Interview

พรปวีย์ พาชื่น

พรปวีย์ พาชื่น
บริษัท นิมิตร จำกัด
“รักษาคำพูด รักษาเวลา รักษามิตรภาพ”

เด็กปู่เจ้าฯ : เกิดและโตย่าน ปู่เจ้าฯ เป็นโซนอุตสาหกรรม มีโรงงานเยอะมาก ตอนเด็กอาศัยอยู่กระท่อมไม้ไผ่ พูดง่าย ๆ เลยว่า ‘จน’ ค่ะ (หัวเราะ) แม่เล่าให้ฟังว่า เราเป็นเด็กงอแง พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง (หัวเราะ) ร้องไห้เก่ง ไม่สบายบ่อย จนแม่ต้องไปฝากบ้านป้าคนโน้น ป้าคนนี้ ฝากญาติ ๆ บ้าง อยู่กับน้าสาวเยอะ ไม่ค่อยได้อยู่กับแม่หรอก (หัวเราะ) เพราะแม่ต้องทำมาหากิน ขายก๋วยเตี๋ยวโอเลี้ยง ข้าวแกง ขนม ฯลฯ คนเดียวขายทั้งหมดเลย เพราะเลี้ยงลูก ๆ วัยกำลังกินกำลังนอนทั้งสามคน เราเป็นคนเล็ก ก็เลยได้ตัวอย่างจากแม่มาว่า คนเราอย่าไปทำอะไรแค่อาชีพเดียว หากมีอย่างนึงสะดุด อีกอย่างก็อาจช่วยพยุงให้ไปต่อได้

ชีวิตต้องสู้ : พี่ ๆ ได้เรียนจนจบ มศ.5 แต่เราได้เรียนแค่ มศ.3 เพราะคิดว่าต้อง ‘ทำเงิน’ อยากให้แม่สบาย ออกจากโรงเรียนแล้วจะไม่ขอเงินแม่เลย เคยทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แต่ไม่ไหว เราเรียนไม่เก่ง หัวไม่ดี คิดแต่จะหาเงินอย่างเดียว (หัวเราะ) ทำงานครั้งแรกในชีวิต เป็นลูกจ้างโรงงาน ทำได้แค่เดือนเดียวก็ออก คิดว่าทำงานมาทั้งเดือน เงินออกแค่ครั้งเดียว ไม่เอาดีกว่า อยากทำเอง เริ่มจากขายน้ำแข็งไสเพราะมีทุนน้อย พอดีแถวนั้นเป็นโรงงาน เป็นท่าเรือ เห็นเขาวิ่งรถบรรทุกกันเยอะ มองว่าธุรกิจนี้ดี เราน่ามีรถสักคัน เผื่อมีรายได้อีกทาง

รถบรรทุก : หาทุนครั้งแรกด้วยการเล่นแชร์ แบบยังเล่นไม่เป็น (หัวเราะ) เพื่อเอาเงินมาดาวน์รถ จ้างคนขับ เพราะเรายังขายของอยู่ พอมีทุนก็ซื้อเพิ่มเป็น 3 คัน แรก ๆ ขนน้ำตาล ข้าวสาร วิ่งขนส่งน้ำตาล บ้างครั้งลูกน้องเกเรมั่ง เมามั่ง มาขับไม่ทัน เราก็ต้องขึ้นไปขับเอง เพื่อไปส่งให้ทัน เราขับรถเป็นอยู่แล้ว พอมาขับรถบรรทุกคันใหญ่กว่าก็ขับได้เลย ยิ่งมีเวลามีความจำเป็นต้องขับใจมันสู้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้เสียงาน หัดให้ลูกขับรถบรรทุกตั้งแต่ขายังไม่ถึงดี ลูกหลานต้องขับได้หมด (หัวเราะ) จนเริ่มมีคนรู้จัก เรียกหาเรา เพราะรับผิดชอบงาน ไม่เคยทิ้งงาน เป็นคนใจใหญ่ ใจถึง ไปไหนก็เลี้ยงเขาทั้งหมด (หัวเราะ)

