รศ.ดร.อนุพงษ์ อินฟ้าแสง
รศ.ดร.อนุพงษ์ อินฟ้าแสง
รองอธิการบดี ฝ่ายพัฒนานักศึกษา
มหาวิทยาลัยธนบุรี
“ชีวิตใครจะเป็นยังไงก็ช่างเขา ทำชีวิตเราให้ดีกว่าเก่าก็พอแล้ว”
กอล์ฟ คือการบริหาร :
พูดถึงเรื่องกอล์ฟ ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถนำไปคิดต่อได้ว่า เวลาเราต่อสู้กับปัญหา ก็เหมือนกับตีกอล์ฟ แต่ละสนามมีการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น เราจะไปจับประเด็นใดประเด็นหนึ่งแค่อย่างเดียวไม่ได้ ปัญหาแต่ละปัญหาย่อมมีความแตกต่างกันออกไป เมื่อผมเล่นกอล์ฟ บางครั้งสนามนี้ เราทำคะแนนได้ดีมาก แต่พอไปเล่นอีกสนาม เจอกับอุปสรรคในเรื่องของทำเล ความโค้งเว้าจากการออกแบบ กรีนขึ้น ๆ ลง ๆ ความแคบ ความกว้าง ต้นไม้ บังเกอร์ กระแสลม แสงแดด และอุปสรรคอีกสารพัด ที่บดบังเราอยู่ เมื่อมาเปรียบเทียบกับเรื่องการทำธุรกิจ หรือในการบริหารจัดการ เช่น ในมหาวิทยาลัย มีหลายคณะ, คณะบัญชี ก็มีกลยุทธ์หรือวัตถุประสงค์เพื่อ ให้บัณฑิตที่จบออกไปได้ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง การบริหารของบัญชีก็เหมือนสนามกอล์ฟอีกสนามนึง พอไปเจอคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด การจัดการ โลจิสติกส์ ธุรกิจระหว่างประเทศ จะเป็นรูปแบบการบริหารอีกแบบ ก็เหมือนกับสนามกอล์ฟอีกสนามนึง พอรูปแบบการบริหารเปลี่ยนไป วิธีการแก้ปัญหาก็เปลี่ยนไป วิศวะ ต้องมีใบ กว. วิชาชีพกำกับ ก็จะไปเจออีกรูปแบบ แต่ละอย่างจะต่างกันไปหมด ไอที จะไปเจอในเรื่องเทคโนโลยี ไอที เขาไม่ค่อยพูด (หัวเราะ) จะบริหารยังไงให้เขาได้ใช้สื่อเป็น ขณะที่การตลาด พูดเก่ง คุยเก่ง ตรงนี้คือสิ่งที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราจับประเด็นได้ว่า เรื่องพวกนี้คือ คล้ายกับสนามกอล์ฟที่เราเล่น เราเจอสนามที่แตกต่าง มีปัญหาแตกต่าง พอเข้ามาในธุรกิจ ในการบริหาร ก็จะเจอปัญหาที่แตกต่างเช่นเดียวกัน ผมมองในมุมนี้ และใช้แนวคิดในเรื่องกีฬากอล์ฟ มาเชื่อมโยงกับการบริหารทั้งงานและชีวิตได้เป็นอย่างดี
มหาวิทยาลัยธนบุรี :
ปีนี้ ก่อตั้งมาเป็นปีที่ 26 แล้ว เดิมทีเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีธนบุรี จนเมื่อ ปี 2550 ได้ยกฐานะ เป็นมหาวิทยาลัยธนบุรี ได้รับการยอมรับถึงคุณภาพการเรียนการสอน ปัจจุบันมีนักศึกษาอยู่ประมาณเจ็ดพันคน คณะที่ได้รับความนิยม เป็นที่ยอมรับก็อย่างเช่น คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และธุรกิจพาณิชย์นาวี เพราะตลาดกำลังเป็นที่ต้องการ, ถ้าเป็นไอที คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลมีเดีย หรือ DM ดิจิทัล กราฟิกดีไซน์ และถ้าเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็หลากหลาย มีผู้มาเรียน ให้ความสนใจเยอะ ซึ่งเราเข้มแข็งในเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนบัญชีก็มาเรียนกันเยอะอยู่แล้ว