ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
เรื่องราวของชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่ในประเทศไทยส่วนมากมักมาด้วยเหตุและผลจากความปลอดภัยแทบทั้งสิ้นไม่ว่าเชื้อสายหลักๆ ที่เป็น ‘จีน’ แทบทั้งหมดก็สืบเนื่องด้วยสงคราม เพราะเมื่อฝ่ายใดเพี้ยงพล้ำการรุกคืบหน้าและการถอยร่นเพื่อหาที่ตั้งใหม่มันก็คงเป็นเรื่องปกติ ส่วนสายไหนหรือกลุ่มไหนที่สามารถปรับตัวเพื่อให้เข้ากับประเทศที่เข้าไปอาศัยได้ก่อน คนกลุ่มนั้นก็อาจได้เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ ไปก็มี ส่วนบางกลุ่มที่เมื่อมาปักหลักแล้วก่อความวุ่นวายยุ่งเหยิงให้กับประเทศเขา บางทีคำว่าปราบปรามก็ต้องใช้เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบแบบแผนของประเทศนั้นๆ ไป…
เมื่อครั้งที่ครูไก่เป็นเด็กมักจะได้ยินว่ามีชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือคอยจ้องแต่จะปลูก ‘ฝิ่น’ เพื่อนำเอายางมาทำเป็นสารเสพติดเพราะจากฝิ่นดิบเมื่อผ่านกระบาวนการจนถึงสุดท้ายปลายทางมันจะกลายเป็น ‘เฮโรอีน’ ซึ่งถือว่ามีความร้ายแรงมากเมื่อเสพเข้าไป จากสมัยนั้นมักจะมีข่าวว่าทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยงานในการปกครองลงพื้นที่เพื่อไปเผาและทำลายไร่ฝิ่นที่ปลูกกันเพียบตามเทือกเขาหรือบางทีก็ตะเข็บชายแดน ข่าวการลักลอบปลูกต้นฝิ่นที่บ้านเราถึงขนาดที่ว่าไปดังในต่างแดนในประเทศที่เขาไม่ยอมรับกับต้นฝิ่นถึงกับหมายหัวประเทศว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลกในการผลิตฝิ่นดิบออกสู่ตลาด
แต่ด้วยในสมัยนั้นเรามีกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถยึดพื้นที่การปลูกฝิ่นกลับมาเป็นพืชที่ผู้คนยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลโดยเฉพาะกาแฟดูจะเป็นหัวหอกในการสู้รบกับฝิ่นได้แบบสูสีพอควร จนล่วงเข้าปัจจุบันอาชีพชาวเขาอันเป็นชนกลุ่มน้อยแต่เดิมเกิดการยอมรับในหลักคิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยอมทำตามโดยไม่มีข้อแม้ สุดท้ายเขาก็อยู่กันได้แบบสบายๆ และดูทีท่าว่าพวกเขาจะอยู่ดีกว่าพวกเราอีกต่างหากนะครับ…
ขอมองย้อนกลับมาชนกลุ่มน้อยที่เป็นคนเมือง คนกลุ่มนี้เกิดขึ้นด้วยคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ โดยมีอีกคำคือ ‘การเลือกตั้ง’ เป็นการนำพาพวกเขาเข้ามา ชนกลุ่มนี้มีอยู่ไม่มากมายอะไรเมื่อเทียบกับชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่ในอดีตพวกนี้จะฝังรากลึกโดยใช้การเล่นละครตบตาประชาชนให้ละเมอเพ้อพกไปตามๆ กัน คนพวกนี้ไม่ทำผิดกฎหมายเพราะแต่ละตัวบทกฎหมายจะออกมาพวกนี้จะออกให้พวกเขาได้เปรียบยามที่เขาโดนตรวจสอบในความโปร่งใส
ที่เขียนมาทั้งหมดก็อยากจะเทียบให้ดูว่า ‘พวกชนกลุ่มน้อย’ ที่เราเลือกเข้าไปทำงานในสภามันจะทำความ ‘ฉิบหายวายวอด’ ได้มากกว่าพวกก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงเสียอีก เพราะแต่ละกลุ่มแต่ละพวกมักจะวางรากฐานให้เจาะลึกเข้าไประดับชาวบ้านตาดำๆ ในรูปแบบของ อบต. แบบนี้ชาวบ้านหรือประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร อยากจะยืมคำพูดของอาม่าท่านหนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า ‘หากฟิลิปปินส์มีใต้ฝุ่น ญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหว อินโดนีเซียมีภูเขาไฟ แต่เมืองไทยมีนักการเมือง มึงเชื่อกูฉิบหายพอกัน’ สรุปว่าครูไก่เห็นตามอาม่าทุกประการ
ครูไก่