Interview

‘โปรมิ้ม’ วรรษวัลย์ สังขพงษ์

‘โปรมิ้ม’ วรรษวัลย์ สังขพงษ์

“โอกาส ไม่ใช่อากาศ”
ถ้าเราแสวงหาโอกาส ต้องทำตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
หากไม่คว้าไว้ตอนนี้ ไม่รู้เลยว่า จะมาอีกเมื่อไหร่
ณ วันนี้ ได้โอกาส ต้องลองดู ทำให้เต็มที่
แต่ถ้าทำไม่ได้ โดยไม่ลงมือทำ
จะไม่มีวันรู้เลยว่า เราทำได้ หรือไม่ได้

รู้จักกอล์ฟปีน้ำท่วม :
ที่บ้านไม่มีใครเล่นกอล์ฟเลยค่ะ ปีที่น้ำท่วมใหญ่ พอดีบ้านอยู่งามวงศ์วานไม่ท่วม ตอนนั้นเพิ่งหัดขับรถ ขับมอเตอร์ไซด์ ไปกับคุณพ่อ ปั่นจักรยานบ้าง วันนึงไปเจอสนามไดร์ฟ สปอร์ตซิตี้ เกิดความสงสัย สนใจเลยขับเข้าไป หัดจอดรถอยู่ในนั้น พอเห็นคนตีกอล์ฟ ก็เข้าไปสอบถามดูว่าที่นี่คือที่ไหน ขอยืมอุปกรณ์มาดูว่าเป็นยังไง แล้วก็ลองหวดเลยค่ะ ลูกแรกก็โดนเลย แต่ยังไม่รู้เรื่องเลยว่ามันคืออะไร ยังไง (หัวเราะ) กลับมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟัง พอดีมีคนเกาหลีซื้อไม้กอล์ฟมาฝากคุณแม่ เหมือนเป็นของขวัญ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเราเล่นกอล์ฟหรือไม่ เขาอาจจะชอบกอล์ฟ อยากให้ลองเล่นกันดู, ตอนนั้นเป็นเด็ก กำลังห้าว ไม่ได้อินกับกอล์ฟเลย เริ่มใหม่ ๆ ไม่สนุกแน่นอน เพราะเป็นกีฬาเดี่ยว ต้องอยู่คนเดียว การที่จะเล่นแล้วเข้าสังคม ไม่เข้าใจว่าคืออะไร แค่ใช้ชีวิตตามอายุของเราไปเรื่อย ๆ

กีฬาเพื่อลูก :
คุณพ่อ คุณแม่ มานั่งคุยกัน อยากหากีฬาให้เล่น ที่บ้านเน้นเรื่องเรียน แต่เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กลัวว่าจะไปในทางไม่สมควร มีกีฬาไว้ก็ดี ตอนแรกมองกอล์ฟกับเทนนิส แต่เทนนิสดูแล้วจะไม่ค่อยเหมาะกับสรีระคนเอเชียอย่างเราเท่าไหร่ ณ ตอนนั้น, แล้วกอล์ฟยังเป็นกีฬาที่เล่นได้โดยไม่ต้องรอเวลาของคนอื่น หรือต้องมีคู่ซ้อม เลยเลือกกอล์ฟ ลองศึกษา ลองเรียนกับโปร แล้วรู้สึกชอบ เล่นไปเรื่อย ๆ แต่มิ้มเริ่มเล่นกอล์ฟช้ามาก ทำให้ไม่เคยได้แข่งในไฟลต์เด็กเล็ก ๆ เริ่มครั้งแรกก็ ไฟลต์ เอ เลย (หัวเราะ) ยิ่งพอเห็นเพื่อน ๆ รุ่นพี่ ได้ทุนการศึกษาไปเรียนที่อเมริกา ทำให้รู้ว่ามีเส้นทางนี้ด้วย เป็นอีกทางเลือกสำหรับเรา สามารถหาทุนไปเรียนเอง โดยไม่ต้องลำบากทางครอบครัว