สรุปโดยรวมก็คือ เราให้ความสำคัญทุกคณะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย แล้วแต่ว่าเขาจบอะไรมา แล้วมาเรียนต่อกับเรา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเด็กที่จบ ปวส. แล้วมาเรียนต่อปริญญาตรีอีกสองปี ถ้าเป็น ม.6 ก็สี่ปี ตามมาตรฐานทั่วไป บัณฑิตที่จบไป สถานประกอบการยอมรับในหลักสูตร ที่มีการตอบรับกลับมา 95% มีความพึงพอใจในตัวบัณฑิต เพราะเราเน้นว่า ผู้ประกอบการเขาเปลี่ยนแปลงแล้ว สมัยก่อน ต้องจบจากที่โน่นที่นี่ แต่ปัจจุบันเขาดูตัวบุคคลว่า ตอบสนองอะไรเขาได้บ้าง มีความทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างไร วันหยุดทำงานได้มั้ย ต่างจังหวัดไปได้มั้ย บัณฑิตเราทำได้หมด (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเขาก็พึงพอใจ ยกให้เป็นหัวหน้างาน เราจึงบอกว่า ทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเราเอง คุณภาพของบัณฑิตเองต่างหาก ที่จะบอกว่าตัวเขาคือใคร และช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้
มหาวิทยาลัยสำหรับทุกคน :
เด็ก ๆ เมื่อมาเรียนที่นี่จะมีความสุข เราสร้างบรรยากาศความอบอุ่นเหมือนกับอยู่ในครอบครัว ที่นี่คือความสงบ ความปลอดภัย การแต่งกายต้องเรียบร้อย เพราะเวลาที่ผู้ปกครองฝากลูกหลานให้มาอยู่กับเรา เราก็ต้องดูแลและฝึกฝนให้เป็นคนดีด้วย แถวนี้จะไม่มีอบายมุขในรัศมีใกล้ ๆ ไม่มีใครมาทำตัวเกเร มาแซว มาแกล้งเด็กของเรา ไม่มีใครทำตัวเป็นเจ้าพ่อ ไม่ต้องคอยพะวงว่าจะมีเหตุ เพราะผู้บริหารเราคุมที่นี่อยู่แล้ว (หัวเราะ) เรามีสนามกีฬาขนาดใหญ่ มีชมรม สโมสร สนามฟุตซอล ฯลฯ มีร้านกาแฟถึงสองแห่ง เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้สึกว่า เรามีอะไรที่ผู้คนชอบ อย่างร้านกาแฟ นั่งคุยกัน มุมสงบ โดยคิดราคาให้เหมาะสมกับนักศึกษา ประหยัดกว่าข้างนอก เป็นสถานที่ที่นัดเจอกัน ปรึกษางาน บรรยากาศเหมือนกับอยู่ในร้านกาแฟสวย ๆ ตอบสนองความต้องการผู้คนยุคใหม่
ทุกสิ่งทุกอย่าง ตามที่นักศึกษาอยากได้ ตามที่เขาต้องการ ปรับสภาพให้สอดคล้องกับนักศึกษาทั้งหลักสูตรและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทางมหาวิทยาลัย ยังสามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ นักศึกษาให้การยอมรับ สมัครกันเข้ามาเรียนปีละประมาณสองพันกว่าคน และสิ่งที่เราได้ทำสำเร็จอีกอย่างก็คือ เราเปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) หรือ DBA (Doctor of Business Administration Program) รุ่นที่ 1 มีนักศึกษาอยู่ 19 ท่านด้วยกัน ทำให้เกิดความภาคภูมิใจว่า สถาบันเรามีหลักสูตรตั้งแต่ปริญญาตรี ซึ่งเน้นในเรื่องคิดวิเคราะห์, ปริญญาโทคิดวิเคราะห์ระดับขนาดกลาง พอระดับปริญญาเอก คิดวิเคราะห์ ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องของตัวเอง จึงจะจบหลักสูตรได้ โดยทางมหาวิทยาลัย พัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะคณาจารย์ คาดว่าน่าจะเป็นปริญญาเอกเกือบทุกคนในอนาคต นี่คือโครงการดี ๆ และยังมีความร่วมมือกับต่างประเทศ มีนักศึกษาต่างประเทศ, ดูงาน ซึ่งมีตลอดอยู่แล้ว
