Interview

วัชรชาญ สิริสุวรรณทัศน์

วัชรชาญ สิริสุวรรณทัศน์
รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย
“ไม่สะสมความเครียด จบแล้วก็คือจบ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ต่อ”

การรถไฟแห่งประเทศไทย : อาจเป็นโชคชะตาของผม ที่ได้มาทำงานกับการรถไฟฯ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด จบมัธยมจากภูเก็ต ก็ย้ายไปอยู่สงขลา หาดใหญ่ จนเมื่อเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็คิดว่า อยากจะมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะว่าจะได้เปิดโลกทัศน์มากขึ้น, การรถไฟฯ คือสอบเข้ามา เป็นจังหวะที่ตำแหน่งเปิดกว้าง ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะได้มาทำงานที่นี่ สมัยก่อนเมื่อยังเด็ก แค่เคยนั่งรถไฟมาบ้าง เพราะคุณยายเคยพานั่งไปสุราษฎร์ฯ เนื่องจากภูเก็ตไม่มีรถไฟ นั่นเป็นความประทับใจในวัยเด็ก, จนเมื่อปี 2528 สามารถสอบเข้าได้ และทำงานที่การรถไฟฯ มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

เรียนรู้ พัฒนา : พอทำงานไปได้ระยะหนึ่ง ก็ได้รับทุนการศึกษาจากการรถไฟฯ ให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ทางด้านสาขาวิศวกรรม, พออายุเข้าสู่ผู้บริหาร ก็ไปเรียน MBA หลักสูตรสำหรับผู้บริหาร ที่ ม.ธรรมศาสตร์ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ได้ไปเรียนหลักสูตร วปอ. รุ่น 61 นับว่าทำงานที่นี่ มีการสนับสนุนให้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และผมยังมีส่วนเข้าไปในเรื่องงานทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับรถไฟ ทางหน่วยงานราชการ หรือสถาบันวิจัย ของทางราชการมากขึ้น ไปเป็นผู้ประเมินโครงการ เสนอโครงการ ติดตามโครงการ ได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมา ประสบการณ์ที่ทำงานมา ได้ทำประโยชน์สู่สังคม

หน้าที่ความรับผิดชอบ : ปัจจุบัน รับผิดชอบในเรื่องตัวรถไฟทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถจักร รถสินค้า รถดีเซลราง ในส่วนการซ่อมบำรุง การซื้อรถไฟใหม่เข้ามา มีการทดสอบและทยอยใช้งาน อีกภาระกิจคือ พนักงานขับรถไฟ มีประมาณ สองพันคน และช่างเครื่อง ซ่อมบำรุง รวมลูกจ้าง ก็อีกราวสองพันคนเช่นกัน รวมเป็นราวสี่พันคน, ส่วนภาระกิจพิเศษ ที่ไม่อยากให้เกิด นั่นคือ การกู้ภัย เมื่อมีเหตุต่าง ๆ ก็จะมีหน่วยกู้ภัยออกไปปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ

อดีต – ปัจจุบัน : สมัยก่อนการรถไฟ มีพนักงานสองหมื่นกว่าคน แต่ปัจจุบันมีไม่ถึงหมื่นคน, เทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เราต้องก้าวให้ทัน ความท้าทายของเราคือ กำลังคนเราลดลง รถใหม่ก็มีมาเพิ่ม รถเก่าก็ยังไม่ปลดระวาง การบริหารจัดการจึงค่อนข้างยาก, อีกทั้งสมัยก่อน เส้นทางการคมนาคม การเดินทางในรูปแบบต่าง ๆ ยังไม่หลากหลาย อาจจะยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางอากาศ มีการแข่งขันกันหลากหลาย รูปแบบการให้บริการของเราจึงต้องปรับให้ทันยุคทันสมัยไปด้วย, ในปัจจุบัน เราค่อนข้างเสียเปรียบในเรื่องการลงทุน เพราะต้องใช้ค่อนข้างสูง รวมทั้งมีนโยบายจากภาครัฐ ไม่ให้การรถไฟขึ้นค่าโดยสาร มาตั้งแต่ปี 2528 ขณะที่ต้นทุนต่าง ๆ มีการปรับขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่น น้ำมัน ค่าแรง

