Interview

ภราดร นุชนาฎ

ภราดร นุชนาฎ
รองกรรมการผู้จัดการ
บริษัท ภราพัช อิเล็คโทรโมทีฟ จำกัด
“ทำความดีไม่มีสูญเปล่า”

คุณพ่อคงเห็นว่าผมชอบและมีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาความเร็ว จึงให้ผมลองเข้าแข่งมอเตอร์ไซด์ ตั้งแต่อายุสิบขวบกว่าๆ ยังไม่ถึงบรรลุนิติภาวะ ต้องให้ผู้ปกครองเซ็นอนุญาต เริ่มในรุ่นวันเมคเรซ ซึ่งบริษัทสยามยามาฮ่าเป็นผู้จัด โดยผมเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดที่ลงทำการแข่งขัน แต่เมื่อลงสนามครั้งแรกผลงานถือว่าใช้ได้ ไม่ถึงขนาดรั้งท้าย แล้วร่วมทำการแข่งขันมาเรื่อยๆ จนผลงานเริ่มดีขึ้นๆ ตำแหน่งอันดับสะสมประจำปีอยู่ราวๆ ที่ 7-8

คุณพ่อจะคอยเป็นทั้งโค้ชและเทรนเนอร์ คอยให้คำปรึกษา ตั้งคำถามให้ตอบ เป็นการสอนแบบไม่ใช้วิธีบังคับ แต่จะให้เราคิดเอง เช่น โค้งนั้นโค้งนี้จะยกคันเร่งให้ลึกไปได้มากกว่านี้มั้ย เพราะหากยิ่งยกคันเร่งช้าเท่าไหร่ รถเราก็จะมีความเร็วสูงทำเวลาได้ดีขึ้น แต่หากยกคันเร่งไม่ทันก็จะเข้าโค้งไม่ได้

การจะเป็นนักแข่งรถ จะต้องรู้จักดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งในเรื่องการออกกำลังกาย และอาหารการกิน ก็คุณพ่ออีกนั่นแหล่ะ ที่คอยจัดการให้ ท่านจึงเป็นทั้งโค้ช เทรนเนอร์ ผู้จัดการ ดูแลครบทุกอย่าง เพราะหากไม่ฟิตจริงๆ จะควบคุมรถได้ไม่ดี ผมจึงต้องเล่นกีฬาอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่นฟุตบอลเพื่อการออกกำลังกาย และยังสนับสนุนให้มีความแข็งแรงเพื่อนำไปใช้ในการแข่งขันได้อีกด้วย

ความภาคภูมิใจที่ได้ลงแข่งขันนั้น สำหรับผมไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะ แต่เป็นการได้เข้าร่วมในการแข่งขันที่มาตรฐาน มีกฏ กติกา รองรับ ได้ใส่ชุดแข่งที่คุณพ่อซื้อชุดใหม่ให้ตั้งแต่เริ่มลงแข่ง แล้วการบาดเจ็บจากการขับขี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

พอขยับขึ้นมาขับในรุ่น เจอาร์ เริ่มได้รับตำแหน่ง ได้ติดหนึ่งในสาม ได้ขึ้นไปยืนบนโพเดี้ยมบ้าง จนได้ขึ้นไปขับในรุ่น 125 ซีซี เหมือนกับเป็นรุ่นโอเพ่น ไปแข่งกับรถยี่ห้อต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด ผลงานที่ทำไว้ดีที่สุด คือ ได้อันดับที่ 2 ในรุ่น 125 ซีซี มือใหม่ จนเคยคิดว่าจะข้ามไปแข่งในรุ่นที่ใหญ่กว่า แต่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผมเข้าโค้งแล้วถูกชนจนข้อมือหัก แล้วคุณแม่กับคุณพ่อซึ่งตามไปเชียร์ทุกสนาม ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ด้วยความเป็นห่วงแม่จึงมาบอกว่าให้เลิกเถอะ ผมก็เชื่อคำสั่งของคุณแม่ยอมเลิก ขณะที่ทีมของเราก็ยังทำต่อไป

ด้วยใจที่ยังรักในความเร็ว ก็แอบทางบ้านไปแข่งแดรกไบค์ เป็นการแข่งทางตรง ระยะทาง 201 เมตร สมัยนั้นแข่งกันที่สนามบางกอกเรซซิ่ง หลังซีคอนสแควร์ แอบมาแข่งอยู่พักใหญ่จนทางบ้านรู้ แล้วเมื่อรู้ว่าห้ามผมไม่ได้ ท่านก็ไม่ว่าอะไร แค่อยากขอให้รู้จักระมัดระวังป้องกันตัวเอาไว้เท่านั้น

