Interview

เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล

เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล
ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามอีสเทิร์นอินดัสเตรียลพาร์ค จำกัด
หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย
“ตั้งเป้าให้สูง คิดให้เกินไว้ก่อน ถ้าทำได้ ถือเป็นกำไรชีวิต”

เด็กอัสสัมฯ :

ผมเกิดและโต ที่ กรุงเทพฯ แต่ทุกวันต้องไปเรียนที่ อัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งไกลมาก ใช้เวลาการเดินทางราวสองชั่วโมง ไปกลับทุกวัน เดินทางพร้อมกับญาติ ๆ ที่ไปเรียนด้วยกัน นั่งรถคันเดียวกัน เลิกเรียนต้องรีบกลับเลย ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสในการทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน แต่กิจกรรมกับครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง จะมีให้เราได้ทำตลอด เดิมทีมีผู้ใหญ่ที่รู้จักกันเป็นนักมวยไทยเก่าท่านช่วยสอนให้ จึงได้มีโอกาสซ้อมมวย วันละสองชั่วโมง ต่อมาก็เริ่มเล่นสนุกเกอร์ ชอบมาก ตั้งใจเล่นจริงจัง ได้ลงแข่งขัน ได้ถ้วย ได้รางวัลมาบ้าง สมัยก่อนเล่นทุกวัน ชอบกีฬานี้ จนคิดว่าสักวัน ถ้ามีโอกาสจะเข้าไปทำงานให้กับสมาคมกีฬาบิลเลียดฯ ให้ได้

ญี่ปุ่น :

เรื่องการเรียนคุณพ่อไม่ได้บังคับ แล้วแต่เราตัดสินใจเองเลย พอจบจากอัสสัมชัญ มองว่าที่บ้านมีธุรกิจกับญี่ปุ่นเยอะ ก็อยากไป แต่ไปอยู่จริง ๆ ไม่สนุกอย่างที่คิด เพราะยังรู้สึกติดเพื่อนอยู่ เราไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน เป็นประเทศที่เราพูดไม่ได้สักคำเลย วันแรกไปเรียน นั่งรถบัสไปดูเหมือนจะง่าย เพราะมีคนรู้จักพาไป ให้หัดฟังว่าเขาพูดป้ายไหนต้องลง แต่พอไปเองคนเดียว ฟังไม่รู้เรื่อง สามวันแรกนั่งเลยตลอด เสียเวลาเป็นชั่วโมง ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ เดินจากบ้านมาราวสิบนาที ขึ้นรถบัส ต่อด้วยรถไฟ ตามเวลาเดินรถไฟ ถ้าสายก็ต้องรอคันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง ช่วงแรก ๆ ค่อนข้างลำบาก ค่อย ๆ ปรับตัว พออยู่ไประยะหนึ่ง ได้ความรู้ในเรื่องการปรับตัว ทำให้ได้พัฒนาเรื่องระเบียบวินัยสำหรับตัวเองขึ้นมา ต้องตรงเวลา ไปสายไม่ได้ อยู่ที่นั่น สนุกทุกวัน เพราะต้องปรับตัวเรื่อง ระเบียบวินัย หกเดือนแรก เรียนกับเพื่อนต่างชาติที่เข้ามาเรียนภาษาญี่ปุ่น ทำให้ได้เพื่อน ได้ความรู้ใหม่ ๆ ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ ได้ธุรกิจต่อเนื่องด้วย เพราะช่วงนั้นเด็กที่ไปเรียนที่นั่นล้วนเป็นลูกนักธุรกิจ เราเองก็ตั้งใจไปเรียนเพื่อจะกลับมาทำงานร่วมกับธุรกิจของญี่ปุ่นเช่นกัน

รู้จักตัวเอง :