มิติใหม่ : ในยุคนี้ การรถไฟฯ เข้าสู่มิติใหม่ของการให้บริการ ไม่ว่าในเรื่องสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเพิ่งให้บริการไปเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 เปลี่ยนจากหัวลำโพง มาอยู่ที่นี่ ซึ่งคิดว่ามีความทันสมัยมากกว่า สามารถให้บริการผู้โดยสารได้ดีขึ้น เรามีรถจักรใหม่ พร้อมจะให้บริการทั้งผู้โดยสารและสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น และยังมีบริการอื่น ๆ อีก เช่น ในรูปแบบการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ๆ ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะนี้ รวมไปถึงการพัฒนาเส้นทางใหม่ ๆ

บริการหลากหลาย : เรามีขบวนรถหลากหลายรูปแบบ เช่นโบกี้รถที่ใช้จัดเป็นห้องประชุม โดยมีการตกแต่งพร้อมอุปกรณ์อย่างครบครัน มีบริการให้ความบันเทิงเช่นคาราโอเกะ มีรถเสบียงเย็น รถเสบียงร้อน เป็นครัวอาหารตามสั่ง สามารถปรุงอาหารกันสด ๆ มีขบวนพิเศษ ฯลฯ สำหรับให้ หน่วยงาน, บริษัท ใช้เพื่อจัดประชุม สัมมนา จัดกิจกรรมต่าง ๆ หรือใช้ในการท่องเที่ยว สันทนาการ ก็สามารถเช่าไปต่างจังหวัดได้ โดยพ่วงรวมไปกับขบวนรถไฟธรรมดาที่วิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมพอสมควร, เรายังร่วมมือกับ ททท. ตกแต่งรถให้มีความสวยงาม สอดคล้องกับบริบทต่าง ๆ รถสำหรับคนพิการ มีลิฟท์อำนวยความสะดวกในการขึ้นลงให้ ขบวนสำหรับผู้หญิง ฯลฯ หรือธุรกิจเดลิเวอรี เราก็สนับสนุน เน้นให้มีการขนส่งพัสดุ ขนาดเล็ก มีการดัดแปลงตู้รถไฟ สามารถส่งจากสถานี ถึงสถานีปลายทางในวันรุ่งขึ้นได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

จุดแข็งคือบริการ : ปัจจุบัน ท่านผู้ว่าการรถไฟฯ มีนโยบายในเรื่องนี้ว่า สิ่งหนึ่งที่เราจะแข่งขันได้คือ การขนส่งสินค้า โดยเฉพาะเมื่อโครงการ รถไฟไทย – จีน แล้วเสร็จ ปริมาณขนส่งสินค้าจากทางจีนเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ รวมทั้งการนำเข้า ส่งออก จากแหลมฉบัง มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาเป็นเรื่องสินค้า, อีกส่วนคือ ซอร์ฟเพาเวอร์ เรื่องการท่องเที่ยว เราพยายามปรับปรุงขบวนรถ ให้สอดคล้องกับการท่องเที่ยว อย่างเรามีรถดีเซลราง ที่ได้รับการบริจาค จากฮอกไกโด ก็นำมาปรับเปลี่ยนเป็นรถท่องเที่ยว และยังอยู่ในระหว่างกระบวนการปรับปรุงอีกราวสิบคัน ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่า เพราะเราไม่ต้องติดยึดกับอัตราค่าโดยสาร สามารถทำการตลาดรวมเข้าไปกับเรื่องต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงเรื่องกีฬา ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เราให้ความสำคัญ รวมถึงกอล์ฟด้วย, เราจะหาวิธีส่งเสริม หรือเชื่อมโยงกับการเดินทางด้วยรถไฟไปสู่จุดหมายต่าง ๆ ซึ่งได้เริ่มมีผู้เข้ามาใช้บริการ และมีเสียงตอบรับว่า เป็นอีกหนึ่งในทางเลือกของการเดินทางที่นักกอล์ฟชื่นชอบอีกด้วย