จุดแข็งคือความยืดหยุ่น :
ท่านอธิการบดี บริหารงานแบบยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็วมาก แล้วทำทุกอย่างให้ไว เพราะเด็ก ๆ เปลี่ยนไปเยอะมาก ตามยุคตามสมัย สิ่งสำคัญที่สุดในมหาวิทยาลัยคือ ทางคณะ, เลขาคณะ ทำหน้าที่เหมือนเป็นแม่บ้าน เหมือนกับเป็นคนดูแลนักศึกษา คอยติดตาม คอนเตือนเด็ก ๆ ให้มาลงทะเบียน มาจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ทั่วถึง เป็นแก้ปัญหาได้ตรงจุด ตรงประเด็น ทุกคณะเก่งกันมาก ดูแลเหมือนแม่บ้าน เหมือนพี่เลี้ยง ผู้ปกครอง ที่ดูแลใกล้ชิด ไม่ยอมปล่อยให้เด็กเป็นไปตามสภาพ มีการเรียกมาคุย สอบถามปัญหา ใครจะลาออก ใครจะพักการศึกษา เรียกมาสอบถามถึงปัญหากันก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบางครั้งอาจมีวิธีหาทางออกหรือแก้ไขได้ โดยไม่ต้องพักเรียนหรือลาออกก็ยังได้ เคยมีกรณีที่เด็กกำลังจะสอบแต่เกิดตั้งท้อง จะมาลาออก เพราะความกลัว วิตกกังวลกับชีวิต ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้ในหนทางไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้คำแนะนำว่า เรื่องนี้มีทางออก และจะทำให้อนาคตทางการศึกษาก็ยังคงอยู่ เช่นมาทำเรื่องสอบย้อนหลังก็ได้ หรือหากไม่สบาย เจ็บไข้ ได้ป่วย ก็ยังสามารถเรียนจบตามเกณฑ์ แม้กระทั่งเรื่องภาระค่าใช้จ่ายก็พูดคุยปรึกษากันได้ เป็นนโยบายผู้บริหารเลยว่า ต้องให้เด็กได้สอบก่อน เขาต้องได้เกรดตามที่ทำได้ สิ่งใดที่เราช่วยเหลือได้ ก็ต้องช่วยเหลือ แล้วร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม ท่านอธิการเป็นคนติดดิน มองโลกในความเป็นจริง บริหารงานแบบยืดหยุ่น นี่คือจุดแข็งของมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้การเรียนประสบความสำเร็จ
ล้มแล้วต้องลุกได้ :
เราต้องต่อสู้ เป้าหมายอยู่ข้างหน้า พอได้ตำแหน่งทางวิชาการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) แล้ว ผมได้ดำเนินการทำวิจัยต่อ เพื่อจะทำตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ (รศ.) ปรากฏว่า ในสามปีแรกยังไม่ผ่าน แต่ก็ไม่หยุด เพราะต้องสู้ ลุยต่อไปอีกประมาณหกปี ถึงผ่าน แต่กว่าจะได้ผลสำเร็จในสุดท้ายนั้น เราต้องติดตามผลงาน และดูว่าข้อบกพร่องของเราคืออะไร พบว่าเรื่องสถิติของเรานั้นมันอ่อนเกินไป เราก็ต้องยอมรับ และปรับแก้ ทำวิจัยใหม่ เดิมที ผมเรียนจบปริญญาโทเมื่อนานมาแล้ว บางสิ่งบางอย่างจึงล้าสมัย มีการปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก ผมก็เข้าไปศึกษาเพิ่มเติม เผอิญลูกจบปริญญาเอก ก็ให้ช่วยแนะนำ และปรับให้ทันสมัย เมื่อทำตัวเป็น ‘น้ำไม่เต็มแก้ว’ เราสามารถถามลูกได้ ไม่ใช่แค่ให้ลูกถามเราอย่างเดียว เขาแนะนำเรา เราก็เข้าใจ ปรับตัวให้เข้ากับยุคเข้ากับสมัยได้ ผมทำวิจัยในหัวข้อเรื่อง ธุรกิจผู้ดูแลผู้สูงอายุ และ หัวข้อเกี่ยวกับเรื่องสิ่งทอ แล้วยังได้ทำสำรองไว้หากสองหัวข้อแรกไม่ผ่าน นั่นคือเรื่อง ความเชื่อมโยงในเรื่องการท่องเที่ยว แต่สองหัวข้อแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมต่อสู้จนกว่าจะได้ตีพิมพ์ สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์สมกับความพยายามและทุ่มเท แล้วทางมหาวิทยาลัยยังได้นำสิ่งที่เราวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจยิ่งขึ้นไปอีก
เป้าหมายต้องมี :
แนะนำทุกคนว่า เป้าหมายที่มีอยู่ ทุกคนเก่งเทียบเท่ากันทุกคน เพียงแต่ว่า แรงบันดาลใจ และสิ่งที่เราต้องต่อสู้ ความพยายามจะมีขนาดไหน ถ้ามีมากพอ ก็ไปถึงเป้าหมายได้ อาจจะช้าหรือเร็ว และสิ่งหนึ่งที่ผมพอใจก็คือ สมมติว่า ถ้าเราเรียนหนังสือ อาจเรียนจบปริญญา ไม่ว่าจะเป็น ตรี โท หรือเอก ตอนอายุเยอะ ๆ แต่ไม่มีใครถามคุณหรอกว่า จบเมื่อไหร่ เพราะ จบก็คือจบ ผมจึงบอกลูกศิษย์เสมอว่า ‘ไม่มีคำว่าสายสำหรับการศึกษา’ ดังนั้น ทุกคนต้องตั้งเป้าหมาย จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ แต่ต้องมี เพื่อไม่ให้ชีวิตอยู่กับที่ เมื่อตั้งแล้วเราก็ต้องพยายามไปให้ถึง ถ้าเรามัวแต่รอ แต่ไม่ทำ รอจนแก่มันก็ไม่ได้ อย่างผมตั้งเป้าไว้ว่า ต้องได้ตำแหน่งทางวิชาการ รองศาสตราจารย์ (รศ.) จะนานกี่ปีแค่ไหน ก็สู้อดทนทำไป พอได้ผลสำเร็จแล้ว ทำให้ร่างกายรู้สึก ‘อิ่มเอิบ’ ขึ้นมา ทำให้มีความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา เราจึงต้องมีเป้า อะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้รู้สึกต้องต่อสู้ อยากเอาชนะ และต้องทำให้ได้ แต่ละคน ความอยากเอาชนะอาจแตกต่างกันไป อย่างผมเป็นเรื่องตำแหน่งทางวิชาการ ส่วนคนอื่นอาจเป็นอะไรก็ได้ แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ก็ต้องหาว่าสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น คืออะไรสักอย่าง อย่าหยุดอยู่กับที่ เพราะถ้าไม่ทำ ก็เหมือนกับเราว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
ภาระหน้าที่ :
ปัจจุบันลดน้อยลงนิดนึงแล้ว เพราะมีคนเก่ง ๆ มาช่วย ทำให้งานด้านปฏิบัติของเราเบาลง อย่างตำแหน่งของผมคือ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา ซึ่งมี ผู้อำนวยการสำนัก ดูแลอยู่อีกที เราคอยกำกับอีกที ไม่ต้องปฏิบัติเองเหมือนก่อน วิธีทำคนให้คนเก่ง มีเทคนิคอยู่ว่า เราอย่าไปเป็นฮีโร่คนเดียว ผมใช้วิธีให้เขาได้มีส่วนร่วม ออกไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่สำคัญ ๆ ไปประชุม ไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญ จนช่วงหลัง ๆ ผมไม่ต้องไปเอง เพราะเขามีความเข้าใจแล้ว หากเราออกไปเอง ไปดำเนินการเองทั้งหมด ไม่ให้โอกาสเขาเป็นฮีโร่บ้าง เขาก็ทำไม่เป็น ไม่มีความมั่นใจ ถ้าเราทำเองหมดทุกเรื่อง ไม่มีเราแล้วใครจะทำแทน แต่การถ่ายทอดให้มีส่วนร่วมแบบนี้ เขาทำได้เลย เก่งมากด้วย เรามีหน้าที่ให้คำแนะนำ คอยให้คำปรึกษาเวลาเขามีคำถาม เราก็ภูมิใจที่เขาเก่งขึ้น
