นพพร เหมะจันทร์
นพพร เหมะจันทร์
บริษัท บี.ซี.เดโป จำกัด
“ปล่อยวาง เดินสายกลาง”
เด็กปทุมคงคา : สมัยเด็กผมอาศัยในย่านจัดสรรยาสูบ ซ.อุดมสุข หลังจากนั้นคุณลุงพาไปอยู่ที่ นครปฐม เรียนจนจบ ม.ศ.3 แล้วย้ายกลับ มาเรียนปทุมคงคา ม.ศ.4 – ม.ศ.5 ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าภาพของตัวเองในอนาคตจะเป็นอย่างไร เรียนตามปกติไปเรื่อย ๆ ผมไม่ใช่สายบู๊ แต่เป็นสายหลบ (หัวเราะ) เรียนหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้คิดอะไรมาก ปทุมคงคา สมัยนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนัง กีฬาคือ ฟุตบอล อย่างเดียวเลย ผมก็ตามไปเชียร์ ไปไหนไปกัน มีความภาคภูมิใจในความเป็นเด็กปทุมคงคา ว่ามีฝีไม้ลายมือในเรื่องฟุตบอล ผมเป็นสายกองเชียร์ ไม่ได้ลงไปเล่นเอง แต่ไปทีไรก็ต้องมีทะเลาะเบาะแว้ง ตีกันทุกที (หัวเราะ) มีทั้งกับรุ่น ๆ เดียวกัน แม้กระทั่งรุ่นโตกว่า ผมผ่านมาได้อย่างรอดปลอดภัย ไม่หัวร้างข้างแตกเหมือนกับเพื่อน ๆ ก็นับว่าดีมาก ๆ แล้ว (หัวเราะ)
มุ่งทำงาน : พอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ผมไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัย มุ่งตรงไปสมัครเรียนที่รามคำแหงเลย ตั้งใจเรียนนิติศาสตร์ เพราะช่วงนั้นมีกระแสความนิยมเรื่องการเรียนกฎหมาย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แก้ปัญหาได้ ในความคิดตอนนั้นก็ว่าน่าจะดีที่สุด แต่การเรียนช่วงหลัง ๆ ชักเริ่มจะไม่ค่อยดีนัก รู้สึกว่าอยากทำงานมากกว่า ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุแค่ยี่สิบ ยอมทิ้งเรื่องเรียนไปทำงานเป็นชิปปิ้ง พอดีพี่ชายเป็นข้าราชการกรมศุลกากร มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ ก็ฝากงานให้
ชิปปิ้ง : คือตัวกลางที่คอยประสานการนำเข้าส่งออก ลูกค้าจะไม่ถนัดในเรื่องการทำเอกสารกับพิธีการศุลกากร ชิปปิ้งคือตัวแทน ตัวกลางที่จะไปประสานให้ลูกค้า ส่งออก นำเข้าได้ โดยลูกค้าเพียงจ่ายค่าธรรมเนียมอย่างเดียว ผมเองไม่เคยทำงานด้านชิปปิ้งมาก่อนเลย จึงต้องเริ่มจากพนักงานขับมอเตอร์ไซด์รับส่งเอกสาร ติดต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ ติดต่อธนาคาร ผ่านแอลซี ออกสินค้า ตรวจสินค้า แต่หน้าที่หลักของผมคืออยู่บนถนน ขับมอเตอร์ไซด์หัวแดงทั้งวัน (หัวเราะ) แต่การทำหน้าที่นี้ ทำให้ผมมีความรู้พื้นฐานด้านเอกสารอย่างลึกซึ้ง สายเดินเรือจะมาติดต่อธนาคาร ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขออนุญาตในเรื่องต่าง ๆ ทำให้มีความเข้าใจในงานเอกสารเป็นอย่างดี ทำงานอยู่ได้ระยะหนึ่ง ได้ปรับเปลี่ยนหน้าที่ พอดีคนตรวจของออก ก็ได้ขยับขึ้นมาทำหน้าที่แทน เริ่มมาเป็นลูกพี่บ้างแล้ว ทำงานไปเรื่อย ๆ จนมีอายุงาน ประมาณสิบปี คิดว่าสะสมประสบการณ์ได้พอประมาณ ก็เริ่มมาเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง อาศัยรู้จักความเป็นมาเป็นไปของวงการชิปปิ้ง รู้จักเจ้าหน้าที่ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีความคล่องตัวในการทำงาน คิดว่าตัวเองพร้อมในการเริ่มงานของตัวเอง แต่ยังเป็นการทำส่วนตัว ยังไม่ได้เปิดเป็นบริษัท