เล่นกีฬา :ผมไม่เคยห่างหายในเรื่องกีฬาเลย เริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา อาจารย์ให้เป็นนักกีฬาโรงเรียน เล่น วอลเลย์บอล, ก่อนนั้นเคยเล่นแบดมินตันมาบ้าง ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของมหาวิทยาลัย เคยได้แชมป์วอลเลยบอลกีฬา 8 เกียร์ ที่เชียงใหม่, เมื่อมาทำงานที่รถไฟ มีสนามเทนนิส ก็ไปเล่นอีกสักพักใหญ่ พออายุราวสามสิบกว่า ก็หัดกอล์ฟ เล่นตามผู้ใหญ่ สมัยเมื่อยังมีสนามกอล์ฟรถไฟ มีสนามซ้อม ค่าใช้จ่ายนับว่าถูกมาก บ้านพักรถไฟก็อยู่แถวนั้น ทำให้มีโอกาสได้เล่นกอล์ฟ

กอล์ฟ : ก่อนหน้านั้นผมเล่นเทนนิส เล่นแบดมินตัน ล้วนแล้วแต่ใช้กำลังเยอะ คิดอยู่เสมอว่า พออายุมากขึ้น อาจจะเล่นไม่ได้เต็มที่ ทำให้ผมมองหากีฬาที่จะเล่นไปได้นาน ๆ ซึ่งดูแล้วกอล์ฟเป็นกีฬาที่น่าจะเหมาะสม แล้วผู้ใหญ่ก็เล่นกันมาก จนเมื่อการรถไฟฯ สั่งซื้อรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปคุมการสร้างรถอยู่ที่นั่นประมาณ 3 – 4 เดือน, ในโรงงานมีวิศวกรอาวุโสอายุเยอะแล้ว แต่ในช่วงพักเที่ยง เขานำไม้กอล์ฟมาซ้อม ชิพ เป็นการออกกำลังและผ่อนคลาย ผมเห็นว่าน่าสนุกดี ก็ไปเล่นกับเขาด้วย กอล์ฟสำหรับผมจึงเริ่มจริงจังจากจุดนั้น, ก่อนหน้านั้นก็เคยเล่นมาบ้าง แต่จุดนี้คือทำให้ผมเห็นความชัดเจนของกีฬากอล์ฟ พอกลับมาจากญี่ปุ่น ก็เริ่มหัดกอล์ฟอย่างเป็นจริงเป็นจัง ประกอบกับ ที่สนามซ้อมรถไฟ มีโปร ช่วยจับวงให้ ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควร

กีฬาพาสนุก : เคยเล่นแบดมินตันมาก่อน พอมาเล่นเทนนิส ซึ่งมีพื้นฐานคล้าย ๆ กัน ก็รู้สึกว่าไม่ยาก แต่ว่าการเล่นกอล์ฟ ใช้ทักษะคนละอย่างเลย ทำให้ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ต้องมีแรงจูงใจ มีเพื่อนเล่นด้วยกัน เป็นความสนุกสนานของก๊วนกอล์ฟ ที่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ เป็นกีฬากลางแจ้ง ผมชอบแนวนี้อยู่แล้ว ยิ่งพอมีโอกาสมาเรียน วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ทำให้ได้เจอเพื่อนอีกกลุ่มใหญ่ ล้วนแต่เล่นกอล์ฟกันแทบทั้งนั้นเลย กิจกรรมเกี่ยวกับกอล์ฟก็เยอะ และผมยังได้จัดกีฬาสีของการรถไฟฯ เป็นประธานจัดกีฬากอล์ฟ ทำให้มีความเข้าใจในการจัดกอล์ฟมากขึ้น เลยได้อยู่ในแวดวงกอล์ฟมาตลอด

กอล์ฟคือชีวิตจริง : เป็นเรื่องของความท้าทาย เหมือนกับชีวิตจริง เหมือนกับการทำงาน เราต้องรู้จักการวางแผน ต้องมีกลยุทธ์ในการเข้าสู่เป้าหมาย มีความเป็นกันเองในหมู่เพื่อนฝูงด้วยกัน มีเรื่องจิตวิทยาที่ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง โดยรวมแล้วก็เหมือนกับการทำงาน ทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบเล่นกอล์ฟ เพราะกอล์ฟให้บทเรียน สอนกลับมาให้เรารู้ว่า จะต้องวางแผน หรือมีกลยุทธ์อย่างไร ตัดสินใจให้เด็ดขาด เพื่อผ่านพ้นอุปสรรค กอล์ฟจึงมีส่วนช่วยในการทำงานมากเลยทีเดียว