แรก ๆ พอถึงวันหยุดก็ งง ๆ ว่าจะทำอะไรดี เพราะตนเองเดินทางไปกับครอบครัวตลอด แต่การได้อยู่คนเดียว ดีมาก ๆ พอมีเวลาว่าง ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ชอบหนังสือที่เกี่ยวกับความสำเร็จของบุคคล ได้ศึกษาวิธีคิดของเขา ปรัชญาการใช้ชีวิต อ่านแล้วทำให้เกิดมุมมองและวิธีคิดใหม่ ๆ ได้ประโยชน์เยอะมาก นำมาใช้ในการทำงาน ได้เรียนรู้การอยู่กับความคิดตนเอง คล้าย ๆ กับเรื่องธรรมะ ทำให้เข้าใจชีวิตตัวเองมากขึ้น และยังได้เที่ยวหาประสบการณ์อะไรใหม่ ๆ ได้ทำอะไรอีกมากมาย ได้มีโอกาสเที่ยวในที่ที่คนไทย หรือนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยได้ไป เช่นตามหมู่บ้านที่คนไม่ค่อยรู้จักกัน ได้ลองทานอาหาร แค่สั่งอาหารก็สนุกแล้ว เป็นวิชาเอาตัวรอด เราดูโต๊ะข้าง ๆ ว่าเขาสั่งอะไรกัน พูดอะไรก็จำไว้แล้วสั่งตามบ้าง นึกภาพดูว่าสมัยก่อนยังไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ เขาก็ไม่พูด ไม่เข้าใจด้วย ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาใหม่สำหรับเรา เพราะโตมาด้วยภาษาไทยกับอังกฤษ ตอนเรียนก็สนุก ได้เพื่อน ได้คำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งต่างจากช่วงแรก ๆ ที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ชีวิตยุ่งยากมาก เสื้อผ้าแทบไม่ได้ซัก กองไว้อย่างนั้น พอหลายเดือนท่วมกองเป็นภูเขา พอถึงเวลาจำเป็นก็ใช้เวลาไปเลยสามวัน ซักเอง รีดเอง ทำเองทุกอย่าง ไม่มีใครทำให้ ไปไหนก็ขึ้นรถเมล์เอง ไม่มีใครไปรับไปส่ง พอกลับมาประเทศไทย จึงได้ทักษะการใช้ชีวิตและพัฒนาการตรงนี้ติดมาด้วย ทำให้กล้าที่จะเผชิญในสิ่งที่ไม่เคยได้ลองทำอีกด้วย

เอแบค :

เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นได้สองปี ได้ทำเรื่องโอนกลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เพราะมีเพื่อนเยอะ และเรียนจบจากคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นธุรกิจ ซึ่งมีเรื่องบริหารเป็นหลักอยู่แล้ว ตอนตัดสินใจกลับไทย ใช้เวลาคิดอยู่พักใหญ่ ใจนึงก็อยากจะอยู่ต่อเพื่อเรียนให้จบเหมือนกัน ถ้าอยู่ต่ออาจได้เรื่องวิชาการ และภาษามากขึ้น แต่เพื่อนคนไทยก็จะหายไป แต่จะได้เพื่อนต่างชาติแทน มีข้อดีข้อเสียกันไป แต่ตนเองอยากมีสังคมที่นี่ และชอบเมืองไทย ถูกใจมากกว่า แต่ที่ญี่ปุ่น เป็นที่ที่ยังประทับใจอยู่เสมอ เป็นประเทศแรกที่นึกถึงถ้าจะไปเที่ยว เมื่อได้กลับมารู้สึกว่าตนเองโตขึ้น แกร่งขึ้น เข้าใจอะไรในชีวิตมากขึ้น มีระเบียบวินัยมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่อยู่เมืองไทยมาตลอด เอาตัวรอดได้ อยู่ที่โน่นพูดภาษาไม่ได้เรายังอยู่ได้ จากที่เคยไม่กล้า มีความลังเล ก็กลายเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างด้วยความมั่นใจขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้

อาณาจักรธุรกิจ :