ธุรกิจกลางคืน : ช่วงปี 2540 มีการลดค่าเงินบาท ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ ผมเองได้ผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากเราทำหน้าที่เป็นชิปปิ้ง เป็นคนกลาง คอยเคลียร์เอกสาร นำของเข้า นำของออก คอยอำนวยความสะดวก แต่ลูกค้าได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ทำให้จำนวนหายไปบ้าง เพื่อน ๆ ก็แนะนำให้หันไปทำธุรกิจอื่น จึงไปลงทุนเปิดเธคผับ ย่านรัชดา ขนาดใหญ่มากในยุคนั้น ช่วงแรกไปได้ดีมาก ก่อนจะเริ่มซบเซา เปิดอยู่ราว 5 – 6 ปี ก็ขายกิจการไป
ทำสิ่งที่ถนัด : ผมผ่านงานด้านชิปปิ้งมาค่อนข้างยาวนาน จนรู้สึกว่าเริ่มเบื่อ (หัวเราะ) เห็นวงการหัวลาก เห็นวงการตู้คอนเทนเนอร์ รู้ว่า ตู้ฯ มายังไง ไปยังไง แต่กลับไปทำงานงานธุรกิจกลางคืนที่เราไม่ถนัดเลย สะท้อนให้เห็นบทเรียนชีวิตว่า อะไรที่ไม่ถนัด อย่าไปทำ ผมกลับมาท่าเรืออีกครั้ง เพราะรู้ว่า นี่คืองานถนัดที่แท้จริงของเรา แต่คนทำอาชีพ ชิปปิ้ง เยอะมาก ใคร ๆ ก็มาทำกัน แล้วหลัง ๆ งานชิปปิ้งเริ่มน้อยลง เนื่องจากเทคโนโลยี ความทันสมัย ทำให้ไม่ต้องใช้คนเยอะในการทำงาน จึงคิดเปลี่ยนมุมมองว่า ถ้าเราหาพื้นที่ สักแห่งนึง เพื่อมาดูแลตู้ฯ ให้กับสายเรือ น่าจะมีอนาคตที่ดี จึงติดต่อหาเช่าพื้นที่จากการท่าฯ เพื่อทำกิจการเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ หน้าที่ของเราคือ คอยดูแล เก็บรักษา ตู้คอนเทนเนอร์ ให้มีความพร้อมสมบูรณ์ กับเอเย่นต์ขนส่งทางเรือ เมื่อขนส่งสินค้ามา และขนส่งสินค้าออกจากตู้ไปแล้ว ตู้ก็จะว่างเปล่า แล้วตู้เหล่านี้ก็จะส่งกลับมาหาเรา เราก็ทำหน้าที่ดูแลรักษา ทำความสะอาด กวาด ล้าง ซ่อม เพื่อรอให้ลูกค้ามาจองตู้ สำหรับสินค้าที่จะส่งออกจากภายในประเทศส่งออกไปต่างประเทศอีกที ตู้ฯ ไม่ใช่ของเรา เป็นของเอเย่นต์เรือจากต่างประเทศ ซึ่งเขาไม่มีพื้นที่สำหรับดูแล เราก็ทำสัญญาดูแลให้ ส่วนลูกค้า เขาก็หาเอง เรามีสถานที่และเก็บรักษาตู้ให้แต่ละเอเย่นต์และสายเรือเท่านั้น เราจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเก็บรักษาตู้โดยเฉพาะ ส่วนการขนส่งก็แล้วแต่ว่าจะตกลงกันแบบไหน ซึ่งเราเองก็มีพันธมิตร สามารถให้บริการแบบครบวงจรได้อีกด้วย