ระหว่างที่แข่งขันไปด้วย ธุรกิจของทางบ้านก็ดำเนินไปด้วย มีหลายอย่างด้วยกัน ทั้งตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซด์ยามาฮ่า, ป้ายโฆษณาของธนาคารต่างๆ, ตู้ครอบเครื่องเอทีเอ็ม ผมเริ่มเข้าไปดูในส่วนของร้านมอเตอร์ไซด์ซึ่งถนัดกว่า จนได้สักพักคุณอาก็เข้ามาช่วยงานที่ร้าน พี่สาวก็ให้ผมไปช่วยงานป้ายโฆษณาซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวด้วย

สิ่งที่เคยดูพ่อแม่ทำ พอวันหนึ่งต้องลงมือมาทำเอง มันเป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่ที่ทำได้เพราะทุกคนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่คอยให้คำแนะนำด้านการบริหาร เรามีทีมงานที่แข็งแกร่ง ผมเข้าไปเรียนรู้การทำงานทั้งหมดแบบครบวงจรเพื่อจะได้สืบสานการทำธุรกิจต่อไป

ช่วงที่ผมมาดูแลร้าน ทีมแข่งของตัวเองได้เลิกไปสักพักแล้ว แต่พอดีมีทีมของพี่เป็ด วรวุฒิ พุทโธ เข้ามาคุยเพื่อจะทำทีม ผมจึงเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ จนได้แชมป์ รับรางวัลถ้วยพระราชทาน ซึ่งทีมก็ลงแข่งทั้งกับประเภทรถยามาฮ่าด้วยกันเอง และโอเพ่นไปแข่งกับรถยี่ห้ออื่นๆ อีกด้วย

เผอิญผมได้มีโอกาสเข้าไปทำสะพานคนข้ามแบบเฉพาะกิจที่สนามบางแสน จนได้รู้จักกับทีมงานแข่งรถของสามมงกุฎ ได้เห็นการแข่งขัน จนรู้สึกชอบ คุณพ่อก็ถามว่า เอามั้ย? ผมก็ตอบรับทันทีแบบไม่ลังเล ผมเล่นกีฬาหลายอย่าง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความเร็ว โกคาร์ท ก็เล่นด้วย ทำให้มีทักษะพื้นฐานมาบางส่วน และเริ่มลงแข่งในรุ่น วันเมคเรช ปีแรกก็ได้อันดับที่ 5 ประจำปีนั้น ซึ่งตามข้อกำหนดก็คือ ผู้ที่ได้รางวัล 5 อันดับแรกจะต้องเลื่อนขั้นไปแข่งในรุ่นที่สูงกว่าในปีถัดไป

ผมเลื่อนมาแข่งในรุ่น โปรดักชั่น 1,500 รายการซูเปอร์คาร์ไทยแลนด์ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มหลายๆ คนบอกว่ารถที่ผมใช้ไม่น่าจะสู้กับคนอื่นได้ แต่ผมกลับมั่นใจว่าเราสู้ได้ ความได้เปรียบอย่างหนึ่งก็คือ ผมขับมอเตอร์ไซด์มาก่อน ซึ่งรายละเอียดมันค่อนข้างเยอะ มอเตอร์ไซด์ต้องหาวิธีว่าจะขับอย่างไรให้เร็วและคงที่ ต้องหารายละเอียดว่า จะมาร์คจุดตรงไหนบ้าง เพื่อจะยกคันเร่ง เบรค เลี้ยว เร่ง เพื่อให้รถเสียเวลาน้อยที่สุด เป็นการนำเทคนิคของมอเตอร์ไซด์มาใช้กับการขับรถยนต์ เพราะถึงแม้จะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีบางส่วนที่ละเอียดกว่า แล้วเราก็สู้ได้จริงๆ ปีแรกติด 1 ใน 5 พอปีแต่มาก็ได้แชมป์ประเทศไทย ต้องเลื่อนขึ้นไปแข่งในรุ่น ซูเปอร์ 1,500 ซึ่งเป็นรุ่นโอเพ่น