รักจะเล่นต้องอดทน :
เริ่มหัดหลังเลิกเรียนบ้าง เสาร์-อาทิตย์บ้าง จัดสรรกันไป จากศาลายา ขับรถไปเรียนที่สนามเสนาฯ แต่หลัก ๆ ที่เรียนนาน ๆ อยู่ที่ ออลสตาร์, ที่มหิดลอินเตอร์ฯ เน้นเรียนสุด ๆ เข้า 7 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น รถกำลังติดสุดยอด (หัวเราะ) คุณพ่อขับบ้าง คุณแม่ขับบ้าง ระหว่างทาง หลับไปด้วย กินข้าวไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ไปถึงก็ตี ๆ กลับบ้าน นอน กิจวัตรประจำเป็นแบบนี้ (หัวเราะ)

ชอบความท้าทาย :
กีฬาอื่นเราแข่งกับคนอื่น ต้องไปลุ้นกรรมการ มีหลายเส้นทางมากที่จะแพ้จะชนะ แต่กอล์ฟ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเล่นจนถึงวันนี้ ยังคิดเหมือนเดิมว่า กีฬานี้ ไม่มีใครทำอะไรมิ้มได้ นอกจากตัวเองเท่านั้น ซึ่งคิดว่า เราจะเก่ง ก็เก่งด้วยตัวเอง เราจะแพ้ ก็แพ้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครจะมาส่งผลอะไรได้ ทำให้มีความรู้สึกว่า กีฬานี้ค่อนข้างจะซื่อสัตย์และยุติธรรมที่สุด ก็เลยขอลองสักตั้ง (หัวเราะ)

เพื่อการศึกษา :
เป้าหมายแรกเพื่อจะได้ทุนไปเรียนเมืองนอก บอกตามตรงว่า ไม่ได้เป็นนักกอล์ฟที่ตีดีนัก ยังทำเลข 7 ไม่ได้ ยังเหนี่ยวเลข 8 บ่อย สวย ๆ เลข 9 ก็ยังมีอยู่เลย (หัวเราะ) แต่เราใช้เกรด ใช้ผลการเรียนเข้าสู้กับคนอื่น ในการเข้ามหาวิทยาลัย เราได้แค่ทางนั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเรียนดีถึงขนาดได้ 4 ทุกตัว, ณ ตอนนั้น เรื่องเรียนต้องนำ กอล์ฟยังนำไม่ได้, ช่วง ม.5 ได้ไปแข่งที่อเมริกา ผลการแข่งไม่ได้เข้าเป้า แต่มีคนสนใจ หยิบยื่นโอกาสให้ พอกลับมา ม.6 เทอมแรก ก็จัดการเรื่องมหาวิทยาลัยเรียบร้อย พอเทอมสอง ก็มุ่งหน้าซ้อมกอล์ฟอย่างเดียว เพราะที่โรงเรียนไม่ค่อยมีอะไรให้กังวลแล้ว หลักสูตรก็น้อยลง เคร่งครัดน้อยลง ทำให้โฟกัสกอล์ฟได้เต็มที่

อเมริกา :
ปีแรกไปเรียนที่ การ์ดเนอร์ เว็บบ์ (Gardner-Webb University) รัฐ นอร์ท แคโรไลนา เรียนอยู่ 1 ปี 1 เทอม แล้วมีความรู้สึกว่า ‘อิน’ กับกอล์ฟมากขึ้น อยากไปมหาวิทยาลัยที่ใหญ่มากขึ้น จนได้คุยกับ ‘อารี ซอง’ โค้ชสอนกอล์ฟ ซึ่งรู้จักกับโค้ชอีกหลายคน และเห็นว่าพอมีโอกาส จึงได้ย้ายไปที่ เอ็นซี สเตท (North Carolina State Universiy) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดประจำรัฐ โชคดีที่โอนหน่วยกิตมาได้หมด เรียนต่อปีสองได้เลย ตอนนั้นยังตีกระป๊อกกระแป๊ก (หัวเราะ) แต่ใจสู้ค่ะ ไม่แพ้ก็ให้มันตายกันไปข้าง (หัวเราะ) เขาอาจจะเห็นแวว ได้รับโอกาสจาก โค้ชอารี และหัวหน้าโค้ชทีมกอล์ฟหญิงของมหาวิทยาลัย ทำให้ได้เข้าไปเรียนจนจบ