โตแบบไม่คาดคิด : จังหวะที่กำลังจะโตขึ้นมา ก็เหมือนกับโชคชะตากำหนดไว้แล้ว โชคดีมีผู้ใหญ่แนะนำ ผมก็ได้รับโอกาสนั้น เริ่มจากพื้นที่แปดไร่ ทำไปทำมาเริ่มไม่พอ เพราะตู้ฯ ต้องซ้อนสูง พออยู่ติดกับทางด่วน อาจมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับลูกค้าเริ่มเข้ามาเยอะ จนต้องเพิ่มสถานที่มาอยู่ฝั่งกรมศุลกากร จนถึงปัจจุบัน ได้เนื้อที่ขนาดสิบสามไร่ พอดีจังหวะนั้นการท่าเรือฯ เพิ่งมีพื้นที่ว่าง ก็ติดต่อเช่าเพิ่มอีกสามสิบกว่าไร่ ทั้งหมดรวมเป็น สี่สิบเอ็ดไร่ และมีคลังสินค้ารวมอยู่ด้วย ต้องมาพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้บริการทั้งคลังสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ ทุกอย่างครบวงจร แต่ทั้งหมดนี้ ต้องมาเริ่มนับหนึ่ง หาลูกค้าใหม่ด้วยตัวเราเองทั้งหมด ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ จนหาได้ครบเต็มพื้นที่ ทั้งนี้ เพราะศักยภาพ ทำเล ที่ตั้ง เรามีทั้งตู้ฯ สถานที่บรรจุ เพื่อส่งออก ทุกอย่างเอื้ออำนวยมาก เรามีเครือข่ายต่อเนื่องไปถึงการขนส่ง ทำได้แบบครบวงจร สะดวกสำหรับการส่งออก เรียกว่าเราคือ วันสต็อปเซอร์วิสได้เลย พอลูกค้ามากขึ้น ที่เดิมก็เริ่มไม่พอ จนต้องขยายไปพื้นที่แถว บางนา – ตราด อีกยี่สิบไร่ ซึ่งปัจจุบันก็เต็มอีกแล้ว (หัวเราะ)

มัดใจด้วยการบริการ : ลูกค้าอยู่กับเรามาตลอด อยู่กับเรามานาน เป็นการทำสัญญากับบริษัทขนาดใหญ่ เป็นของต่างประเทศทั้งนั้น เรามีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของเขา พอเขาประทับใจ ไว้เนื้อเชื่อใจเรา เขาก็จะไม่เปลี่ยน ทำสัญญากันยาว ๆ เลย ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า อาจเป็นเพราะอัธยาศัย เข้ากับคนง่ายด้วยส่วนหนึ่ง เวลาพูดคุยกับลูกค้าก็รู้สึกว่าเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เรามีความตั้งใจในเรื่องการให้บริการ ถ้าให้นึกภาพเราก็เหมือนกับคาร์แคร์ ที่คอยทำความสะอาด กวาด ล้าง ซ่อมแซม บำรุงรักษา ทำสี ปะผุ บำรุงตู้ฯ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้ เพราะตู้ฯ ที่ใช้บรรจุสินค้าต่าง ๆ ก็มีความหลากหลาย เช่น ตั้งแต่สินค้าทั่ว ๆ ไป จนถึงอาหาร ซึ่งต้องการมาตรฐานความสะอาดสูงสุด ตู้ฯ ต้องใหม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคัดเกรดตู้ฯ ให้กับลูกค้า ว่าระดับไหน เหมาะสมกับสินค้าอะไร ตอนตู้ฯ เข้ามาก็ต้องตรวจสอบสภาพ คัดเกรด, ตอนออก ก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เรื่องหลักคือความสะอาด บางครั้งตู้ฯ ที่ออกจากเราไป พนักงานทำความสะอาดเรียบร้อย แต่เมื่อมีการรับตู้ฯ ไป แล้วมีการไปพัก ณ จุดอื่น ที่ไหนไม่รู้ หรือไปจอดที่มีแมลงเข้ามารบกวน ก่อนการบรรจุ ถ้ามีการพบสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เราก็ต้องเข้าไปเซอร์วิส ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ แก้ไขปัญหานอกสถานที่ ถึงแม้จะไม่ได้เกิดจากเราก็ตาม แต่นั่นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่เราต้องดูแล