ในการแข่งขัน ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วผมก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้ ณ สนามพีระเซอร์กิต รถผมถูกชนที่โค้งแรกเลี้ยวซ้าย เมื่อสุดทางตรงลงมา จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่ารถผมหมุนราว 7 รอบ ตอนชนสติผมดีทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้ โชคดีที่ทีมเซอร์วิสดี ได้ออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยไว้ดีมาก รถตีลังกาไปหลายรอบ แต่ไม่มีอะไรมาโดนตัวผมเลย หลังจากตีลังกาไปฟาดต้นไม้จนกลับมาหยุดนิ่งแล้ว ผมยังเป็นคนดับเครื่อง เปิดประตูลงจากรถเอง สภาพรถตอนนั้นใช้งานอีกไม่ได้แล้ว ซ่อมก็ไม่คุ้ม แต่ผมก็ยังเก็บไว้เพื่อเป็นที่ระลึก

หลังจากวันนั้น พ่อก็บอกว่าเลิกเถอะ ผมก็เห็นด้วยกับท่าน เพราะได้ทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้ว นั่นคือได้เป็นแชมป์ประจำปี ซึ่งก่อนหน้านั่นแค่วันเดียว เป็นการแข่งวันเสาร์ พอดีรถผมเครื่องพัง ทีมช่างต้องช่วยกันทำเครื่องทั้งวันทั้งคืน ผมเองก็เหมือนกับมีแรงผลักดันว่า ทั้งทีมสังกะสีสามมงกุฎและเงากลการ ต่างช่วยกันเต็มที่ ทุ่มเทเพื่อจะทำให้ผมได้กลับมาแข่งอีกในวันอาทิตย์ และตามกติกา ถ้าเปลี่ยนเครื่องต้องไปต่อท้ายตอนออกตัว

วันนั้นผมขับด้วยความมั่นใจ ตั้งใจมาก ทุ่มเทเต็มที่เพื่อทีมงาน จนทีมช่างชมว่าผมขับได้ดีมาก ทำความเร็วได้ดี ค่อยๆ ไล่แซงจากอันดับสุดท้าย ขยับมาเรื่อยๆ จนก่อนตีลังกาผมอยู่ราวอันดับที่ 6 จากทั้งหมดราวยี่สิบคัน ทีมช่างก็ไม่รู้ว่าผมจะเลิกกระทันหัน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกลงสนาม แต่ก็ยังไปสนามดูเพื่อนๆ พี่ในทีมอยู่เสมอ

หลังจากที่เลิกแข่งไปพักใหญ่ มีการแข่งขันเอ็นดูรานซ์ที่สนามช้างฯ ทางทีมสามมงกุฎโดยลุงป่อง ได้ให้ทีมงานติดต่อมา และเนื่องจากผมกับลูกชายเขาขับรถสไตล์ใกล้เคียงกัน ทีมช่างไม่ต้องเซ็ตอะไรให้ยุ่งยาก ผมก็กลับไปแข่งอีกครั้ง และได้ที่ 1 ในรุ่น 1,600 จากสนามช้างฯ หลังจากที่เว้นไปร่วมสี่ปี ก็รู้สึกสนุกอีกครั้ง เพราะมั่นใจในทีมงาน และมาแข่งสนามสุดท้ายจริงๆ ก็เมื่อราวสี่ปีที่แล้ว แต่ถ้าหากมีโอกาสจริงๆ ก็ยังอยากจะกลับเข้าไปแข่งอยู่

คุณพ่อเป็นนักธุรกิจที่กล้าได้กล้าเสีย เคยไปดูงานที่ประเทศจีน แล้วท่านเห็นรถกอล์ฟ ก็สั่งรถกอล์ฟมาขาย โดยยังไม่มีออร์เดอร์เลย มีแต่ความเชื่อมั่นว่า ขายได้แน่นอน ซึ่งก็ขายได้จริงๆ โดยบางส่วนเราลงทุนให้เช่า แล้วก็ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ประจวบเหมาะกับ เราได้ทำธุรกิจกับ ยามาฮ่า มายาวนาน คุณพ่อเองก็เคยทำงานในฝ่ายเซอร์วิสกับยามาฮ่ามาก่อนอีกด้วย ท่านเชื่อมั่นว่าสินค้าจากบริษัทนี้มีคุณภาพอยู่แล้ว จึงมีการติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่กว่าจะสำเร็จก็ใช้เวลาไปราวสี่ปีถึงได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากบริษัทยามาฮ่าประเทศไทย สายการผลิตรถกอล์ฟของยามาฮ่ามีอยู่สามแห่ง ได้แก่ ญี่ปุ่น อเมริกา และ ประเทศไทย ซึ่ง ฐานการผลิตที่นี่ประกอบรถกอล์ฟได้สำเร็จทั้งคัน ผลิตให้กับทวีปเอเซียแถบตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

