Interview

พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา

พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา
อดีตนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย
เหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13
Deva Manor
“อย่ามัวไปจมปลักอยู่กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ในชีวิตเลย”

ยุคสุดท้ายของคนรุ่นเก่า : สิ่งที่เล่นประจำคือ ลูกหิน ดีดหนังยาง, คุณพ่อ คุณแม่ จะยุ่งกับภาระหน้าที่ ส่วนผมเป็นลูกชายคนสุดท้อง มักถูกปล่อยไว้กับพี่เลี้ยง และด้วยความเป็นคนรักสัตว์มาก ส่วนใหญ่ทั้งวันก็ใช้ชีวิตอยู่กับสุนัขของผม จนโดนล้ออยู่เสมอว่า ‘อยู่กับหมา เทวดาเลี้ยง’ ซึ่งผมเลี้ยงครั้งละตัวเท่านั้น แต่มีอยู่เคียงข้างมาตลอดทั้งชีวิต โดยไม่มีหลักเกณฑ์ว่าจะเป็นพันธุ์อะไร ขึ้นอยู่กับจังหวะที่ได้รับมา เพราะผมเชื่อว่า ‘ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว’ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตอนสมัยหนุ่ม ๆ เรียกได้ว่า ไม่ว่าใครที่จะเข้ามาบ้านผม ต้องขออนุญาตหมาผมก่อน (หัวเราะ) ผมมีหมาตัวโปรด ชื่อ ‘กุ๊งกิ๊ง’ เป็นหมาไทยบางแก้ว กินข้าวจานเดียวกับผม อยู่กับผมแทบตลอดเวลา เป็นหมาที่ไม่เหมือนตัวไหน ตอนเช้าก็ไม่เคยกวนหรือปลุก อย่างบางวันผมดื่มมา ตอนเช้าไม่อยากตื่น ถ้าเป็นหมาตัวอื่น จะปลุก จะร้อง จนต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ไปทำธุระ แต่ กุ๊งกิ๊ง ไม่เป็นแบบนั้น รู้จักรอ ถ้าผมไม่ขยับ เขาก็ไม่ขยับด้วย ผมเพิ่งจะมาห่างหายการมีสัตว์เลี้ยงไปตอนที่มีลูก แล้วพอตอนนี้เขาเริ่มโตไปโรงเรียนประจำ ผมก็กลับมาเลี้ยงอีก

วชิราวุธ : เด็กโรงเรียนนี้ กีฬาคือ ‘รักบี้’ หนีไม่ออกแน่นอน ถึงแม้มีกีฬาอื่น ๆ เข้ามาด้วย อย่าง บาสฯ ฟุตบอล แต่ยังไงคุณก็เป็นขาโจ๋ที่นี่ไม่ได้ ถ้าไม่เป็นเทพในรักบี้, เมื่อเข้าเตรียมทหาร ก็ยังไม่ได้เล่นรักบี้ในรุ่นใหญ่ แต่เมื่อเข้าโรงเรียนนายร้อย พอรู้ว่ามาจากวชิราวุธ เขาคิดว่า เราต้องรู้เรื่องรักบี้มากกว่าคนอื่น, ผมก็เล่นให้ทีม แต่ไม่ได้หมายความว่า แค่พวกเราเพียงไม่กี่คน จะช่วยให้ทั้งทีมชนะได้