สนับสนุนกีฬา : เราโตมาได้ก็เพราะสังคม เมื่อมีรายได้ ก็ต้องแบ่งปันให้กับสังคม เราทำมาได้ ก็นำกลับไปจุนเจือผู้คนที่เขาต้องการ ผมจะเข้าไปช่วยขณะที่เขาได้รับความเดือดร้อน หรือต้องการการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรรวมถึงกีฬา ผมเคยทำทีมฟุตบอลท่าเรือฯ จนประสบความสำเร็จได้แชมป์ ได้ถ้วย, ฟุตซอลของท่าเรือ ผมก็เข้าไปเป็นสปอนเซอร์ จนได้แชมป์ หรือช่วงไหน ทีมประสบปัญหา ก็เข้าไปสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือตลอด จนเมื่อเขาพออยู่กันได้ มีสปอนเซอร์ที่พร้อม ผมก็ออกมาพักบ้าง (หัวเราะ)
งานเพื่อสังคม : มีนายตำรวจที่สนิทกันในสมัยนั้น ชวนให้ไปเป็น กต.ตร. (คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ) ของ สน.ท่าเรือ ทำหน้าที่ได้สองวาระ วาระละสองปี รวมเป็นสี่ปี พอครบก็ไปเป็นที่ปรึกษา และให้ลูกชายคนโตเข้าไปทำหน้าที่อีกจนครบสองวาระ แล้วเขาก็เชิญให้ผมกลับเข้าไปช่วยอีก ถ้าผมช่วยทำอะไรให้ได้ ก็ทำเต็มที่ด้วยความเต็มใจ อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมา ชุมชนเดือดร้อนกันหมด เราต้องเข้าไปช่วยเหลือ แจกข้าวสารอาหารแห้ง หากไม่มีอะไร ก็ต้องมีไข่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกอาทิตย์ จนผ่านพ้นวิกฤติกันมาได้ ถ้าเราไม่เดือดร้อน ก็ต้องจัดส่วนหนึ่งให้สังคม คืนให้เขาไป เพราะผมถือว่า ยิ่งให้ไป ยิ่งได้กลับมา แต่สิ่งที่ได้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เป็นอะไร เพราะเดี๋ยวจะมาเอง ไม่ว่าในรูปแบบไหน คิดแบบนี้แล้วสบายใจ เป็นการให้ด้วยความสุข
กอล์ฟ : หลังทำงาน ได้เดินทางบ่อยขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งไปหาพี่สาวที่อเมริกา เขาแนะนำให้ซื้อชุดไม้กอล์ฟกลับมาด้วย ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเล่นกอล์ฟเลย เคยแต่เห็นคนอื่นเล่นกัน ก็ยังไม่นึกอยากลอง เพราะมีความคิดว่า เป็นกีฬาของคนรวย ต้องมีเงินเยอะถึงจะสัมผัสได้ เลยไม่คิดที่จะเล่น แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ราคาชุดกอล์ฟที่อเมริกาถูกกว่าบ้านเรามาก ก็เลยซื้อติดกลับมาคนละชุดกับพี่ชาย เป็นของแคลลาเวย์ รุ่นบิ๊กเบอร์ธ่า ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น และเพราะซื้อชุดกอล์ฟมานั่นแหล่ะ จึงได้เริ่มเข้าสนามซ้อมเป็นครั้งแรก ไหน ๆ ก็เสียเงินซื้อมาแล้ว (หัวเราะ) ไปให้โปรจับวง สมัยก่อน โปรผู้สอนจะให้อ่านกฎกติกา มารยาท ก่อนจะให้เริ่มซ้อม เดือนแรกไม่ได้ตีลูกเลย สวิงลมอย่างเดียว จนพอเริ่มมีวง ถึงจะได้เริ่มตีลูก ซ้อมอยู่พักใหญ่ โปรพาไปออกรอบที่เขาเขียว