รับงานใหญ่ : พอดีอาอี๊ คุณน้าญาติแม่ รับงานขนส่งจากบริษัทใหญ่ กำหนดให้ ออกรถ 10 คัน แล้วเรียกราคาขึ้นอีก อาอี๊เห็นว่าเราซื่อสัตย์ รับผิดชอบ พูดคำไหนคำนั้น ชักชวนให้ไปทำด้วยกัน ก็ตัดสินใจลองทำดู เรามีรถอยู่แล้ว 3 คัน ก็เรียกรถของพรรคพวกมาเสริม เริ่มจากขนส่งเหล็กม้วนไปส่งนิคมอุตสาหกรรม รับงานมาเรื่อย ๆ จนมีผลงานที่ดีมาก งานไม่เสียหาย ออกรถเพิ่มจนถึง 20 คัน และเรียกรถเข้ามาเสริมอีกเป็นหลักร้อยคัน รายได้เฉพาะค่าหัวคิวตอนนั้นเยอะมาก ทำงานแทบไม่มีเวลานอน ออกจากบ้านไม่เคยเกินหกโมงเช้า กลับถึงบ้านไม่เคยต่ำกว่าเที่ยงคืน รถยังไม่เข้าอู่ก็ไม่กลับ ไปเฝ้าหน้างานตลอด ทำงานแบบถึงไหนถึงกัน ลงมือทำเอง นายจ้างเห็นเราทีไรก็ยกนิ้วให้

ล้มต้องรีบลุก : ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ค่าเงินบาทลอยตัว ทุกอย่างเริ่มสะดุด ธุรกิจเราก็แย่ตามไปด้วย แรก ๆ ก็ยังพออยู่ได้เพราะมีรถ ไปของานจากญาติที่วิ่งงานตามท่าเรือ พอปี 2550 เกิดความวุ่นวายอีก คราวนี้งานไม่มีเลย แต่ต้องเลี้ยงลูกน้อง ต้องส่งรถ เริ่มขายบ้าน ขายรถไปทีละคัน จนหมด เราอุ้มลูกน้องไว้ เพราะคาดว่าจะมีงานเข้ามา แต่ก็ไม่มี จนเริ่มเป็นหนี้มากขึ้น คุณแม่รับรู้ว่าเราลำบาก เพราะก่อนหน้าเคยให้เงิน ซื้ออาหารเสริม ซื้อโน่นนี่ให้ตลอด ก็เริ่มไม่ซื้อให้ ท่านก็รู้แล้วว่า เราคงจะแย่ เคยเกิดความท้อแท้กับชีวิต ถึงขนาดเคยคิดสั้นอยู่วูบนึง แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วก็รีบตั้งสติ คิดถึงลูก ว่าเขาจะอยู่ยังไง นับตั้งแต่วันนั้น ขนาดล้มอีกครั้งรอบสองก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย คิดอย่างเดียวคือ ‘ทำอย่างไร’ เราถึงจะกลับมายืนใหม่ได้

แม่ค้าโรงงาน : แม่บอกให้มาช่วยขายของด้วยกันที่โรงงาน ครั้งไม่ไป เพราะแม่เคยบอกว่า ขายของหนึ่งชิ้น ราคา 5 บาท ได้กำไร 1 บาท เรารู้สึกว่าเงินน้อยไป เคยจับเงินวันละเป็นหมื่นเป็นแสน ก็ปฏิเสธไปอีก จนแม่บอกว่า ทำไม่ไหวแล้ว ให้มาช่วยหน่อยเถอะ เราถึงต้องยอมไปช่วย ก่อนที่จะไปมีหนี้อยู่เยอะมาก ในชีวิตไม่เคยเป็นหนี้มาก่อน สมบัติที่มีก็ขายไปหมดแล้ว เหลือแค่รถที่ใช้อยู่คันเดียว เราเริ่มไม่ไหวแล้ว สงสารแม่ด้วย ก็ไปช่วย