ทหารบก : เราอยู่ในแวดวงทหาร คุ้นชินกับชีวิตทหาร แต่พอไปเรียนเตรียมทหารได้สองปี ความคิดเปลี่ยน อยากเป็นนักธุรกิจ ไปขอคุณพ่อว่า จะไม่ขึ้นเหล่า จะไปเรียนปริญญาตรีด้านธุรกิจที่เมืองนอก พ่อก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะ บอกว่า ก่อนจะไป ฟังพ่อเล่าเรื่องบ้านเรา ท่านก็ร่ายยาวมาเลย สรุปใจความทั้งหมด บ้านเราเกิดมาเป็นขุนนาง คู่สถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากครอบครัวเราเป็นครอบครัวขุนนาง ถูกสอนอยู่เสมอว่า ‘สมบัติที่มี ไม่ใช่ของเรา มีไว้รักษา’ และส่งต่อ รุ่นต่อรุ่น, เจ้าคุณปู่ยังสั่งไว้ว่า “ถ้าหลวงเขาไม่รับ ค่อยคิดไปทำอย่างอื่น” ผมก็อึ้งไป ก็ตอบท่าน รับปากไปว่า จะเป็นทหาร ไม่ไปแล้วเมืองนอก แต่ไม่สัญญาว่า จะอยู่ตลอดไป พอเข้าไปอยู่โรงเรียนนายร้อยแล้วก็พบว่า นี่คือตัวตนของเราจริง ๆ นี่ เพราะนี่คือสิ่งที่เราคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก เหล่าที่อยากเป็น คือทหารอากาศ เพราะอยากเป็นนักบิน กับทหารบกเพราะพ่อเป็น ส่วนทหารเรือ เคยไปฝึกลงเรือ แล้วพบว่าเวลาทำงาน ชีวิตไม่ได้อยู่แต่บนดาดฟ้าสวย ๆ บางครั้งต้องอยู่ใต้ท้องเรือที่เราไม่ชอบ จนแอบคิดว่า ถ้าผลออกมาต้องไปเป็นทหารเรือ จะลาออก (หัวเราะ)

หน้าที่พิเศษ : ไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความสามารถในการขี่ม้า จนกระทั่งเป็นทหารบก ซึ่งมีอยู่หลากหลายเหล่า คุณพ่อเป็นทหารม้า คุณแม่ชอบขี่ม้า ที่บ้านเลี้ยงม้าอยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้จริงจังเพราะต้องเรียนประจำ จนเมื่อขึ้นปีสูง ๆ ต้องเลือกเหล่า ก็ตั้งใจว่าจะเป็นทหารม้าตามคุณพ่อ และนอกจากเรียนหนังสือและฝึกตามหลักสูตรแล้ว กิจกรรมพิเศษของผมคือ เล่นรักบี้ให้กับโรงเรียน และเนื่องด้วยเคยอยู่วงโยธวาทิต พอเขารู้ว่าผมเป่าทรัมเป็ตได้ ก็ให้ไปทำหน้าที่เป็นคนเป่าแตรปลุกและแตรนอน ต้องตื่นก่อน นอนทีหลังเพื่อน

ขี่ม้าดีเพราะมีเหตุ : พอวันหยุดจะไปสนามเป้าเพื่อหัดขี่ม้า มีอยู่วันหนึ่ง เป็นความบังเอิญ พวกเรายังเป็นนักเรียนนายร้อยหนุ่ม ๆ กันทั้งนั้น ได้พบกับหญิงสาว ซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ในวงเดียวกัน แต่ขี่เป็นกว่าพวกเรา ซึ่งยังขี่ไม่ค่อยเป็น เพื่อนของผมอยู่ข้างหน้า เกิดตกม้า สาว ๆ ซึ่งเป็นเด็กกว่าเรา หัวเราะกัน ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนถูกหยาม (หัวเราะ) จากวันนั้น ผมกับเพื่อน ๆ ปวารณาตัวกันเลยว่า สักวันหนึ่ง จะต้องขี่ม้าให้เก่งกว่าคนที่หัวเราะเราให้ได้ แล้วพวกเราก็ทำกันได้สำเร็จ, แต่นั่นก็ยังไม่รู้เลยว่า ในเวลาต่อมา ผมจะได้เป็นนักกีฬาเหรียญทองในการแข่งเอเชี่ยนเกมส์