เริ่มฝึกงานกับบริษัทในเครือของครอบครัว ได้เรียนรู้การทำงานในแผนกต่าง ๆ ทำงานได้สักพัก จึงขอไปเรียนต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยอาร์มสตรอง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา รู้สึกว่าตนเองโตขึ้น อยู่ง่ายขึ้น ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิต แล้วตนเองชื่นชอบการเดินทาง ประเทศนี้เป็นประเทศที่กว้างมาก ได้ไปหลายที่ จึงค่อนข้างสนุก พอเรียนจบจึงกลับมาทำงานกับที่บ้าน ตนเองโตขึ้นมากับการเป็นเจ้าของกิจการ ได้มีโอกาสได้ไปกับคุณพ่อคุณแม่ ได้ตามไปดูท่านทำงานตลอด เห็นมุมมองทางธุรกิจ เป้าหมายของตนเองคือการทำงานให้กับครอบครัวอยู่แล้ว ไม่คิดจะไปทำงานข้างนอก คิดว่าเราเรียนมาขนาดนี้ มีความตั้งใจพัฒนาตนเองมากขนาดนี้ เพื่อนำความรู้ที่มีกลับมาช่วยครอบครัวดีกว่า ช่วงแรกยังไม่ได้รับงานมากเท่าไหร่ ฝึกคอยประสานงาน ทำงานในแต่ละแผนก เข้ามาเรียนรู้ ได้ดูแลฝ่ายขาย ธุรกิจของครอบครัวในยุคแรก ๆ เป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ลัคกี้คิงด้อม ช่วยดูแลรับผิดชอบเรื่องดีลเลอร์ทั่วประเทศ ได้ความรู้เรื่องการขาย และการตลาด ได้ทำงานคู่กับคุณพ่อ จนช่วงทำนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจเริ่มขยายมากขึ้น ได้เห็นธุรกิจตั้งแต่เริ่มพัฒนาที่ดิน ต่อยอดมาเรื่อย ๆ และถือเป็นธุรกิจหลักที่ดูแลอยู่ ปัจจุบันบริษัทในเครือ มีอยู่ประมาณ 6 – 7 บริษัท ที่ยังประกอบการได้ดี มีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามยุคสมัย อย่างเมื่อก่อน ตู้เอกสาร สำนักงานออฟฟิศมีใช้กันเยอะมาก แต่ในปัจจุบัน การเข้ามาของยุคดิจิตอล ทำให้ความต้องการของตลาดเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัว เปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อย ๆ เพื่อรองรับและพัฒนาไปด้วยกัน

การบ้าน การเมือง :

ช่วงแรกตนเองทำงานค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลา แต่พอถึงเวลาหนึ่งเริ่มอยากทำงานเพื่อสังคม ประกอบกับคุณพ่อมาลงสมัคร สว. จ.สมุทรปราการ ในการเลือกตั้งครั้งแรกนั้น มีกฎระเบียบว่า ห้ามลงพื้นที่หาเสียง ทำให้เป็นหน้าที่ของตนเองและเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทีมงาน ช่วยกันแนะนำตัวให้รู้จัก ทำให้มีโอกาสได้ลงพื้นที่ ใกล้ชิดประชาชน เริ่มสนุกและคิดว่าเป็นประโยชน์ ถ้าเราสามารถมีส่วนร่วมได้ จะเป็นประโยชน์มากกว่าการเป็นนักธุรกิจแค่เพียงอย่างเดียว เพราะการทำธุรกิจสามารถทำอะไรได้แค่ส่วนตัวกับช่วยเหลือแค่ในมุมเดียวเท่านั้น พอคุณพ่อได้รับเลือกเป็น สว. จึงมีโอกาสเข้าไปช่วย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ ผู้ติดตามเข้าสภา เข้าไปอยู่ในกรรมาธิการหลายคณะ ได้เรียนรู้เยอะมาก ระหว่างเว้นวรรคทางการเมือง ได้ทำงานด้านสังคมไปเรื่อย ๆ เป็นประธานสภาองค์การนายจ้างฯ เข้าไปเป็นผู้จัดการทีมกีฬา จนช่วงหลังมีการเลือกตั้ง ได้กลับเข้าไปช่วยงานการเมืองอีกครั้ง เป็นเลขารัฐมนตรีสองสมัย, เป็น สส.บัญชีรายชื่อ และทำงานการเมืองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

กีฬาเพื่อสังคม :

การทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันง่าย อย่างตนเองชื่นชอบกีฬาอยู่แล้ว เมื่อชอบหรืออยากรู้อะไร จะพยายามทำเรื่องนั้นให้สำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพราะกีฬา ทำให้สังคมดีขึ้นได้ สร้างความสามัคคี เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ จึงพยายามสร้างกีฬาให้เป็นที่รู้จัก เป็นที่นิยม ที่เด็กและเยาวชนสามารถเล่นได้ การเข้ามาวงการกีฬา ช่วยพัฒนาให้เติบโตขึ้น ให้โอกาสคนไทย ผลักดันผู้ที่ชอบกีฬา, เยาวชน เด็กวัยรุ่น เป็นกลุ่มที่มีพละกำลังเหลือเฝือ ถ้าไม่เล่นกีฬา ไม่ไปทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ อาจไปทำในสิ่งที่ผิด ติดยาเสพติด ไปเที่ยวในสถานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีเยอะมาก ย่อมทำให้สังคมแย่ลง

