Interview

อุทัย เจียรศิริ

อุทัย เจียรศิริ
นายกสมาคมครูช่างศิลปหัตถกรรมไทย
ครูศิลป์ของแผ่นดิน 2562
“อย่าไปคิดย้อนหลัง อย่าไปคิดโกรธแค้น ทำใจให้สบาย”

เด็กบ้านนอก : ชีวิตผมแต่งเป็นละครได้เลย (หัวเราะ) เพราะเป็นเด็กบ้านนอกขนานแท้เลยครับ ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ คุณพ่อเสียตั้งแต่ผมอายุแค่ไม่กี่เดือน อยู่กับคุณแม่ ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ย้ายมาอยู่กับคุณลุง ซึ่งท่านเป็นครูสอนศิลปหัตถกรรมที่ นครศรีธรรมราช อยู่ในเขตอำเภอเมือง แต่อยู่นอกเมืองออกไปอีก เวลาผมจะไปโรงเรียนต้องเดินนับไม้หมอนรถไฟ เดินผ่านทุ่งนา ประมาณสิบกิโลทุกวัน

ทักษะที่ไม่ได้ตั้งใจ : ใจจริงผมชอบเครื่องยนต์มากกว่า ชอบประลองความเร็ว ตามประสาวัยรุ่น แต่ด้วยความจำเป็น ถูกบังคับให้ทำเครื่องถม เพราะเช้าตื่นขึ้นมาก็เห็นคุณลุงทำงานแล้ว ผมก็ต้องทำด้วย จนเป็นความเคยชิน ใจอาจจะไม่ชอบ แต่คงมีพรสวรรค์อยู่บ้าง พอทำแล้ว ชีวิตก็ดีขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มา ก็เพราะสิ่งนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะฝึกกันง่าย ๆ สิบปียังแค่พอใช้ได้ ยี่สิบปีฝีมือยังแค่เด็ก ๆ สำหรับผม ห้าสิบกว่าปีแล้วที่สัมผัสอยู่กับงานนี้

หลายโรงเรียน : ผมไม่มีพรสวรรค์เรื่องการเรียน เรียนที่ไหนก็มีปัญหา ทั้งโรงเรียนวัด ศึกษาผู้ใหญ่ ผ่านมาแล้วสารพัด ย้ายไปหลายแห่งมาก ถูกเชิญออกก็มี กว่าจะจบ ม.6  ต้องเรียนถึงห้าโรงเรียน, อาจเป็นเพราะสมัยก่อน เรื่องการศึกษาไม่เหมือนกับปัจจุบันนี้ ที่มีคนคอยให้คำแนะนำ ชี้แนวทางในการเรียนต่อ แต่สมัยผม พอเช้ามา ผู้ปกครองไปทำไร่ทำนา เด็กไปเรียนกันเอง เพื่อนเยอะ ไปไหนก็พากันไป เที่ยวบ้าง เกเรบ้าง ความเข้มข้นของการดูแลในสมัยก่อนอาจจะยังไม่ทั่วถึง จนในที่สุด คุณลุงย้ายเข้ามาสอนที่วิทยาลัยเพาะช่าง กรุงเทพฯ แบบถาวร ผมก็ได้ตามมาด้วย จนเรียนจบศึกษาผู้ใหญ่ ถึงแม้จะกระท่อนกระแท่น เกือบ ๆ ตกทุกที (หัวเราะ) แต่ในที่สุดก็ผ่านจนได้

ทำงาน : งานที่ทำจริงจังครั้งแรก ก็เป็นเครื่องถม ตอนนั้นเริ่มมีเพื่อน ไม่ได้อยู่กับคุณลุงแล้ว ออกมาอยู่วัดราชาฯ หลายปี ผมขี้อายเลยไม่ออกไปบิณฑบาตกับพระ แต่จะคอยช่วยเหลือทำงานทุกอย่างหลังจากนั้น คอยเก็บล้าง แล้วก็มีงานประจำกินเงินเดือน ที่บริษัทเครื่องเงินและเครื่องถมไทยนคร แถวสะพานพุทธฯ สมัยนั้นข้าวจานละสามบาท ก็พออยู่ได้ ที่นั่น ผมได้ทำงานอยู่กับช่างมากประสบการณ์ ฝีมือระดับรุ่นใหญ่ทั้งนั้น อาจารย์เพาะช่าง ช่างคนจีนจากกวางตุ้ง ทำให้มีความรู้ความชำนาญแบบครูพักลักจำไปด้วย ผมอยู่ที่นั่นแบบเข้า ๆ ออก ๆ เขียนให้ร้านอื่นแบบมือปืนบ้าง ทำเองบ้าง มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มลุกคลุกคลาน