ตอนนั้นดีใจมาก ออกรอบครั้งแรก ผมตี 72 ตั้งแต่รอบแรก (หัวเราะ) เจอหลุมกลางน้ำ มือไม้สั่น ตีตกน้ำตกท่า หลังจากนั้นก็เริ่มชอบมากขึ้น เล่นมาเรื่อย ๆ บางครั้งเล่นทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น เช้าไปฐานตรวจรับสินค้า ส่งให้ลูกน้องทำงาน ผมก็เข้าสนามกอล์ฟ ตีไป 18 หลุม หลังจากนั้นบ่าย เล่นต่อกับลูกค้ากับเพื่อน พอลูกน้องทำงานเสร็จก็มาหาที่สนาม เลิกงานพร้อมกันพอดี (หัวเราะ) กอล์ฟ สอนคนให้รู้จักโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ หรือแม้กระทั่งในการทำงาน ก็ช่วยให้ราบรื่นขึ้น ช่วยงานผมเยอะมาก และยังเป็นกีฬาที่วิเศษอย่างหนึ่ง อย่างด้านอาชีพ ทั้งประเทศมีราวสองร้อยแห่ง เป็นแหล่งสร้างรายได้มหาศาล คนที่ทำงานเกี่ยวข้อง เช่น แคดดี้ โปร มีงานทำ ส่วนสำหรับเรา เป็นการสร้างเพื่อน และสร้างรายจ่ายมากกว่าที่จะสร้างรายได้ (หัวเราะ)
สุขภาพ : ผมเล่นกอล์ฟเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง ได้ไปเดิน ได้เหงื่อ ตากแดด ตากลม หรือตากฝนบ้าง ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย หากวันไหนไม่ได้ไปออกรอบ ช่วงเช้าก็จะไปเดินสายพานสักครึ่งชั่วโมง แล้วทานกาแฟ อาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน ส่วนอาหารผมทานได้ทุกอย่าง เช้าทานนิดหน่อย จะเน้นหนักมื้อกลางวัน ส่วนเย็นจะไม่ทานข้าว แต่มีดื่มบ้างนิดหน่อย (หัวเราะ)
ปล่อยวาง เดินสายกลาง : ทุกคนมีเรื่องเครียดแน่ ๆ แต่ต้องรู้จักวิธีเก็บอารมณ์ให้ได้ อย่าไประบาย อย่าไปฟาดงวงฟาดงากับใคร เพราะมันจะมีแต่สร้างความเสียหาย ต้องปล่อยให้เย็นลงสักพัก แล้วค่อยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปัญหามีไว้ให้แก้ เราก็ต้องแก้ให้ได้ คิดแบบนี้ก็จะไม่มีอะไรให้เครียด ถ้าไม่เครียด คนเราจะอยู่ได้ ผมไม่มีเคล็ดลับอะไรเป็นพิเศษ แค่ตั้งมั่นในสิ่งที่ทำ บางครั้งโชคดีมีผู้ใหญ่หนุนนำ คอยชี้แนะ เมื่อไม่มีใครให้อะไรมา ก็ต้องเดินด้วยตัวของเราเอง ด้วยความซื่อสัตย์ ยิ่งมีครอบครัวที่ดี มีงานที่มั่นคง ผมมีลูกสองคน ส่งเสริมให้เขาได้เรียนในสายงานกับธุรกิจ เรียนจบปริญญาโทด้านโลจิสติกจากอังกฤษ ส่วนตัวผมเองก็ได้รับเกียรติสูงสุด ได้รับปริญญามหาบัณฑิตกิติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา และได้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ให้ลูก ๆ เข้ามาดูแลธุรกิจ เดินตามรอยผม จนเขาสามารถมีบริษัทของตัวเอง ทำงานเอง มีลูกค้าเอง ทำให้ผมไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ทุกวันนี้หันมาเลี้ยงหลาน ได้เล่น ได้อยู่กับเขา ทำให้อารมณ์ดีตลอด แล้วก็หาเวลาตีกอล์ฟบ่อยๆ ทำตัวสบายๆ ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เครียดแล้วครับ