ตั้งชมรมฯ : พอเรียนปีห้า ผมขอตั้งชมรมขี่ม้า เป็นครั้งแรกของโรงเรียนนายร้อย และผมเป็นประธานฯ คนแรก ซึ่งก็เหมือน ๆ กับสถาบันการศึกษาทั่ว ๆ ไป การมีชมรมทำให้เราได้ออกมาสู่โลกภายนอก ได้พบปะผู้คน ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ

ชีวิตพลิกผัน : ทำงานไปแล้วประมาณสี่ปี มีงานสวนสนามฯ ครั้งใหญ่ ประเทศไทยเชิญผู้บังคับการกรมทหารม้ารักษาพระองค์ประเทศอังกฤษ ร่วมเป็นแขกของกองทัพบก เป็นที่มาของการให้ทุนกับนายทหารไทยไปเรียนที่อังกฤษ บังเอิญผมสอบได้ ในวิชา หลักสูตรครูขี่ม้า เป็นเวลา 1 ปี ผมเป็นคนไทยเพียงคนเดียวในรุ่น ที่เหลือเป็นนายทหารอังกฤษ หลังเรียนจบ ก็ให้ผมทำงานต่อ ในหน่วยทหารม้ารักษาพระองค์ที่อังกฤษ อีกหนึ่งปี วันนั้นก็ยังไม่คิดว่าตัวเองเก่ง คิดแค่ว่า โลกของการขี่ม้า ซึ่งเป็นเรื่องของยุโรป โดยเปรียบเทียบ ก็คงเหมือนกับฝรั่งเขาได้เห็นโลกของมวยไทย หรือตะกร้อ โชคดีที่ผมได้เห็น สัมผัส ปฏิบัติ มากกว่าคนอื่นที่อยู่ในเอเชีย

สมาคมขี่ม้า : หลังจากกลับมาเมืองไทย ท่านผู้บัญชากองพลทหารม้าขณะนั้น (พลเอกกฤช ปุณณกันต์) ก่อตั้งสมาคมนักขี่ม้าสมัครเล่นแห่งประเทศไทยขึ้นมา เมื่อปี 2519 แล้วก็เริ่มมีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนั้นผมยังอยู่ต่างประเทศ แต่เมื่อท่านได้เสียไป สมาคมฯ ก็เหมือนกับไปกับท่าน ไม่มีกิจกรรมอะไร จนลูกสาวของท่านเสียดาย ได้มาคุยกับผม อยากจะรื้อฟื้นสมาคมขี่ม้า ขอให้ผมซึ่งได้เห็นมามากกว่าคนอื่น มาช่วยได้หรือไม่

ยิ่งกว่าเต็มใจ : ถ้าเป็นเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมยิ่งกว่าเต็มใจอยู่แล้ว เพราะเมื่อเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น คนเราเลือกที่จะทำดีได้ แต่เลือกสถานที่เกิดไม่ได้ คนที่เกิดในสถานที่ที่อาจจะดูไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อยากเป็นคนดี เพียงแต่ว่าโอกาสเขาอาจจะน้อยหรือเปล่า และด้วยความที่ยังเป็นทหารชั้นผู้น้อย ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงขอให้คุณพ่อ (พล.อ.เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา) ช่วยเข้ามาเป็นนายกฯ ให้ ส่วนเรื่องการทำงานภายในเป็นเรื่องของผมเอง ท่านสามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา จึงไปประชุมระดับนานาชาติได้อย่างไม่มีราบรื่น หากมีข้อสงสัยเรื่องทางเทคนิค ก็จะถามจากผม ทำให้สมาคมฯ มีความก้าวหน้าขึ้น จนได้เริ่มบรรจุกีฬาขี่ม้าเข้าไปในซีเกมส์