สนุกเกอร์ :

ตนเองได้รับความเมตตาจากท่านนายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ให้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปนายกสมาคมฯ จนถึงปัจจุบัน มีโอกาสได้ช่วยส่งเสริมให้คนไทยเติบโตในเวทีอาชีพมากขึ้น ส่งตัวแทนไปแข่งขันทั่วโลก ปั้นเด็กช้างเผือก ยังคิดว่ามีโอกาสจะทำโครงการที่สมุทรปราการขึ้นมา ให้เด็กมาฝึกฝนทักษะ ในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ อยากช่วยให้น้อง ๆ เติบโต มองว่า การฝึกฝนทักษะกีฬาสามารถเป็นอาชีพในอนาคตของเขาได้, สมัยตอนเรียนหนังสือ โดนจำกัดในเรื่องเวลา ทำให้ไม่มีโอกาสมากนัก ถ้าตนเองมีเวลาได้เล่นสนุกเกอร์ จะฝึกสมาธิในการเล่นตั้งใจเล่น โดยไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย ไม่อยากไปเที่ยวไหน อยากซ้อมอย่างเดียว ไม่อยากเล่นเดิมพัน หรือเล่นการพนัน เพราะผมมองว่านั่นไม่ใช่กีฬา อยากแข่งขันจริงจัง ตั้งใจซ้อมเพราะชอบ เล่นทั้งวันคนเดียวก็เล่นได้ เคยได้แชมป์มารุ่นหนึ่ง รับถ้วยจากสมาคมมิตรเดือนเด่น ที่เหลือก็แข่งไปเรื่อย ๆ สนุกสนานกันไป นับว่าเล่นได้ดีในกลุ่มเพื่อน ๆ เล่นอยู่ในรายการย่อย ๆ แต่พอออกไปเจอกับรุ่นใหญ่ ๆ ก็ยากขึ้น จนมาห่าง ๆ ตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่น เพราะที่นั่นไม่นิยมสนุกเกอร์ เล่นกันแต่บิลเลียด ซึ่งผมไม่ถนัด และต้องทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญมากกว่า

ยูโด :

ผมชอบศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว เป็นคนดูกีฬามวยเยอะ ตอนเด็กก็เคยซ้อมมวยไทย ช่วงเรียนปริญญาโทที่อเมริกาเคยดูมวยกรง ตอนนั้นเริ่มดังพอดี ก็เริ่มศึกษา บางครั้งไปดูไกลถึง ลาสเวกัส ช่วงหลัง ๆ มีโอกาสได้ไปดูบ้าง ได้ดูคู่ดี ๆ เดินทางไปชมถึงที่ กีฬามวยเป็นศิลปะการป้องกันตัว ดูง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นกีฬาคนเดียว เคยไปค่ายมวยต่างประเทศ ชอบดูนักกีฬาซ้อม ดูเขากิน ได้เห็นเรื่องโภชนาการ ทำให้ตนเองมีทักษะและความรู้ในเรื่องนี้ จนได้มาช่วยสมาคมยูโดฯ ทำให้มีเพื่อนเป็นนักกีฬาเยอะ ทำให้รู้เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาค่อนข้างลึก และนำมาใช้กับกีฬายูโด พอมาทำทีม มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเรื่องโค้ช การฝึกสอน นำวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วย อย่างนักกีฬาในรุ่นน้ำหนักพิกัดนี้อยากจะสู้ในรุ่น แต่เราไม่ให้ลงในรุ่นนี้ เพราะคุณกินตามใจตัวเอง ปรับปรุงเรื่องอาหาร ดูน้ำหนักตัวของนักกีฬา เปลี่ยนวิธีการกิน นำเทรนเนอร์มาช่วยเรื่องเวทเทรนนิ่ง ดูกล้ามเนื้อ เราพัฒนาจนซีเกมส์ ที่ปีนัง ครั้งที่ได้มีโอกาสดูแลด้วยตนเองทำให้ได้เหรียญสูงสุดถึง 7 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน ทำเต็มที่อยู่สักพัก จึงเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ตามยุคสมัย รวมถึงงานด้านการเมืองด้วย