ยิ่งเดิน ยิ่งได้ :
สมัยก่อนเล่นกอล์ฟก็ได้เดินเยอะ จนติดเป็นนิสัย พอมาสอนหนังสือวันทำงานต้องเดินเยอะ ๆ เดินไปห้องโน้น ห้องนี้ เวลามีธุระก็ไม่ใช่ให้คนมาหาเรา แต่เราเดินไปหาเขา เดินไปตามแต่ละอาคาร แต่ละวันจะเดินสำรวจไปตามที่ต่าง ๆ เจอเด็ก ๆ แวะทักทาย ไม่รู้จักก็ไปทำความรู้จัก พูดคุยกันตามโรงอาหารตอนพักบ้าง ยิ่งสมัยนี้มีแอพในมือถือ ตั้งเป้าไว้เลยว่า ต้องเดินให้ได้ 8 พันก้าว แล้วต้องเดินให้ถึงตามที่ตั้งใจไว้ด้วย การทำกิจวัตรประจำวันเหล่านี้ ด้วยความตั้งใจที่จะออกกำลังกายไปด้วย ส่งผลให้กับร่างกายโดยตรง ทำให้เข่าไม่ปวด กระฉับกระเฉง ไม่มีปัญหาสุขภาพ เดินเยอะ ๆ เป็นการออกกำลังกายให้รู้สึกสดชื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วเข้านอนเร็วสักหน่อย สองทุ่มครึ่งก็นอนแล้ว ตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพราะตอนทำตำแหน่งทางวิชาการ เที่ยงคืนตีหนึ่งยังแทบไม่ได้นอน ส่งผลกับสุขภาพเป็นอย่างมากในช่วงนั้น พอเสร็จสิ้นภารกิจ ผ่านพ้นช่วงอดหลับอดนอน ก็ต้องขอพักผ่อนให้เต็มที่
ปล่อยวาง :
ผมชอบฟังเพลง ‘Let It Be’ ของ สี่เต่าทอง ‘The Beatles’ เพราะทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราต้องปล่อยวางซะบ้าง อย่าโกรธ อย่าโมโหใคร นั่นคือ ห้ามโกรธ ถ้ามีปัญหาก็ต้องทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน เคยมีคนมาทะเลาะด้วย ผมก็ไม่ทะเลาะด้วย เพราะมองว่าเขาไม่มีตัวตน แล้วปล่อยวาง อย่าเอาอะไรมาใส่ชีวิตให้เยอะนัก ผมบอกเสมอว่า ชีวิตของเรา อย่าไปเปรียบเทียบกับของคนอื่น ต้องเปรียบเทียบกับตัวเราเองเท่านั้น สมมติว่าเราไปดูคนอื่น เห็นเขามีรถคันใหญ่ ๆ รุ่นใหม่ล่าสุด ขณะที่เรามีแค่รถเล็ก ๆ เก่า ๆ แบบนี้ก็รู้สึกแย่ แต่ถ้าหันไปมองว่า เมื่อก่อนเรายังไม่มีรถลำบากกว่านี้ตั้งเท่าไหร่ ตอนนี้เรามีรถแล้ว ยังไงก็ดีกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ ให้เปรียบเทียบตัวเราเอง และความเจริญเติบโตที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเราเอง ถ้าชีวิตเราดีขึ้น นั่นย่อมต้องพึงพอใจแล้ว ผมบอกลูกเสมอว่า ‘อย่าบ่น’ กับปัญหาที่เกิดขึ้น ลองนึกถึงที่ทำงานเก่า นึกถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ผ่านมา แล้วจะรู้ว่าชีวิตเราตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย นี่คือเรื่องสำคัญในการใช้ชีวิต ชีวิตใครจะเป็นยังไงก็ช่างเขา ทำชีวิตเราให้ดีกว่าเก่าก็พอแล้วครับ