เข้ากฎหมาย จบบริหาร :
ตอนแรกเรียนกฎหมาย ที่ การ์ดเนอร์ เว็บบ์ แต่พอเรียนปุ๊ป ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลยเพราะว่า เราไปเรียนกฎหมายบ้านเขา บอกตรง ๆ ว่า ไม่มีประโยชน์ค่ะ (หัวเราะ) ก็เปลี่ยนมาเป็นการทูต ยิ่งหนักไปใหญ่ (หัวเราะ) ด้วยความที่เรามั่นใจเกินไป พอมา NC State เห็นคนเรียน Management เออ…ชอบแฮะ เลยเรียน Sport Management กับ Marketing ไม่เชิงบริหารหรือการตลาดโดยตรง แต่จะอิงกับเรื่องกีฬาที่ถนัดมากขึ้น ถือว่าเป็นสายตรง เปิดโลกกว้างเข้าทางมากกว่า การอยู่ในระบบของการเรียนหนังสือ ถึงไม่ได้ทำให้เราใช้ชีวิตได้แตกต่างอะไรมากนัก แต่สอนให้เรามีสติมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการจัดการ การวางแผน การแบ่งเวลา เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องคอยให้คนอื่นช่วยเหลือ เท่านั้นเอง, การเรียนช่วยขัดเกลาในเรื่องของความคิด ให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จัดระเบียบสมองให้มีความรู้สึกว่า อันไหนดี อันไหนควร ไม่ควร มากขึ้น ช่วยส่งเสริมเราในเรื่องวุฒิภาวะมากกว่า ซึ่งที่อเมริกา จะสอนให้คิด วิเคราะห์ มากกว่าอิงกับทฤษฎี ซึ่งทักษะส่วนนี้สามารถมาใช้กับชีวิตประจำวันเราได้ อันนี้คือสิ่งที่ประทับใจค่ะ

เรียนเพื่อเพิ่มทางเลือก :
สิ่งที่เราเรียนมา สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มั้ย? แน่นอน มันไม่ได้ทุกอย่าง แต่ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เพราะมิ้มคิดว่า อาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ นักกีฬามาคู่กับความบาดเจ็บได้ทุกเมื่อ แล้วเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า ถ้ากอล์ฟคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะมี เป็นสิ่งที่ต้องทำ, หาก ณ วันนึงที่เราทำไม่ได้ มิ้มไม่รู้เลยว่า จะไปทำอะไร เหมือนว่าเราปิดโอกาสตัวเองไป, การเรียน ทำให้ไปต่อยอดตรงอื่นได้ ไม่ต้องกลัวว่า ถ้าล้ม ไม่ประสบความสำเร็จจากตรงนี้ ยังมีอย่างอื่นให้ทำได้อีก นั่นแค่เป็นโอกาสที่มี อาจจะมากหรือน้อยกว่าคนอื่นก็แล้วแต่มุมมองของใคร เราก็มีตัวเลือกไปเรื่อย ๆ มากกว่ากอล์ฟ ซึ่งจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะอยู่กับตัวมิ้ม

