แซม สนีด ชื่อนี้ที่โลกต้องจำ
แซม สนีด ชื่อนี้ที่โลกต้องจำ
ก่อนหน้าเราเคยคุยกันถึงนักกอล์ฟในอดีต ที่ยังทรงอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้คนรุ่นใหม่คงไม่ได้เห็นลีลาสด ๆ อันน่าเร้าใจอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อกดข้อมูลในโซเชี่ยลเมื่อไหร่ คุณตา คุณปู่ บรมครูกอล์ฟเหล่านี้ ก็จะกลับมาแสดงตนให้เห็นว่า ท่านเหล่านี้คือตัวจริงเสียงจริง ที่ปูพื้นฐานให้กีฬากอล์ฟ มีความสำคัญต่อเนื่องจากวันวานมาถึงวันนี้ และอีกหนึ่งในอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล ในวงการกอล์ฟที่ต้องระลึกถึง ย่อมเป็นท่านนี้…
‘แซม สนีด’ (Sam Snead) เป็นนักกอล์ฟอาชีพชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างมากในประวัติศาสตร์วงการกอล์ฟ เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 1912 ในเมืองแอชวูด รัฐเวอร์จิเนีย และลาจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2002
สนีด เริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่วัยเด็ก และเริ่มเป็นนักกอล์ฟอาชีพในปี 1934 โดยมีสวิงที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักในเรื่องความคล่องตัวและความแม่นยำ สนีด ชนะการแข่งขัน PGA Tour ทั้งหมด 82 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานมากว่า 50 ปี จนกระทั่ง ‘พญาเสือ’ ไทเกอร์ วูดส์ ไล่เสมอได้ เมื่อปี 2019 แต่สถิติของสนีดใน PGA Tour ยังคงเป็นหนึ่งในตำนานที่แสนจะสุดยอด
ถึงแม้จะได้รับชัยชนะมากมาย โดย สนีด ชนะรายการแชมป์เมเจอร์ทั้งหมด 7 ครั้ง รวมถึง The Masters 3 ครั้ง, PGA Championship 3 ครั้ง, และ The Open Championship 1 ครั้ง แต่เขาไม่เคยชนะ U.S. Open ซึ่งเป็นรายการเมเจอร์เดียวที่เขาพยายามไล่ล่า แต่ยังทำไม่ได้ โดย สนีด ได้รับการยกย่องในวงการกอล์ฟอย่างกว้างขวางและได้รับเกียรติให้เข้าทำเนียบ World Golf Hall of Fame ในปี 1974 นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Bob Jones Award ในปี 1998 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของ USGA อีกด้วย
สนีด มีบุคลิกเป็นมิตรและมีอารมณ์ขัน เป็นที่รักของแฟนกอล์ฟและเพื่อนร่วมวงการ เป็นตัวอย่างของนักกอล์ฟที่เล่นกอล์ฟด้วยความรักและความมุ่งมั่นที่แท้จริง มีชีวิตน่าสนใจ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำในวงการกอล์ฟ ชื่อเล่นของ สนีด มีอยู่มากมาย รวมถึง “The Slammer”, “Slammin’ Sammy Snead” และ “The Long Ball Hitter from West Virginia” และได้รับการชื่นชมจากหลาย ๆ คนว่า เป็นผู้มี “สวิงที่สมบูรณ์แบบ” มีผู้พยายามเลียนแบบมากมาย สนีด มีภาพลักษณ์แบบบ้าน ๆ เข้าถึงง่าย ใส่หมวกฟาง และมักกล่าววลีเช่น “Keep close count of your nickels and dimes, stay away from whiskey, and never concede a putt.” และ “There are no short hitters on the tour anymore, just long and unbelievably long.”