วิกฤติคือโอกาส : เราเคยทำงานใหญ่มาแล้ว เรียกรถร่วมเป็นร้อยคันมาทำงานด้วยกัน แต่ละวันได้หยิบเงินเป็นจำนวนมาก ๆ แต่เมื่อเกิดวิกฤติที่ทำให้ชีวิตต้องติดลบ ต้องกลับไปเป็นแม่ค้าขายของอีกครั้ง การได้กลับไปเริ่มเก็บเงิน 5 บาท 10 บาท ถือเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราได้มีเวลาคิด ตั้งสติ ทำอะไรให้รอบคอบมากขึ้น ขายของไปสักพัก สังเกตว่าในโรงงาน คนเยอะมาก เกือบพันคน เราก็ดูว่า น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้นะ ระหว่างที่คิด ก็ขยายร้าน อยากขายอะไรมากกว่าเดิม เราเป็นร้านขายน้ำ ขายได้เยอะ แต่ได้กำไรน้อย ก็คิดว่าจะทำยังไงดี เริ่มจากเอาโบร์ชัวร์สินค้าในห้าง ใครอยากได้อะไร มาผ่อนกับเราได้ ตู้เย็น พัดลม ทีวี คิดร้อยละ 8 (หัวเราะ) เราไม่มีเงิน แต่มีบัตรเครดิต ก็รูดสินค้าผ่อนแบบ 0 % มาขายต่อเป็นเงินสด แล้วนำเงินสดไปปล่อยกู้ต่อ (หัวเราะ) เริ่มสะสมทุนขึ้นมาเรื่อย ๆ คิดจะขยายธุรกิจ แต่ยังไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะถ้าขายต่อไปอย่างนี้ ไม่เกิดแน่นอน ขายเครื่องสำอาง ขายตรง ก็คิดว่ายังไม่พออีก (หัวเราะ) ออกไปขายตามคาราวานตลาดนัด ตระเวนไปทั่วประเทศ จนได้เจอเพื่อนที่ทำงานบริษัทรับเหมาใหญ่ ถามว่าสนใจมั้ย เขามีงาน เราก็ขอลองไปดูก่อนว่า งานเป็นยังไง ส่วนขายของกับคาราวานก็ยังทำอยู่ แต่จ้างคนให้มาขาย ไม่ได้ไปเองแล้ว

งานก่อสร้าง : ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนเลย ใจสู้อย่างเดียว (หัวเราะ) มาเรียนรู้เอา เพื่อนพาไปดูงาน อธิบายว่าลงทุนแบบนี้ ทำแบบนี้ แล้วจะได้อะไร ก็ตัดสินใจลองจับงานทำเล็ก ๆ ทำเพื่อการเรียนรู้ก่อน ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เผอิญว่าเพื่อนได้โปรเจ็คใหญ่ ถามว่าสนใจมั้ย แต่ต้องใช้ทุนสูงหน่อย ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีทุน ก็พยายามจะรวบรวม แล้วไปรับงานของโรงรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นโครงสร้างหลังคา เมทัลชีท ผนังเหล็ก ความคิดของเราคือ คนที่จะใหญ่ได้ต้องกล้า งานที่ผลตอบแทนดี ต้องเสี่ยงบ้าง ก็ลองตัดสินใจลุย ให้ลูกชายมาช่วย โชคดีที่เขาชอบงานทางช่างอยู่แล้ว มาเรียนรู้กับพวกช่างที่เขามีความรู้ มีความชำนาญ มีเพื่อนที่คุมงานกันอยู่แล้ว ก็มาช่วยกัน แต่กว่าจะเริ่มรับงานใหญ่ได้ ก็มีไปลองรับงานเล็ก ๆ บางส่วนมาแล้ว ทำจนเริ่มเข้าใจและมีประสบการณ์พอสมควร

โตจากความรับผิดชอบ : รับงานใหญ่ครั้งแรกก็ขาดทุน (หัวเราะ) แต่ได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว (หัวเราะ) แต่การจะไปต่อก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะต้องรับคนงานเพิ่มอีก เหนื่อยมาก แต่ก็รู้สึกสนุกไปด้วย ในการตามหาคนที่มีฝีมือให้มาอยู่กับเรา โชคดีที่ เจ้านาย เห็นฝีมือ อยากให้เราไปรับงานต่อ เพราะเราทำแล้วมีฝีมือ ไม่ทิ้งงาน เกรดเฉลี่ยของผลงานของเราออกมาได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ๆ สูงถึง 92 % ปิดโครงการถึงแม้จะขาดทุน แต่ก็รับผิดชอบงานอย่างเต็มที่ จนเขาให้ไปรับงานโรงไฟฟ้าศรีราชาเป็นโครงการขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก ทำให้เราได้รับงานขนาดใหญ่ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ การมีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น สามารถทำกำไรได้ในโครงการต่อ ๆ มา เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้เพราะมีคนรอบข้างที่ดีคอยช่วยเหลือ ช่วยทั้งงาน ให้คำแนะนำ คำปรึกษา นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เรามาถึงจุดนี้ได้