สู้ยิบตา :
ตอนที่ย้ายไปเป็นปีสองเทอมสอง แต่ได้ทุนแค่เทอมเดียวเท่านั้น, บอกตัวเองว่า ‘ทำไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป’ แล้วจะหาเงินเรียนเอง หรือจะลาออกก็ค่อยว่ากัน หลังจากนั้น เข้าไปเล่นอีกราว 7 แมทช์ อยู่ดี ๆ ก็บ้าดีเดือด ได้เป็นตัวจริงทั้งหมดเลย แล้วก็เล่นโบ๊ะบ๊ะ (หัวเราะ) ผลงานชัดเจน ดีมาก เหมือนมาจากไหนก็ไม่รู้ ตัวมิ้มเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนั้นคือหลังชนฝา สู้ยิบตาเลยค่ะ (หัวเราะ) เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ พอขึ้นปี 3 ปี 4 ทุนได้เกินร้อยเลย (หัวเราะ) ได้ค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าขนม ได้รับจนดีใจ ให้กำลังใจกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่เลือกวันนั้น ถ้าทางบ้านและทุกคนที่คอยสนับสนุนเราไม่ให้โอกาส ถ้าเราไม่ตัดสินใจแบบนั้น คงไม่มีวันนี้ ดีใจจริง ๆ ค่ะ

สิทธิ (ไม่) พิเศษ :
การเป็นนักกีฬา ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรเลย ก็แค่ทำงานหนักกว่านักเรียนธรรมดา จะไม่มีเวลารีเล็กซ์ ไม่มีเวลานั่งทานข้าวกับเพื่อนเหมือนคนอื่น จับอะไรได้ต้องหยิบและทานตอนนั้น เพื่อไปซ้อมให้ทัน ถ้ามีตอนเย็นต่อ ก็ต้องจัดการเวลาตรงนั้นให้ทันอีก จะเข้าเรียน ต้องไปหาห้องเรียนเอง ไม่ใช่ให้อาจารย์มาหา และต้องไปให้ทันเวลา เราไม่ได้มีเพื่อนเป็นกลุ่มแบบนั้น ด้วยความเป็นนักกีฬาด้วย จะเรียนไม่เหมือนใคร เรื่องนี้สำคัญมาก ทำให้ต้องจัดการกับตารางชีวิตตัวเอง ทำยังไงก็ได้ให้ทันเวลา, ต้องตื่นเช้ามาฟิตเนส อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ เรียนคลาสแรก 8 โมงเช้าเท่ากันหมด นักเรียนธรรมดาอาจลงเรียนคลาสบ่ายได้ แต่เราเรียนได้เต็มที่แค่บ่ายโมง ต้องอัดเช้าอย่างเดียว เพราะหลังจากนั้น ทีมจะเริ่มซ้อมบ่ายโมงครึ่งจนถึงห้าโมงเย็น, หลังซ้อม ถ้าเป็นปีแรก ๆ หรือเกรดเฉลี่ยไม่ดีมากนัก ต้องไปหาติวเตอร์ ช่วงทุ่มถึงสามทุ่ม เพราะผลการเรียนสำคัญมาก หากเกรดทีมตก ผลงานไม่ดี การสนับสนุนจะน้อยลง ต้องรักษาสมดุลทั้งเรื่องเรียนและกีฬาให้ดี ชีวิตเราไม่มีแค่เรื่องเดียว วัยที่กำลังเติบโต การมีตารางแบบนี้ ทำให้ฝึกความอดทน ความมีวินัย ซึ่งมิ้มว่าดีมาก ๆ สำหรับคนที่อยากจะไปเรียนเมืองนอก ‘ทุกคนมีเวลาเท่ากัน’ อยู่ที่ว่าจะจัดสรรยังไงในแต่ละวัน เพื่อให้มีเวลามากกว่าคนอื่น นั่นคือสิ่งที่ได้จากมหาวิทยาลัยโดยชัดเจน