โชคดีที่ได้เห็น : เมื่อกลับมาจากอังกฤษ ก็รู้ตัวว่า ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แต่ได้เห็นมาเยอะกว่า รู้วิธีการอาจจะดีกว่า ใช้เทคนิคมากกว่าแค่ใช้กำลัง จนเริ่มได้เป็นแชมป์ประเทศไทย ผมย้ำเสมอว่า ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แต่โชคดีที่ได้ไปเห็นมากกว่าคนอื่น และรู้จัก คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไม่หายใจรดทิ้งไปเฉย ๆ ประสบการณ์ที่ได้ ก็มาแทนคุณแผ่นดิน ผมทำคนเดียวไม่สำเร็จหรอก ต้องผู้ใหญ่เห็นชอบ เด็กเห็นตาม แล้วมาประกอบกัน มุ่งมั่นไปด้วยกัน

พรสวรรค์ พรแสวง : ถ้ามีพรสวรรค์เยอะ ใช้ทุนน้อย ไม่ต้องซ้อมเยอะ, แต่ถ้า พรสวรรค์น้อย ต้องใช้พรแสวง จะต้องใช้ทุกสรรพสิ่ง เข้ามาช่วยถึงจะประสบความสำเร็จ, เดิมบ้านเรามีแต่การโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ก็นำกีฬาขี่ม้าประเภทต่าง ๆ เข้ามาแนะนำให้เป็นที่รู้จัก เช่น ศิลปะการบังคับม้า, อีเวนท์ติ้ง นำมาสอน จัดแข่ง จนกระทั่งได้เหรียญทองซีเกมส์ ซึ่งทำให้รู้ว่า เรามาถูกทางแล้ว

ปิดจุดอ่อน ดันจุดแข็ง : ปี 2541 ไทยเป็นเจ้าภาพเอเชี่ยนเกมส์ ท่านนายกสมาคมฯ (พล.อ.แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา) เรียกผมเข้าไปพบ ถามว่า “ทำอย่างไร สมาคมขี่ม้า จึงจะได้เหรียญทอง?” ผมก็ตอบท่านไปว่า… ลำพังเหรียญทองแดงยังยากเลย (หัวเราะ) แต่ว่า ไม่ใช่ไม่มีหนทาง เราต้องใช้วิธี “ปิดจุดอ่อน ดันจุดแข็ง”… กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง เล่นกันทั่วโลก เราตามเขายี่สิบปี ญี่ปุ่น เกาหลี เข้าไปแข่งในยุโรปแล้ว, อาหรับ เขามีทุนมากมาย ทุ่มซื้อม้าไม่อั้น นี่คือจุดอ่อน เราอย่าไปสู้เขาในประเภทนี้, ศิลปะการบังคับม้า ม้าแต่ละตัวราคาแพงมาก ญี่ปุ่น เกาหลี สลับกันชนะ นี่ก็เป็นจุดอ่อนเราอีก…

Eventing : กีฬาขี่ม้า มี 7 ชนิด แต่ที่โอลิมปิกให้การรับรอง มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ศิลปะการบังคับม้า, ข้ามเครื่องกีดขวาง และ ขี่ม้าในภูมิประเทศ หรืออีเว้นท์ติ้ง (Eventing) ซึ่งมีคนเล่นน้อย ทำไมเราไม่มุ่งไปที่ชนิดนี้ล่ะ, วิธีการแข่งคร่าว ๆ ก็คือ วันแรกขี่ม้าเต้นระบำ เก็บคะแนนไว้ วันที่สอง ขี่ม้าลงน้ำ ขึ้นเขา เหมือนมาราธอน วันสุดท้าย กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง แล้วนำคะแนนมารวมกัน… ท่านก็เข้าใจ แล้วผมก็เขียนแผนการทั้งหมดให้ และสุดท้าย ผมก็นำเหรียญทองมาให้ท่านสำเร็จ ในรุ่นต่อมา ก็ยังทำเหรียญทองได้อีกจากประเภทเดียวกันที่เกาหลี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลพวงที่เราสร้างขึ้นมาก่อน เหมือนกับระเบิดภูเขาให้มีช่อง ทำให้ได้ไปต่อ