นอกจากความสำเร็จในสนามแข่งแล้ว ยังมีเกร็ดชีวิตหลายเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่รักและจดจำในหมู่แฟนกอล์ฟและเพื่อนร่วมอาชีพ อีกหลายเรื่อง เช่น
: ในวัยเด็ก เขาฝึกเล่นกอล์ฟด้วยการใช้กิ่งไม้ตีก้อนหิน เนื่องจากครอบครัวไม่สามารถซื้ออุปกรณ์กอล์ฟได้ เขาใช้วิธีนี้ในการพัฒนาทักษะและความแม่นยำของวงสวิง สนีด เริ่มทำงานเป็นเด็กยกถุงกอล์ฟตั้งแต่อายุ 7 ปี ที่สนาม The Homestead’s Old Course ในฮอตสปริงส์ เมื่ออายุ 17 ปี ในปี 1929 เขาทำงานเป็นผู้ช่วยโปรที่ The Homestead ก่อนที่จะย้ายไปที่สนาม Cascades และกลายเป็นนักกอล์ฟอาชีพในปี 1934 ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
: ท่าทางการสวิงที่เรียบง่ายและลื่นไหล จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสวิงที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์กอล์ฟ ทำให้นักกอล์ฟหลายคนพยายามศึกษาและใช้การสวิงของเขาเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคก่อนหน้านี้ Bill Campbell ผู้เข้าร่วมในหอเกียรติยศกอล์ฟเวสต์เวอร์จิเนีย เคยกล่าวถึงสนีดว่า “เขาเป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขามีสายตาเฉียบคมเหมือนนกอินทรี ความสง่างามเหมือนเสือดาว และพลังเหมือนสิงโต” Gary Player เคยกล่าวว่า “ผมไม่คิดว่ามีคำถามใด ๆ ในใจของผมว่า Sam Snead มีสวิงกอล์ฟที่ดีที่สุดของมนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่” Jack Nicklaus เคยกล่าวว่าสวิงของสนีด “สมบูรณ์แบบอย่างมาก”
: ในช่วงที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด แซม สนีด เป็นนักกอล์ฟที่ตีลูกได้ไกลอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเจอกับลม และยังมีความแม่นยำดีเยี่ยมอีกด้วย เขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมกับการใช้เหล็กยาว และยังมีชื่อเสียงในเรื่องเกมสั้นที่สร้างสรรค์มาก โดยเขาเป็นผู้นำการใช้ sand wedge สำหรับการตีลูกสั้นจากหญ้า และเมื่ออายุมากขึ้น เขาเริ่มทดลองกับสไตล์การพัตต์ที่แตกต่างกัน โดยเป็นผู้บุกเบิกการพัตต์แบบ croquet-style ในทศวรรษ 1960 ซึ่งเขาจะยืนคร่อมลูกกอล์ฟโดยมีขาข้างหนึ่งอยู่แต่ละด้าน สมาคมกอล์ฟสหรัฐฯ (USGA) ได้แบนเทคนิคนี้ในปี 1968 โดยการแก้ไขกฎข้อที่ 35-1 เนื่องจากก่อนหน้านั้นนักกอล์ฟมักจะเผชิญหน้าลูกบอลเมื่อทำการตี จากนั้น สนีด จึงเปลี่ยนไปใช้สไตล์การพัตต์แบบ side-saddle ซึ่งเขาจะนั่งยอง ๆ ทำมุมเท้าเข้าหาหลุม พร้อมกับจับไม้กอล์ฟแบบแยกมือ และใช้สไตล์นี้ตลอดช่วงเวลาที่เหลือในอาชีพของเขา
: แม้จะชนะรายการเมเจอร์อื่น ๆ หลายครั้งหลายหน แต่ สนีด ไม่เคยชนะ U.S. Open ได้เลย โดยเขาได้ที่สองในรายการนี้ถึง 4 ครั้ง อาจเป็นเพราะอาถรรพ์ หรือแพ้ทางรายการนี้ จนเป็นหนึ่งในเกร็ดชีวิต และทำให้เขาน่าสนใจยิ่งขึ้น
: สนีด ไม่ได้เก่งแค่เพียงกอล์ฟ เขายังมีความสามารถในกีฬาประเภทอื่น ๆ เช่น บาสเก็ตบอลและฟุตบอล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักกีฬาที่มีทักษะหลากหลาย
: หลังจากที่พ่ายแพ้ในการแข่งขัน The Masters ด้วยการ playoff ในปี 1949 สนีด สามารถกลับมาชนะ The Masters ในปี 1954 ได้สำเร็จ โดยเอาชนะ Ben Hogan เพื่อนร่วมทีมชาติ และคู่รัก คู่แค้น ซึ่งเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น
: เขายังมีบทบาทสำคัญในการเป็นโค้ชและที่ปรึกษาให้กับนักกอล์ฟรุ่นใหม่อีกมาย ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่สะสมมาถ่ายทอดให้นักกอล์ฟรุ่นหลัง และมีส่วนร่วมในการออกแบบสนามกอล์ฟหลายแห่ง ซึ่งแสดงถึงความรักและความรู้ในกีฬากอล์ฟของเขา
: สนีด มักปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์และสื่อมวลชนอื่น ๆ เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักกอล์ฟที่มีบุคลิกเป็นกันเองและมีอารมณ์ขัน มีส่วนร่วมในวัฒนธรรมป๊อป เคยถูกกล่าวอ้างถึงหลายครั้งในการ์ตูน ‘Peanuts’ ที่โด่งดังทั่วโลก ในช่วงที่เขามีชื่อเสียงสูงสุดในทศวรรษ 1950 และ 1960 ผู้สร้างการ์ตูนและนักกอล์ฟ ‘Charles M. Schulz’ กล่าวในการสัมภาษณ์ เมื่อปี 1971 ว่า”ผมชื่นชม แซม สนีด มาก ครั้งหนึ่งผมได้ดูเขาเล่นในทัวร์นาเมนต์ที่เซนต์พอล เขาตีลูกเข้ากรีนทุกครั้งตามระยะที่กำหนด และตีลูกในพาร์ห้าทั้งหมดด้วยการทำสองออน เป็นรอบที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
สนีด เป็นหนึ่งในนักกอล์ฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นบุคคลที่น่าจดจำในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในแง่ของการฝึกฝน ความสำเร็จ และบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาวงการกอล์ฟด้วยความสามารถ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้สร้างภาพจำ จารึกไว้เป็นตำนานให้กับวงการกอล์ฟ และชื่อของ แซม สนีด ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกอล์ฟรุ่นใหม่ได้อยู่เสมอตราบนานเท่านาน
Mr.A
เรื่อง/ภาพ : wikipedia, liveabout.com, andrewricegolf.com, pga.com