ความภาคภูมิใจ :
การได้ทุน ได้เบี้ยเลี้ยง ได้ที่พักอาศัย หรือมีห้องอาหารสำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะ เป็นสิทธิพิเศษเล็กน้อย, ณ วันนึงที่เราก้าวไปอยู่จุดนั้นจริง ๆ ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่กว่าจะได้ตรงนั้น คุณต้องทำงานมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ โดยที่เราไม่ได้เวิร์คฮาร์ด เป็นความภูมิใจของมิ้ม ที่หาเงินได้เกือบสิบล้าน ในช่วงเกือบสิบปีที่ส่งตัวเองเรียน ด้วยความพยายาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬาหรือการเรียน นักกีฬาที่ได้โอกาสไปเรียนมหาวิทยาลัยทุกคน ทำด้วยความสามารถเขาเอง หารายได้แบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่ นั่นคือที่สุดแล้ว

แสวงหา อย่าหยุดนิ่ง :
ไม่อยากนิ่งเฉย ชอบความท้าทาย มีช่วงหนึ่งที่อยากทำงานพิเศษ หารายได้เพิ่ม (หัวเราะ) แต่ด้วยความเป็นนักกีฬา คุณไม่สามารถทำได้ เป็นกฎเลย เพราะคุณรับทุนตรงนี้แล้ว ก็ต้องก็หันไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อพัฒนา ให้ตัวเองได้เรียนรู้ เจอสังคมมากขึ้น เป็นโอกาสที่ในวัยนี้ ไม่ได้หวนกลับมาแล้ว ณ วันนี้ เรายืนอยู่จุด ๆ นี้ เราควรจะทำ แสวงหาให้เต็มที่ แล้วเลือกว่า ชอบ ไม่ชอบ เท่านั้นเอง

โควิด :
ช่วงเรียนจบ เกิดโควิดพอดี ทุกอย่างชัตดาวน์หมด แล้วตอนอยู่ ปี 4 กำลังเล่นดี แต่เทอมสองไม่ได้เล่น เพราะไม่ว่าจะเป็นเรียนหรืออะไรก็ตาม ต้องย้ายไปออนไลน์กันหมด เลยกลับมาคิดใหม่ว่า อยากจะลองเดินทางสายนี้ หรืออยากจะไปทำงานดี เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สถานการณ์จะดีขึ้น ความแน่นอนในอาชีพนี้ก็มีไม่มาก เลยคุยกับทางคุณพ่อคุณแม่ เปิดใจคุยกันว่า คิดไม่ออกไม่รู้ว่าจะทำยังไง ใกล้เรียนจบแล้ว อยากหาเลี้ยงตัวเองให้ได้

ไม่ลองวันนี้ แล้วจะลองวันไหน :
โชคดี ที่คุณพ่อคุณแม่ คอยสนับสนุนตลอด ไม่เคยบังคับให้มิ้มทำอะไรเลย ตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่เคยบังคับให้ต้องไปเรียนพิเศษ ไม่เคยต้องอยู่ในกรอบ ปล่อยให้คิด เลี้ยงลูกค่อนข้างสไตล์ฝรั่งนิดนึง คิดยังไงเราคุยกันด้วยเหตุผล ความเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ คุณแม่บอกว่า จริง ๆ ตีกอล์ฟมาขนาดนี้แล้ว ‘ลองก็ดีนะลูก’ ถ้าไม่ลองวันนี้ จะไปลองวันหน้า โอกาสนั้นจะมาไม่ถึงเรา ด้วยความเป็นผู้หญิง ร่างกายก็ไม่เหมือนผู้ชาย ไม่เฟรชเท่าไหร่แล้ว ณ วันนี้เราลอง ให้เวลาตัวเองสัก 3-4 ปี ดูซิว่าเราสามารถเลี้ยงชีพได้มั้ย ที่สำคัญ เรามีความสุขกับมันมั้ย ‘ถ้ามีความสุขหนูก็ไปต่อ’ ถ้าไม่มีความสุข มันเจ็บปวด มันไม่ทำให้เราดีขึ้น เดี๋ยวค่อยไปหาหนทางกันใหม่