ยิ่งทำ ยิ่งสนุก : เป็นคนชอบออกกำลัง เมื่อก่อนชอบวิ่ง ชอบเล่นโดยไม่คิดอะไรมาก ตอนเป็นนักเรียน เป็นนักกีฬาวิ่งอย่างเดียวเลย เพิ่งมาคิดได้ตอนที่ไม่เรียนหนังสือแล้วว่า เราต้องตั้งตัวแล้วนะ ต้องทำเองแล้วนะ ทำอะไรต้องทำด้วยความสนุก อย่าไปคิดว่าทำแล้วจะเหนื่อย พอเลิกงาน มีเวลาว่างปุ๊ป จะคิดถึงงานต่อไปข้างหน้าแล้วว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร คิดต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนสมองไม่ได้หยุด ไม่มีเวลาที่จะไปคิดว่าเหนื่อย ไม่มีความคิดว่าเราจะเครียด ไม่คิดถึงคำว่าเหนื่อยเลย ตอนให้ลูกชายมาทำงานด้วยที่เดโป้ เขายังไม่มีประสบการณ์ทางด้านงานช่าง เราก็บอกว่า ไม่ต้องกังวลอะไร ไปช่วยคุมงานให้แม่ แล้วก็คอยสังเกต เรียนรู้ ดูการทำงานจากคนอื่น ตอนหลังก็เริ่มปล่อยให้เขาคุมงานเอง แล้วทุกวันก็จะโทรคุยกัน สอบถามว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร เขาก็จะตอบมา ถามทุกวัน ๆ จนตอนหลังไม่ต้องถามแล้ว เพราะเขาจะรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ก็ปล่อยให้เขาทำงานเองได้ เราเริ่มถอยออกมาบ้างแล้ว อยากให้ลูกโตได้ด้วยตัวเขาเอง ไว้ใจเขาได้ ต้องให้คนรุ่นหลังใหญ่กว่าเรา ถ้ามัวแต่ไปขวางไว้ แล้วจะโตได้ยังไง

สิ่งสำคัญต้องรักษา : การรักษาคำพูด รักษาเวลา รักษามิตรภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่าและทำให้ทุกคนยอมรับนับถือ รับปากอะไรไว้ก็ต้องทำให้ได้ตามนั้น ทำงานต้องให้เสร็จตรงตามสัญญาที่ให้ไว้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ได้รับความเชื่อถือ และต้องมีความจริงใจต่อกัน ถ้าไปรับงานที่ไหน รับปากว่าจะเสร็จวันไหน ก็ต้องเสร็จตามนั้น ที่ได้งานต่อมาเรื่อย ๆ ก็เพราะเรื่องการรักษาคำพูด ดังนั้นเมื่อรับงานแล้ว ต้องคำนวณเวลาให้ดี เผื่อหนดส่งงานไว้สักเล็กน้อย แล้วทำให้เสร็จก่อนกำหนด นั่นคือเราทำตามเป้าได้ ที่ผ่านมา ต้องเจอกับผู้ตรวจสอบที่เข้มงวด เราก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทำงานได้ตามเป้า