ผมเองเพิ่งจะเริ่มจับกอล์ฟได้ไม่นาน แต่ก็คุ้นเคยกับกีฬากอล์ฟมานานแล้ว เพราะน้องชายก็เล่นจริงจังจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันต่างประเทศในระดับเยาวชน ส่วนคุณพ่อท่านเล่นมานานแล้ว เป็นนักกอล์ฟฝีมือดี แต่ที่ผมยังไม่เล่นก็เพราะก่อนหน้านี้ยังติดใจอยู่กับกีฬาในโลกของความเร็ว จนเมื่อได้เข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงได้ลองหัดดูบ้าง โดยมีโปรของน้องชายและคนรอบๆ ข้างที่เขาชอบกีฬากอล์ฟกันอยู่แล้วช่วยกันดูให้

ผมชอบกอล์ฟตรงที่แตกต่างไปจากกีฬาแข่งรถที่คุ้นเคยมา กอล์ฟไม่ต้องไปแข่งกับใคร เป็นการแข่งขันกับตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง

ถึงแม้ในวงการรถกอล์ฟเราจะเพิ่งก้าวเข้ามาเป็นน้องใหม่ แต่คุณพ่อและผมมีความมั่นใจในตัวของสินค้าอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อย้ายฐานการผลิตเข้ามาอยู่ที่เมืองไทย ทำให้ต้นทุนต่างๆ ลดลง ทำราคาขายได้ต่ำกว่าเดิม สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างเต็มที่ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ ระบบช่วงล่างเป็นคอยด์สปริง มีความนุ่มนวลกว่าเมื่อเทียบกัน และเรื่องพละกำลังในการใช้งานก็ไม่เป็นรองใคร ในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยคุณภาพและมาตรฐานเดียวกันกับที่วางขายในอเมริกาและญี่ปุ่น เรายังคิดในมุมของการเป็นลูกค้าอีกด้วยว่า เขาอยากจะได้อะไรบ้างหลังจากที่ซื้อสินค้าไปแล้ว เราจึงมีบริการหลังการขายที่มั่นใจได้ว่า จะรับดูแลให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ภายใต้มาตรฐานของยี่ห้อนี้ อีกทั้งยังมีการให้บริการด้านไฟแนนซ์คอยอำนวยความสะดวกทางด้านการเงินตามที่ลูกค้าต้องการ

เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซด์ เราทำธุรกิจนี้มายาวนาน ทำกันมาอย่างครบวงจร ไม่ใช่แค่เรื่องการขายเพียงอย่างเดียว ต้องดูเรื่องบริการหลังการขาย ทั้งซ่อมบำรุง เปลี่ยนอะไหล่ ให้คำปรึกษา ซื้อขายแลกเปลี่ยน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ประสบการณ์ที่ได้ เราจึงมีความมั่นใจในการทำธุรกิจรถกอล์ฟยามาฮ่าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากท่านใดมีความต้องการจะใช้รถกอล์ฟ ก็อยากจะให้นึกถึงเราซึ่งมีสินค้าคุณภาพไว้คอยตอบโจทย์ให้อีกทางเลือกด้วย

ผมโชคดีที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ทำงานหกวัน หยุดวันอาทิตย์วันเดียว ถ้าไม่ไปไหนก็จะเข้าบึงไปเล่นเจ็ตสกีบ้าง ปั่นจักรยานบ้าง หรือไม่ก็อยู่กับบ้าน เวลาจะไปเล่นกีฬาถ้าลูกๆ รู้สึกอยากเล่นด้วย เขาก็จะไปสนุกด้วยกัน แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่บังคับกัน แล้วแต่ว่าใครอยากจะทำอะไร ขอแค่ให้ทำทุกวันให้มันดีที่สุด เพราะเชื่อเสมอว่า เมื่อทำดีแล้วไม่มีสูญเปล่า ความดีนั้นสุดท้ายก็ไม่ได้ไปไหน สุดท้ายก็จะตกอยู่กับลูกๆ อยู่กับตระกูลของเราครับ