแทบทุกเย็น มีก๊วน มีชมรม ที่เล่นกันประจำ จากสันติสุข ก็มาคอร์ทบางนา, ศุภาลัย สันติคาม ฯลฯ และมักจะมีการดวลกันในคอร์ท กองเชียร์ก็ลุ้นเต็มที่ ใครแพ้ต้องจ่ายค่าเครื่องดื่ม เรามักจะเรียกว่า ‘เสือพบสิงห์ ลิงบันเทิง’ (หัวเราะ) และได้การก่อตั้ง ชมรมปิยะมิตร มีสมาชิกจากหลากหลายสาขาอาชีพ ตระเวนแข่งกันไปทั่วประเทศ

กอล์ฟ : ระหว่างที่เล่นเทนนิส มีเพื่อนนำเหล็กมาเหวี่ยง ๆ ที่คอร์ท เหมือนจะมายั่วให้อยากเล่น (หัวเราะ) เราก็ยังไม่ค่อยสนใจ คิดว่ากอล์ฟจะไปสนุกอะไร สู้เทนนิสไม่ได้ ตีใส่กันมันกว่าเยอะ จนกระทั่งมาเป็นเลขาฯ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนชวนไปเล่นกอล์ฟ แล้วไปเจอกับโปรกอล์ฟที่เป็นทีมชาติ มีวงสวย ทำให้เกิดความสนใจ ไปสมัครเรียน หัดเล่นกอล์ฟ แล้วเล่นมาตลอด เพราะคิดว่า ต่อไปอายุมากขึ้น คงเล่นเทนนิสไม่ไหว (หัวเราะ)

ลงทุนแล้ว ต้องใช้ให้คุ้ม : เพื่อนมาชวนไปออกรอบ สอบถามเรื่องอุปกรณ์ ตอนนั้นยังไม่พร้อม จนได้มีโอกาสซื้อชุดกอล์ฟมาจากอเมริกา ประกอบกับมีญาติเป็นหมออยู่ที่นั่นซื้อมาให้ก่อน พอเขามาเมืองไทยก็ชวนกันไปออกรอบ, เมื่อซื้ออุปกรณ์มาแล้ว ก็ต้องพยายามเล่นให้ดี (หัวเราะ) ในเบื้องต้นโปรช่วยสอนพื้นฐานให้แล้ว แต่หลังจากนั้นก็ศึกษาเอง สมัยนั้นซื้อวีดีโอสอนกอล์ฟของโปรดัง ๆ ระดับโลกมาดู ซื้อหนังสือตำรากอล์ฟมาอ่านเอง เรามีพื้นฐานทางกีฬามาก่อน พอหันมาเล่นกอล์ฟ ก็ต้องเล่นให้มีพื้นฐานถูกต้องและเล่นให้ดี ซึ่งคงไม่มีใครเป็นอาจารย์ให้เราได้ดีไปกว่าสุดยอดนักกอล์ฟของโลกเหล่านี้แล้ว (หัวเราะ)

1 ล้าน : ช่วงเล่นดีที่สุด ถือแต้มต่อราว ๆ 5, มีเพื่อนที่เล่นด้วยกันเป็นประจำ เขาบันทึกอย่างละเอียดไว้ว่าได้เสียเท่าไหร่ มาวันหนึ่งเขาก็มาบอกว่า ‘ผมเสียให้คุณไปทั้งหมด 1 ล้านบาทแล้ว’ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว (หัวเราะ) เขาตั้งใจไว้ว่า ถ้าเสียให้ผมครบ 1 ล้าน เมื่อไหร่ จะเลิกเล่นกับผม (หัวเราะ) วันนั้นออกรอบด้วยกัน เขาเห็นผมตีไปตกบังเกอร์ทราย ที่หลุมแฮนดิแคป 1 มีน้ำล้อมรอบ มีทราย มีหิน เขาก็มายืนดูว่าผมจะเล่นยังไง ผมก็บอกไปว่า ‘มาดูสิ่ เดี๋ยวจะตีให้ดู’ (หัวเราะ) เพราะเราเล่นกันแบบแฟร์เพลย์ ระยะประมาณ 170 หลา ถึงกรีน ขอบบังเกอร์ค่อนข้างสูง ‘แบบนี้ต้องบวกเหล็ก เปิดหน้าเหล็ก’ แล้วผมก็ตีขึ้นไปออนใกล้ธง ทำให้เขาบอกเลิกเล่นกอล์ฟกับผมตั้งแต่วันนั้น (หัวเราะ)