คติชีวิต : ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ ต้องมี Passion ในงาน มีความมุ่งมั่น มีความรักในสิ่งที่เราทำ มีความหวังที่คิดจะทำเพื่อส่วนรวม ทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ในเรื่องส่วนตัว, สิ่งที่ผมได้จากการรถไฟฯ ก็คือ ‘เรากำลังทำงานบริการประชาชน’ ทำเพื่อนคนส่วนรวมทั้งประเทศ เป็นความภาคภูมิใจ คงไม่มีโอกาสมากนักหรอก ที่จะได้ทำงานให้บริการกับประชาชนมากถึง 30 – 40 ล้านคนต่อปี เพราะถ้าหากผมทำงานโรงงาน ก็อาจจะดูแลคนแค่หลักร้อยเท่านั้นเอง

สุขภาพกาย : เนื่องจากพื้นฐานของชีวิตผมเล่นกีฬามาตลอด สมัยเด็ก ๆ ตอนอยู่ที่ภูเก็ต คุณตาจะปลุกให้ผมตื่นแต่ตีห้า เพื่อไปวิ่งระยะทางราว ๆ ห้ากิโล เกือบทุกวัน ทำให้คุ้นชินกับการออกกำลังกาย และปฏิบัติต่อเนื่องมาตลอด วันไหนที่รู้สึกว่าอึดอัด จะต้องหาทางออกไปวิ่ง ไปออกกำลังกาย ประกอบกับภรรยาของผมเป็นแพทย์ ช่วยดูแลเรื่องการดูแลสุขภาพอยู่เป็นประจำ กีฬาก็สนับสนุนให้เล่น ครอบครัวเราจึงออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ถ้าไม่ได้เล่นกอล์ฟ ก็เดินหรือวิ่งในหมู่บ้าน มีปั่นจักรยานบ้าง ตามจังหวะและโอกาส ส่วนอาหาร ก็พยายามควบคุม ลดแป้ง ทานโปรตีน ผักทุกมื้อ

สุขภาพใจ : เนื่องจากช่วงเด็ก บ้านอยู่ใกล้วัด ช่วงว่าง ๆ ก็จะไปนั่งอ่านหนังสือที่วัด เพราะอากาศโล่งสบาย ไม่ค่อยมีใครกวน แล้วก็ยังได้เรื่องของสมาธิ ทำให้อ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้กลับไปยังวัดที่เราเคยวิ่งเล่น เคยเข้าไปอ่านหนังสือในวัยเด็ก และจัดงานทอดกฐินให้ รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ไปจัดงานบุญในบ้านเกิด, ผมเป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว เนื่องจากเคยอยู่ต่างประเทศ ได้ซึมซับวิธีการใช้ชีวิตของเขา บางส่วนก็เป็นเรื่องที่ดี เช่น บางครั้งเขาโกรธ ก็จะพูดดัง ๆ ไม่สะสมความเครียด จบแล้วก็คือจบ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะไม่สะสมตะกอนอย่างนี้ ไว้ข้างใน ดังนั้น เวลาประชุม ผมพูดตรง ๆ จบแล้วก็คือจบ จนลูกน้องบอกว่า ปากร้าย ใจดี (หัวเราะ) เพราะเมื่อเวลาพูดไปแล้ว เขาไปปรับปรุง ก็ต้องรู้จักขอบคุณเขา ชมเขา พอดีผมอยู่สายวิศวกร นายช่างเยอะ ก็อาจจะรู้ว่า ไม่เหมือนกับการทำงานในออฟฟิศ ช่างก็อาจจะบู๊นิด ๆ เราก็ต้องเสียงแข็ง ๆ เสียงดังนิดนึง เพราะต้องทำงานอยู่กับรถจักร ต้องตะโกนแข่งกันนิดหน่อย ต้องตะโกนแข่งกับเครื่องยนต์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ยิน จนบางครั้งที่บ้านยังบอกว่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย (หัวเราะ) แต่ถ้ายังมีความเครียดอยู่ ก็จะพยายามออกไปข้างนอก หรือออกไปเล่นกีฬา เพื่อผ่อนคลาย แล้วมันก็จะลืม ๆ ไป ที่สำคัญคือ ‘การทำให้ครอบครัวมีความอบอุ่น’ ทุกคนต่างมีภาระกิจของตัวเอง แต่เมื่อมีกิจกรรมร่วมกัน ได้พูดคุย ได้ดูแลกันและกัน นั่นคือความสุขที่สุดในชีวิตแล้วครับ