เข้าป่า : ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงบ้านเมืองเกิดความวุ่นวายพอดี เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องหนีเข้าป่า พี่สาวมาส่งที่สถานีรถไฟ ออกเดินทางกลางคืน เพื่อหลบสายตาเจ้าหน้าที่ นั่งมาลงชุมพร หลบไปอยู่ที่เขาราชกรูด หนีเข้าป่าก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เราเข้าไปทำเหมืองแร่ สมัยนั้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ว่าได้ พอดีผมมีญาติ ๆ อยู่แถวพะโต๊ะทำอยู่ก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่บอกเสมอว่า ถ้าเป็นลูกน้อง อย่าไปอยู่ปลายแถว เราต้องมีตัวตน ผมก็ดิ้นรนจนได้อยู่ในตำแหน่งมือขวา เป็นหัวหน้าคนงาน อยู่ได้สบาย ๆ แต่ไม่ได้ระรานใคร มีหน้าที่คุมงานลูกน้อง ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ พอเขาทำงาน เราก็ไปล่าสัตว์ ปล่อยให้บริษัทขาดทุนไปบ้าง (หัวเราะ)

กลับเข้ากรุงฯ : จนเมื่อผมเข้าป่าไปได้พักใหญ่ คุณลุง เห็นท่าไม่ดี กลัวว่าผมจะไม่มีอนาคต ก็หาทางดึงตัวผมให้กลับเข้ามากรุงเทพฯ ให้ความช่วยเหลือทำเรื่องติดต่อกับหน่วยงานราชการจนเรียบร้อย ไม่ติดขัดในทุกเรื่อง ในใจผมตอนนั้นอยากจะเป็นทหาร เพราะเห็นเพื่อน ๆ ติดทหารกันก็อยากจะเป็นบ้าง ดูแล้วชีวิตบึกบึนดี แต่สรุปก็ไม่ได้เป็น

เข้าวัง : จนวันหนึ่ง คุณลุง เรียกตัวให้ผมเข้าไปเป็นครูสอน ทำงานรับราชการในพระราชสำนัก ผมเองก็ไม่เคยเข้าวังมาก่อน ไม่เคยรู้ขนบธรรมเนียมการปฏิบัติตัว ได้พบกับผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน รู้สึกตื่นเต้นปลาบปลื้มเป็นที่สุด ที่ได้ทำงานถวายเบื้องยุคลบาท มีโอกาสได้ตามเสด็จฯ ไปตามที่ต่าง ๆ มีส่วนในการฟื้นฟูสมบัติชาติในสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือเดิมคือ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) มีชื่อเสียงมากว่าเป็น โครงการศิลปาชีพ ในเรื่องการฟื้นฟูสมบัติของชาติ หัตถกรรมที่ใกล้จะสูญหาย ให้กลับคืนมาทุกแผนก ทุกแขนง โดยผมทำหน้าที่สอนวิชาเครื่องถม นักเรียนยุคแรก ๆ มีแค่ไม่กี่คน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ

เลือกทางเดินเอง : ในการทำงานบางครั้ง ผมอยากรู้ อยากเห็น อยากทำ ในสิ่งที่คนอื่นมักจะบอกว่า ทำไม่ได้ แล้วความคิดของเรา อาจจะไม่ตรงกับผู้บริหาร จนบางครั้งรู้สึกขาดความเป็นอิสระ ทำให้ผมตัดสินใจลาออก ครั้งแรกผู้ใหญ่ก็ยังทัดทานไว้ บอกให้ลองหยุดพักก่อนก็ได้ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตามเหตุผลของผม ซึ่งท่านก็เข้าใจและให้ความเมตตา หลังจากผมทำงานอยู่ที่นั่นนานถึง 11 ปี