กอล์ฟ :

เคยเล่นบ้างแล้วหยุดไป แต่ญาติ ๆ เล่นกันเยอะมาก สมัยก่อน ได้เล่นกอล์ฟกับผู้ใหญ่ ทำให้ได้เล่นค่อนข้างน้อย รู้สึกไม่ค่อยสนุก ไม่มีเพื่อน เพราะมีแต่ผู้ใหญ่กว่าเราทั้งนั้น พอเราโตขึ้น เพื่อนรุ่นเดียวกัน หันมาเล่นกอล์ฟกันทั้งนั้น ขณะที่คนอื่นเล่นมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว ตนเองไม่ได้เล่นอยู่คนเดียว เพราะใช้เวลาไปทำงานสังคมค่อนข้างเยอะ ทำให้รู้สึกว่าต้องกลับไปรื้อฟื้นอีกครั้งแล้ว

สุขภาพ :

อย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน จะเข้าฟิตเนส เพราะใช้เวลาน้อยที่สุดแล้ว, ร่างกายสำคัญที่สุดคือเรื่องหัวใจ หากเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะชินกับการเดิน ชอบการวิ่งเร็ว ๆ ใช้วิธีคอร์สฟิตของมวย วิ่งเร็ว ๆ บนสายพานประมาณห้านาที แล้วมาเล่นเวท บริหาร อก หลัง ฯลฯ เล่นหนัก หรือ เบา แบบจำนวนเยอะแต่เร็ว อีกห้านาที แล้วสลับไปวิ่ง ทำแบบนี้ราว 4 – 5 เซ็ต แล้วพัก นวด ยืดเส้นยืดสาย แล้ววิ่งเร็วซ้ำเหมือนเดิม สลับกับเล่นเวท เปลี่ยนท่าไปเรื่อย ๆ, ถ้ารู้สึกเหนื่อย ไม่ไหว ให้ลดลงเหลือสามนาที สลับไปเรื่อย ๆ ทำสักหกเซ็ต ใช้เวลารวม ๆ แล้วประมาณชั่วโมง เพียงพอแล้ว ทำให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง หรือทุกวัน ชอบวิดพื้น ทำได้ทุกวัน เช้า เย็น พยามยามรักษาไว้ สุขภาพก็แข็งแรงปกติ ส่วนอาหารตนเองทานแป้งน้อย ทานโปรตีนเป็นหลัก

เรียนรู้จากพ่อ :

คุณพ่อคือตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับผม ท่านสามารถปล่อยวางได้เวลามีความเครียด คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดเป็นคน ต้องเจอปัญหาทุกวัน แต่จะแก้ยังไงให้ราบรื่น และสบายใจกับมัน ไม่เครียด เท่านั้นเอง, การที่เรามีความสุขในแต่ละวัน เพราะไม่ได้มองอะไรเป็นเรื่องเครียด, ในแต่ละวันผมตั้งเลยไว้ว่า วันนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน ไม่ได้คาดหวังว่า ชีวิตต้องราบรื่น อย่าไปเตรียมตัวว่าปัญหาจะไม่เกิด จะมีความสุขอย่างเดียวทุกวัน ต้องเตรียมตัวรับด้วยว่า เรามีปัญหาแน่ แต่ถ้าเจอ ก็อย่าไปกังวลมากนัก คิดแค่เพียงจะรับมือยังไง จะอยู่กับมันแบบไหน ให้ไม่เครียดและมีความสุข แค่นั้นเอง ซึ่งเราพร้อมสำหรับทุกเรื่องอยู่แล้ว

ตั้งเป้าให้สูง :

สำหรับผม ตั้งเป้าให้สูง คิดให้เกินไว้ก่อน ถ้าทำได้ถือเป็นกำไรชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ก็ต้องทำใจ เพราะคงไม่มีใครทำตามเป้าได้ทั้งหมดอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าคิดอย่างไรแล้วทำให้สบายใจขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องรู้จักพอครับ