ซ้อม สำคัญที่สุด : กอล์ฟเป็นกีฬาที่ร่างกายต้องทำให้กล้ามเนื้อมีความความจำ วงสวิงทำงานตามพื้นฐานที่ถูกต้อง หากไปถึงแล้วตีเลย กว่าจะปรับตัวได้ อาจผ่านไปหลายหลุม ถ้ามีแมทช์สำคัญจริง ๆ ก่อนการเล่น ผมจะซ้อมก่อนออกรอบเป็นชั่วโมง ขณะที่นักกอล์ฟสมัครเล่น ส่วนใหญ่ไม่เคยซ้อมเลย ส่วนเราลงสนามก็พร้อมแล้ว ทำให้ได้เปรียบ นี่คือเคล็ดลับการเอาชนะเพื่อน (หัวเราะ) จุดแข็งของผมคือ ลูกไดร์ฟได้ระยะ เหล็กคมขึ้นกรีนได้ ผมตี เหล็ก 5 ระยะ 200 หลา พิชชิ่ง 140 หลา เหล็ก 9 ตี 150 หลา ไล่เรียงกันไป และปัจจุบันก็ยังตีได้อยู่ ทำให้ผมมีความสุขกับเรื่องนี้มาก (หัวเราะ) ส่วนลูกสั้นแค่พอเอาตัวรอด จุดอ่อนมีอยู่ที่การพัตต์บ้าง ใกล้ ๆ ไม่ค่อยลง แต่ไกล ๆ ดีมาก (หัวเราะ)

บรรลุนิติภาวะทางกอล์ฟ : ก่อนนี้เคยตีไดร์ฟเวอร์แบบไม่ไกลและไร้ทิศทางมาก่อน (หัวเราะ) พอเราเข้าใจพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่ตั้งท่ายืน ต้องถูกต้องและฐานแน่น ตัวต้องไม่เซ การหมุนของร่างกาย การถ่ายน้ำหนัก การหมุนเข้าหาลูก เวลาตีทำให้มีสปีดและอิมแพ็ค เข้าลูกได้ถูกต้อง โฟลโลว์ทรู ไปยังเป้าหมายที่เราเล็ง ทุกคนสามารถจะตีให้ตรงและไกลได้ หากทำตามเบสิกได้ เราต้อง ‘บรรลุนิติภาวะทางกอล์ฟด้วยตัวเอง’ (หัวเราะ) แต่ถ้ายัง คนโน้นมาบอกที คนนี้มาบอกที ยิ่งบอกเยอะยิ่งสับสน การเล่นกอล์ฟ ทำให้ได้มิตรภาพ ได้เพื่อน ได้สังคมที่ดี แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกคบเพื่อน คบกับมิตรในสังคมแบบไหน ถ้าคบไปในทางสร้างสรรค์ กีฬากอล์ฟก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งในทางธุรกิจ หน้าที่การงาน ในด้านความสัมพันธ์ในสังคม ในบรรดากิจกรรมกับเพื่อน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน คนที่เล่นกอล์ฟด้วยกันจะมีมิตรภาพ มีกิจกรรมร่วมกันยาวนานที่สุดกว่ากีฬาอื่น ๆ, ไม่ว่าจะไปเรียนหลักสูตรไหน ทำงานในองค์กรไหน ถ้าเจอคนที่ชอบกีฬาด้วยกัน ก็มักจะคุยกันเข้าใจ มีมิตรจิต มิตรใจ มีน้ำใจต่อกัน ใครเป็นยังไง ก็รู้ได้ผ่านกีฬากอล์ฟ