โดนบังคับเล่นกอล์ฟ : ผมว่า เป็นคนมีเวรกรรมในกีฬากอล์ฟ (หัวเราะ) เพราะตอนอายุยี่สิบกว่า ๆ ทำงานเป็นนายทหารม้ามาพักนึงแล้ว บังเอิญผู้บังคับกองพัน ท่านชอบเล่นกอล์ฟมาก อยากให้น้อง ๆ มาหัดเล่นกอล์ฟกัน ท่านก็สอนหัดให้จนเล่นเป็น ทำให้ผมชอบกีฬานี้มากตามไปด้วย ช่วงเล่นบ่อย ๆ ผมตีเฉลี่ยไม่เกิน 42 ตอนนั้นกิจกรรมเรื่องขี่ม้ายังน้อยมาก

กีฬาคนละขั้ว : เพราะต้องไปเป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติ และยังต้องมีภาระหน้าที่เรื่องการสอนขี่ม้าอีก ทำให้จำต้องห่างการเล่นกอล์ฟไป เนื่องจากการเคลื่อนไหวขัดกันกับการขี่ม้า, กอล์ฟเป็นการใช้แกนร่างกายในการสวิง หมุนตัว ขณะที่การขี่ม้า เป็นเคลื่อนไหวคนละแบบ คนละทิศทางกัน ถ้าจะขี่ม้าให้ได้ดี การเล่นกอล์ฟก็จะแย่, แล้วถ้าจะเล่นกอล์ฟให้ได้ดี ก็จะขี่ม้าได้แย่มาก ๆ เป็นกีฬาที่ตรงกันข้าม ไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ เมื่อต้องเลือกขี่ม้า ก็จำเป็นต้องหยุดเล่นกอล์ฟไปโดยปริยาย หายไปจากกอล์ฟอีกเป็นสิบปี, พอเสร็จสิ้นภาระกิจ คิดว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องขี่ม้าอีก เพราะต่อไปนี้ ขี่ม้าเป็นแค่กิจกรรม เป็นงานอดิเรก อยากหากีฬาอื่นเล่นบ้าง พอหันไปเจอถุงกอล์ฟที่วางทิ้งไว้ ก็เริ่มหันกลับมาจริงจัง โชคดีมาก ภายในหนึ่งปี ผมกลับมาทำ 45 ได้ นับว่าดีมาก และพยายามจะลดสกอร์ให้ได้ จนกระทั่งได้เห็นแต้มระดับ 42, 38 แล้วผมก็ได้รับมอบหมายภาระกิจที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ก็ต้องห่างถุงกอล์ฟไปอีกพักใหญ่, หลังจากเสร็จสิ้นภาระหน้าที่ในครั้งนี้ ก็รีบกลับไปรื้อหาถุงกอล์ฟกลับมาเล่นอีก ด้วยความเป็นนักกีฬา เรารู้เรื่องทักษะต่าง ๆ อยู่แล้ว แต่ทางด้านร่างกาย จะทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องที่นักกอล์ฟมักจะเป็นกันประจำ เช่น เวลาซ้อม ตั้งใจจะไม่ตีเช่น แต่พอตีจริงทีไร เมื่อเจอกับอุปสรรคที่มาท้าทาย ตีสั้นจะตกทราย แต่ตีเลยไปจะตกน้ำ ก็อดใจไม่ได้ที่จะเผลอตีเข่น เป็นแบบนี้แทบทุกที (หัวเราะ)

แต้มเยอะเพื่อเยอะ : ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยากที่สุด ผมกลับมาเล่นกอล์ฟได้สักพักแล้ว แต่แต้มยังค้างอยู่ที่สี่สิบปลาย ๆ ยังไม่ยอมลง อาจจะเป็นเพราะอายุด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ทำให้ตีสั้นลง จะให้ใช้เครื่องมือช่วยแบบไหน ดีที่สุดก็ 45 แค่นี้ก็ดีใจแล้ว มีเบอร์ดี้ มีพาร์ แล้วก็มีหลุด เททิ้ง แต้มไม่ดี แต่รู้สึกว่ามีเพื่อนรักเยอะ (หัวเราะ) ช่วงนี้ กอล์ฟ จึงเป็นกีฬาหลักของผมแล้ว สัปดาห์นึงก็ซ้อมสักครั้งออกรอบสักครั้ง