กอล์ฟ : เพื่อน ๆ พามาพบกับ อ.ทองสุข (ทองสุข สัมปหังสิต) ที่สนามกอล์ฟเขาชะโงก เจอกันครั้งแรกอาจารย์บอกว่า กีฬานี้ ‘ร้อนนะ’ ก็ตอบไปว่า ‘ไม่เป็นค่ะ ชอบ’ (หัวเราะ) แล้วท่านก็ให้ถือเหล็ก 7 ตีเล่นไปเรื่อย ๆ เดินไปด้วยแบบยังไม่รู้อะไรเลย สนามเป็นภูเขาขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ไม่รู้เหนื่อย เพราะปกติชอบวิ่งอยู่แล้ว ชอบออกกำลัง พอเริ่มเล่นก็รู้สึกว่า อยากเล่นกอล์ฟ พอได้เดิน ได้ตี ได้ดูวิว แล้วรู้สึกสนุก ชอบเสน่ห์ของกีฬานี้ ตรงที่ต้องคิด ต้องใช้ทักษะ ต้องวางแผน ยิ่งเวลาที่ตีโดนแล้วลูกไปไกล ๆ จะรู้สึกสนุกมาก หัดอยู่ไม่นานมากก็พอเริ่มเล่นได้ แต่เราซ้อมน้อย ชอบออกสนามไปเดินตีเลย (หัวเราะ) กอล์ฟ สร้างความเพลิดเพลินจริง ๆ เวลา 4 – 5 ชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก ยิ่งเล่นยิ่งสนุก เวลาออกรอบ ใช้รถกอล์ฟ แต่จะเดินให้มากที่สุด ในก๊วนจะรู้ เหมือนกับได้ออกกำลังกายไปด้วย ยิ่งพอตีดี ๆ ได้คะแนนต่ำกว่าร้อย ยิ่งดีใจ เวลาตีได้ ก็อยากตีต่อ อยากเล่นอีก เฉลี่ยก็สัปดาห์ละครั้ง เคยไปตีกอล์ฟคนเดียว แบบไม่มีเพื่อน ไม่สนุกเลย เพราะมีอาการ ‘หงอย’ ไม่เหมือนไปกับเพื่อน ๆ ได้พูดคุย ได้หัวเราะเฮฮา กอล์ฟ มีส่วนมาก ๆ ที่ทำให้เรานิ่งขึ้น ปกติเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่พอเล่นกอล์ฟรู้สึกว่าเย็นลงไปเยอะเลย นี่ก็เพิ่งสังเกตตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) ตีกอล์ฟต้องวางแผน ใจเย็น ต้องนิ่ง ใจร้อนเมื่อไหร่ เล่นไม่เคยดี บางครั้งกำลังตีดี ๆ อยู่ พอรับสาย มีปัญหาเข้ามา ตีไม่ได้เลย (หัวเราะ)

สุขภาพชีวิต : วิ่งต่อเนื่องมาตลอด ทุกวันนี้ ระยะ สิบกิโลฯ ยังไหวสบาย ๆ ไม่เคยคิดว่าร่างกายตัวเองจะเป็นยังไง แต่ชอบออกกำลังกาย ชอบวิ่ง เวลาทำงานก็ชอบปีน ทำโน่น ดูนี่ เหมือนได้ออกกำลังกล้ามเนื้อไปในตัว จนบางครั้งคนอื่นก็เป็นห่วง (หัวเราะ) แต่พออายุเริ่มเยอะเริ่มกลัว เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ เห็นคนอื่น เพื่อน ๆ กินยากันเป็นแถว ๆ เราโชคดีที่ยังไม่ต้องเพิ่งพายา (หัวเราะ) ดูแลเรื่องอาหารการกินมากขึ้น ไม่กินตามใจปาก ส่วนทางใจ ถ้ามีเรื่องที่ทำให้เครียด ว้าวุ่นใจ จะทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน ไม่หันกลับมาคิด พอรู้สึกดีขึ้นค่อยว่ากันอีกที เพราะถ้ามัวไปวน เราก็จะจมอยู่อย่างนั้น ถ้ามีปัญหาที่ต้องแก้จริง ๆ ก็ต้อง ‘แก้ให้จบ’ ไม่งั้นจะวน เครียด ซีเรียส อยู่อย่างนั้น ทำให้มันจบไปเลย จะได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องวนอยู่กับปัญหาตรงนั้นอีก ชีวิตถึงไปต่อได้ ถ้าจะเจอปัญหาที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดี เดินหนีก่อน พยายามอย่าไปต่อความ ควบคุมสติให้ได้ เพราะตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้อน ร้อนมากด้วย ร้อนทุกอย่าง (หัวเราะ) ทำอะไรก็เร็ว จนเคยกลัวเรื่องอารมณ์ตัวเอง ถ้าโมโห ถึงไหนถึงกัน จึงต้องเอาเรื่องอื่นที่สบายใจกว่าเข้ามาก่อน เย็นลงแล้วค่อยว่ากันใหม่ เมื่อก่อนถ้าเครียดมาก ๆ จะพยามยามนั่งสมาธิ ไม่คิด ไม่พูด ทำให้ใจสงบขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ นั่งสมาธิน้อยลงไป อาจเป็นเพราะไม่ค่อยเครียด หรืออาจรู้จักวิธีรับมือ รู้จักวิธีทำใจ หรือได้ออกรอบอยู่เรื่อย ๆ ก็เป็นไปได้ค่ะ