เทิร์นโปร :
เรียนจบกลับมาเมืองไทย มีแมทช์ ไทย แอลพีจีเอ ทัวร์ เล่นไปได้แค่สี่แมทช์ ยังไม่อยากนับว่าเป็นปีของการเล่นกอล์ฟอาชีพ เพราะมันน้อยมาก ๆ แต่ก็เข้าใจด้วยสถานการณ์ ก็ลองหาช่องทาง หาโอกาสอื่น ๆ ที่เราอยากจะลองเดิน อยากเติบโต ก็ไปเจอ เลดีส์ ยูโรเปียนทัวร์ (LET) ก็ตัดสินใจไปคัดเลือก ตอนนั้นมีมิ้มคนเดียว ไปปีแรกก็ติด แล้วเดินสายยาวปีเต็ม ๆ ทำให้มีความรู้สึกว่า นี่คือการทำงานจริง ๆ มันสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน เราต้องจัดการความรู้สึกนี้ เรียนรู้ว่าจะทำกับมันยังไง ไม่เหมือนกับตอนเรียน ที่ตีไม่ดีก็แค่ช่างมัน ปล่อยมัน เรามีหน้าที่แค่รับมือกับโค้ช แต่นี่คืออาชีพเรา จะทำยังไงให้ปล่อยมันไปให้ได้ และดึงมันกลับมาใหม่ให้ได้

LET :
ปีที่แล้ว แค่ผ่านตัดตัวยังยาก การไปเล่น LET มิ้มมองว่าเป็นทัวร์ใหญ่ เพราะไม่เคยมองว่าตัวเองเก่ง แค่มองว่าช่วงนี้กำลังพัฒนาในส่วนไหนมากกว่า ปีที่แล้ว คนเก่ง ๆ เล่นอยู่ใน LET กันเยอะมาก ทำให้เราได้เจอของแข็ง เจอของจริง เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ, ณ วันนี้ มองกลับไป แม้ปีที่แล้วคิดแบบนี้ไม่ได้ก็ตาม ตรงนี้คนอื่นอาจมองว่าไม่ได้เก่งขึ้น อาจจะเหมือนเดิม แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุดว่า ทำให้แกร่งขึ้น เราเจอมาหมดแล้ว ทั้งสภาพอากาศ บรรยากาศการแข่งขัน ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ฯลฯ ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้ ต้องใช้คำว่า 3 วันดี 4 วันเน่า (หัวเราะ) กำลังจะดี ๆ โดนอัดร่วงไปอีกแล้ว

ต่อลมหายใจ :
แมทช์ Aramco Team Series จบเป็นที่ 2 ของทีม ก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกขลาภหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะไม่อยากจะเล่น LET แล้ว การได้เงินรางวัลมาเกือบล้าน มันต่อลมหายใจ ทำให้มีกำลังใจ, แต่ที่ไหนได้ มาปีนี้ เล่นไปแค่ไม่กี่แมทช์ เงินหมดแล้ว (หัวเราะ) คิดว่าคนอื่นที่ไม่มีโอกาสไปเรียน เขาก็เอาเงินส่วนนั้นไปเดินสายอาชีพ ณ วันนี้เราก็ควรมีโอกาสใช้เงินส่วนที่เก็บมากับสายอาชีพบ้าง เพราะไม่ได้ใช้ไปกับการเรียน ซึ่งการลงทุนตอนนี้มันไม่เสียหาย เพราะทำเพื่อตัวเราเอง ซึ่งคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