กินได้ นอนหลับ : โชคดีของผมนะ (หัวเราะ) ผมกินทุกอย่าง ทุกประเภท แต่ไม่กินอะไรซ้ำซาก อาจมีระบบย่อยดี การขับถ่ายดี นอนหลับสบาย ถึงเวลาก็หลับเลย ก่อนนอนพยายามไม่เอาเรื่องอะไรมาใส่สมองตัวเอง จะนอนก็ตั้งใจนอนให้หลับไปเลย ตื่นขึ้นมาค่อยไปทำอะไรกันใหม่ มาถึงวัยนี้แล้ว พยายามลดปัญหา ไม่เอาเรื่องไม่สบายอารมณ์ ไม่เอาเรื่องของชาวบ้านที่ไม่เป็นสาระมาใส่หัวตัวเอง ไม่ดูข่าวที่ไม่สร้างสรรค์, ถ้าคิด ก็คิดเรื่องสำคัญ ๆ ของบ้านเมือง หรือหน้าที่การงานของเรา ว่าควรจะทำอย่างไร แก้ไข เสนอแนะ หรือไปค้นคว้าหาข้อมูล เวลาทำงานต้องทำให้จริงจังในหน้าที่การงานที่เราทำ ทำให้สำเร็จเรียบร้อย บรรลุผล มันก็จะมีเครียดจริงจังอยู่ ซึ่งผมก็ทุ่มเท พอเสร็จแล้วก็พักเก็บไว้ พักผ่อนก็คือพักผ่อน พยายามไม่เครียด ตัดเรื่องทำให้เราไม่สบายใจออกไป ผมชอบฟังเพลง ร้องเพลง อยู่บ้านว่าง ๆ มีกีตาร์ ก็เอามาเล่นในเพลงที่เราชอบ ในดนตรีที่อยากฟัง ทำอะไรที่ทำให้สบายอารมณ์ ต้องพยายามข่มใจตัวเอง เอาชนะความเครียด ความไม่สบายใจ ด้วยตัวเอง โดยคิดถึงเหตุและผล ถ้าไปจมอยู่กับเรื่องนั้น จะทำให้ชีวิตของเราเจอแต่เรื่องไม่ดี พยายามเอาชนะตัวเอง ด้วยจิตใจของตัวเอง หรือหาอย่างอื่นทำ หาอย่างอื่นดู ที่จะทำให้เราลืมเรื่องที่ปวดหัว ดูหนัง ฟังเพลง ไปเล่นกีฬา ไปทานข้าวสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เพื่อไม่จมกับเรื่องที่ทำให้ปวดหัว

คิดดี ใฝ่ดี : ชีวิตมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี เคยทำทั้งสิ่งที่ถูกต้องและผิดพลาด เป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ผ่านเรื่องแบบนั้นมา ไม่ต่างจากทุกคน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ต้องมาคิดถึงว่า เราอยู่เพื่อให้ชีวิตมีคุณค่า มีความสุข ควรเป็นคนคิดดี ใฝ่ดี อาจไม่ได้ศึกษาธรรมะ หรือถือศีลภาวนาเหมือนคนอื่น แต่ก็รู้ว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีคุณค่า สอนให้ทำอะไร สอนให้ยึดถืออะไร ถึงเราไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติตนเหมือนคนอื่น แต่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าคิดดีใฝ่ดี คงไม่ทำผิดศีล ไม่ทำในเรื่องไม่ถูกต้อง ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ไม่เดินไปในทางผิด ๆ เวลาไหว้พระ ไม่เคยอธิษฐานขอให้รวย คิดว่าพอมีอยู่มีกินก็พอแล้ว ภาวนาอยู่ตลอดว่า ตอนอยู่ขอทำในสิ่งที่ดี เป็นคนคิดดี คิดถูกต้อง อย่าไปทำอะไรในสิ่งที่ไม่ดี แล้วถ้าจะทำการสิ่งใด อันเป็นประโยชน์กับตนเอง กับบ้านเมือง กับสังคม รวมไปถึงคนที่ทำงานร่วมกัน ก็ขอให้ประสบความสำเร็จ และขอให้ชีวิตดับไป จบไปด้วยดี สำหรับชีวิตนี้ก็พอแล้วครับ