สุขภาพกาย : วัดก็เข้า เหล้าก็ดื่ม (หัวเราะ) ไปเกเรมาแค่ไหน ก็ต้องใช้หนี้แค่นั้น ถ้าร่างกายขาดน้ำตาล เติมน้ำตาล, แต่ถ้าเกิน ก็ต้องลด ต้องหาความสมดุลให้เจอ ช่วงโควิดที่ผ่านมา ช่วงปิดเมือง ผมใช้ลานหน้าบ้านเป็นที่เล่นฟุตบอล เล่นกันวันละสองชั่วโมง ผมบอกลูกน้องเสมอว่า นี่แหล่ะ คือ ‘วัคซีนที่ดีที่สุด’ ของทุกคน เพราะถ้าเราแข็งแรงมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็เข้ามาทำร้ายเราได้น้อยลง ทำตัวให้แข็งแรงเข้าไว้ พรุ่งนี้จะเกเรแค่ไหน มะรืนก็เตะฟุตบอลใช้หนี้กันไปเลย เวลาสนุกก็ปล่อยให้ทำเต็มที่ แต่ถึงเวลาออกกำลังใช้หนี้ก็ต้องจ่าย เพราะในกีฬา ในเรื่องร่างกาย คุณต้องมีวินัย… น้ำหวาน ขนม ของหวาน เหล้า อะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างล้วนมีน้ำตาลสูง ก็ต้องเลือกแค่อย่างเดียว และเมื่อเลือกอย่างใดแล้ว อย่างอื่นต้องงด เป็นกติกาที่ตั้งให้กับตัวเอง แล้วต้องเคร่งครัด มีวินัยกับตัวเอง, หากเมื่อคืนดื่มเยอะ เช้าขึ้นมา เมื่อรู้ตัว หลังจากกินอาหารเรียบร้อย ไปออกกำลัง ไปวิ่ง ไปเผาผลาญสิ่งที่ค้างในร่างกาย โดยไม่ต้องอาศัยยาต่าง ๆ เข้าช่วย ‘เกเร ต้องใช้หนี้ ไม่มีคำว่า เอาไว้ก่อน’

สุขภาพใจ : อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง หากวันนี้ดีใจ เตรียมตัวไว้ได้เลยว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ ความทุกข์ก็มา มันเป็นวัฏจักรของชีวิต แต่ถ้าพรุ่งนี้ทุกข์ เตรียมยิ้มไว้ได้เลย มะรืนวันสุขก็จะมา แล้วแต่จะเลือกว่า เราจะจับมันตอนไหน เลือกจับทุกข์แล้วอมอยู่กับทุกข์ ก็จะทุกข์อยู่อย่างนั้น หยิบไว้มันก็หนัก วางไว้มันก็เบา ในข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้จริง ๆ … เวลาผมทำงาน แล้วผิดหวังในสิ่งที่หวัง อยากได้ตำแหน่งแล้วไม่ได้ ผมชอบรดน้ำต้นไม้ ชอบแต่งต้นไม้ เพราะมีความรู้สึกว่า ผมให้ความชุ่มชื้นกับชีวิต ผมตัดแต่งกิ่ง รอวันที่จะแตกกิ่งใหม่ รอที่จะออกดอก ออกใบใหม่ นั่นเหมือนกับว่า เมื่อรู้ว่านี่คือทางตัน แล้วจะวิ่งไปชนทำไม ยังมีหนทางอื่นอีกเยอะแยะให้เลือกไป อย่ามัวไปจมปลักอยู่กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ในชีวิตเลยครับ