LPGA :
ณ ตอนนี้ อยากเล่น LPGA Tour ไม่ใช่เพราะว่า ‘คนอื่นอยากเล่น’ หรือเป็นทัวร์ที่ใหญ่ แต่ต้องบอกตรง ๆ ว่า เกมกอล์ฟมิ้มเติบโตที่อเมริกา ตอนอยู่เมืองไทย ออกรอบน้อยมาก ๆ บางที เดือนนึงยังไม่ได้ออกเลย เพราะต้องทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ได้เรียนรู้กีฬานี้จริง ๆ ตอนไปเรียนมหาวิทยาลัย อาจคุ้นเคยกับคอนดิชั่น สนาม สิ่งแวดล้อม ทำให้อยากกลับไปเล่นที่โน่น ณ วันนี้ มีโอกาส แต่ยังทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ มิ้มได้โอกาสดี ๆ อีกหลายทาง ที่จะได้เล่นในละแวกบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น ไต้หวัน ไทย อาจทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น กระดูกแข็งขึ้น แกร่งพอสำหรับ LET ปีหน้าก็ยังพอเล่นได้ในบางแมทช์ แต่ตัดสินใจแล้วว่า พอแล้ว ไม่อยากเดินทางขนาดนั้น อยากพัก ทำร่างกาย ทำจิตใจให้แข็งแกร่ง แล้วกลับไปลุย LPGA ใหม่ในปีหน้า มิ้มขอได้มีโอกาสเป็นผู้เลือกบ้าง หลังจากเป็นผู้ตามมาตลอด

ทำธุรกิจต้องลงทุน :
คุณแม่บอกว่า กีฬานี้เป็นธุรกิจ เพราะเรากินอยู่กับมัน ถ้าคุณลงทุนแล้วได้ผลตอบรับไม่คุ้มต้นทุน ไม่มีประโยชน์ที่จะออกไปเล่นเลย เพราะมิ้มทำกีฬานี้เป็นอาชีพ ต้องคุ้มค่า เมื่อไหร่ที่เงินเยอะ คุณก็ต้องลงทุนเยอะ ไม่มีอะไรที่ตอบแทนสูงแล้วลงทุนต่ำ ถ้าคุณจะหาเงินล้าน คุณต้องลงทุนอาทิตย์ละแสน ไม่สามารถลงทุนหลักหมื่นได้ นี่คือการทำธุรกิจ, อย่างรายการใหญ่ เงินรางวัล 30 ล้าน แต่ผ่านตัดตัวที่สุดท้ายได้ 3 หมื่น เพื่ออะไรคะ? ลงทุนอาทิตย์ละแสน ไม่มีประโยชน์ ขณะที่แมทช์ในเมืองไทย ชนะได้แสนสี่ แต่ลงทุนอาทิตย์ละหมื่นบาท แล้วเราไม่ได้มองว่าผ่านตัดตัวที่สุดท้ายนี่ เราต้องมองแชมป์ มองบน ๆ ท้อปสามไทยยังได้ประมาณแปดหมื่น แค่นี้ก็รู้แล้วว่า มีกำไร บริษัทนี้เติบโตได้ (หัวเราะ)

รายเหลือสำคัญกว่ารายรับ :
มิ้มผ่านอะไรมาเยอะ กล้าพูดเลยว่า ปีที่แล้ว หาเงินได้สี่ล้านบาท แต่ลงทุนไปสี่ล้านบาท จบสิ้นปีมา คุณแม่เอ่ยปากว่า ถามจริง ๆ นะ เหนื่อยมั้ย? มิ้มบอกว่า เหนื่อยค่ะ (หัวเราะ) แล้วคุ้มมั้ย? กล้าพูดเลยว่า ไม่คุ้ม เพราะว่า ต้องเดินทางออกจากบ้าน 20 สัปดาห์ ต่อปี เพื่อได้เงิน 4 ล้าน แต่คุณต้องลงทุน 4 ล้าน คุณแม่ถามว่า แล้ว 20 สัปดาห์นี้ มิ้มทำไปเพื่ออะไร? จ่ายเงิน 4 ล้านบาท แล้วอยู่เฉย ๆ ก็ได้นะ ชีวิตคนเราไม่ต้องไปเหนื่อยขนาดนั้น ซึ่งทำให้คิดได้ว่า การที่คนอื่นบอกเงินเยอะ ๆ มันอาจไม่ใช่ เพราะสุดท้ายแล้ว ขึ้นอยู่ว่าใครจะมองยังไงเท่านั้นเอง ไม่มีใครมองผ่านเข้ารอบเป็นที่สุดท้ายอยู่แล้ว แต่นี่เรามองในกรณีเลวร้ายที่สุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน กอล์ฟคือการพนัน ไม่ใช่ว่าใส่ตู้มเข้าไปแล้วจะได้ทุกครั้ง (หัวเราะ) กอล์ฟคือการลงทุน แต่เราจะเลือกลงทุนยังไงให้สมเหตุสมผล และคุ้มกับตัวเรามากที่สุดแค่นั้นเอง

ผู้สนับสนุน :
การเป็นผู้ชมกอล์ฟ แน่นอนว่า อยากเห็นนักกอล์ฟตีดี แต่คุณไม่สามารถรู้เลยว่า เบื้องหลังฉากนั้น เขาผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง แล้วไม่ว่าจะเป็นใคร ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ คุณเคยเอื้อมมือไปช่วยเขามั้ย บางคนคุณไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ ณ วันนี้ เขามาทำให้คุณชื่นชมชื่นชอบได้ มิ้มว่า เราไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าอะไรเขาทั้งนั้น เราแค่ต้องเสพในสิ่งที่เขาแสดงให้ดู เพราะกว่าที่เขาจะมายืนจุดนี้ได้ ไม่มีอะไรง่ายเลยค่ะ, ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นแรงหลักคอยผลักดันมาตลอด ต้องขอบคุณ ‘ช้าง’ ที่ให้โอกาสมิ้ม ตั้งแต่วันที่ไม่มีอะไร ขอบคุณสปอนเซอร์ที่เห็นโอกาสในตัวมิ้ม เห็นการพัฒนา เห็นศักยภาพ ถ้าไม่มีทีมงานมาเติมเต็ม คงมาถึงวันนี้ไม่ได้ค่ะ

ยอมรับในสิ่งที่เลือก :
ถามนักกอล์ฟสิบคนว่าเคยเบื่อกอล์ฟมั้ย คงได้คำตอบยาว ๆ ทั้งสิบคนแน่ ๆ (หัวเราะ) กอล์ฟ เวลาไม่ได้เล่นเพื่อความสนุก มันน่าเบื่ออยู่แล้ว, ถ้าเราทำงานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เจ้านาย หรือลูกจ้าง เวลาโดนด่า ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่านี้แล้ว แต่นี่คือชีวิตจริง ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ กีฬานี้อาจจะยาก เพราะคุณต้องเป็นทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง ทั้งลูกจ้าง และเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจ ซึ่งมิ้มว่า ความรู้สึกนี้ ทุกคนมีอยู่แหล่ะ แล้วแต่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่, เวลาทุกคนตีดี มันสนุก, เราจะเบื่อ เมื่อสิ่งที่เราทำไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ยิ่งคาดหวังมาก ยิ่งผิดหวังมาก จะบอกว่านักกอล์ฟไม่คาดหวังไม่ได้หรอก ทุกคนคาดหวังกันหมด ไม่งั้นคุณจะมาแข่งทำไม เสียเวลาเปล่า ไม่มีประโยชน์ ณ วันนี้ บอกได้เลยว่า เบื่อกอล์ฟ แต่ ‘ความจนมันน่ากลัวยิ่งกว่า’ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเบื่อ เหนื่อย ท้อ แต่มิ้มเชื่อมั่นเสมอว่า วันไหนที่เราเหนื่อย วันหน้าต้องดีขึ้นทุกวัน วันนี้อาจเป็นความรู้สึกนี้ ก็ไม่เป็นไร แค่ยอมรับกับมัน เราไม่สามารถทำอะไร ก็ปล่อยมันไปได้ พรุ่งนี้อาจไม่มีความรู้สึกนี้แล้วก็ได้ แต่สุดท้ายก็คือ ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะนี่คืออาชีพของเรา และเป็นสิ่งที่เราเลือก เท่านั้นเองค่ะ