มีได้ หมดได้ : ยุคที่ผมออกมาทำงานของตัวเองนั้น เศรษฐกิจดีมาก ทำงานไม่นานนักก็มีรายได้มากพอสมควร แต่ความที่ขาดประสบการณ์ในการทำธุรกิจ การบริหาร การเงิน ทำให้ใช้ชีวิตแบบค่อนข้างประมาท ได้มาเยอะ ก็ใช้เยอะ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังมีรายได้ดี แต่พอมาอีกยุค เกิดวิกฤติฟองสบู่แตก ทุกคนเจอปัญหาเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า ทรัพย์สินที่เคยมี ก็ค่อย ๆ โดนยึดไปเรื่อย ๆ ผมถึงกับหมดเนื้อหมดตัว

แพ้วันนี้เพื่อมีวันหน้า : ผมสู้ทุกอย่าง ทำทุกวิถีทาง ก็ยังไปไม่ไหว จนมีคนมาเตือนว่า เราเปรียบเสมือนเรือใหญ่ เมื่อโดนกระแสมรสุมอันรุนแรง จนไม่สามารถต้านทานไหวแล้ว เรายอมจม เพื่อจะกู้คืนขึ้นมาใหม่ ผมจึงยอมปล่อยให้เรือจม ยอมล้มละลาย ถึงไม่ถูกจองจำทางกาย แต่ถูกจองจำทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ไปต่างประเทศไม่ได้ อาศัยรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ กลางวันทำงานที่บ้าน กลางคืนขับแท็กซี่ เปิดร้านอาหาร มีนักร้อง มีดนตรี เดือนแรกผ่านไป เหลือแค่คาราโอเกะ ผ่านไปอีก เหลือแค่ขายข้าวแกง อยู่ได้ประมาณปี ก็กลับมาทำงานใหม่

ท้อแต่สู้ : ผมมั่นใจตัวเองว่า เราทำความดี ไม่เคยไปเบียดเบียนใคร ผลบุญผลกรรมมีจริง เวลาเจอปัญหา มันจะประดังเข้ามาทุกทิศทาง ทั้งครอบครัว ลูก การเงิน ธุรกิจ ลำบากจนผมต้องเริ่มเก็บเศษเหล็ก เครื่องมือที่ไม่ใช้ ขายเพื่อให้ลูกได้ไปโรงเรียน เครื่องเงินเก่า ๆ พระเก่า ๆ ที่เลี่ยมทองเก็บไว้ ก็เอาไปจำนำ ไม่มีเงินไปไถ่ ปล่อยขาดก็ต้องยอม เอาตัวรอดก่อน ชีวิตเราถ้ายังอยู่ก็ต้องสู้ ผมไม่มีความคิดที่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่คิดหนี สู้หน้าคนตลอด จนบางคนถึงกับถามว่า ไม่อายเขาหรือ จากเคยมีแพง ๆ หลายคัน จนมาเหลือแค่มอเตอร์ไซด์เก่า ๆ ผมก็บอกว่า จะไปอายทำไม ไม่ได้ขอเขากิน กลางคืนขับแท็กซี่ ใบขับขี่สำหรับขับก็ไม่มี ถ้าโดนจับก็อาศัยพูดจาดี ๆ กับเจ้าหน้าที่เข้าไว้ เขาก็เห็นใจ ทำให้พอมีรายได้บ้าง ใจน่ะท้อ แต่ก็ต้องสู้

โอทอปช่วยชีวิต : เมื่อก่อนผมทำสินค้าส่งร้าน ไม่ได้ขายเอง เราจึงไม่เครดิตที่จะออกไปรู้จักลูกค้า ยังไม่มีการส่งเสริมจากภาครัฐ จนเมื่อกลุ่มอาชีพสหกรณ์ของจังหวัด เข้ามาเห็น ให้การช่วยเหลือ ผมก็ทำตามคำแนะนำ เริ่มงานจากตรงนั้นขึ้นมาอีก พอถึงยุคที่เกิดโอทอป รัฐบาลมีการส่งเสริม ให้ผู้ผลิตได้พบกับลูกค้าโดยตรง ตามสถานที่ที่มีการจัดงาน คนที่เคยซื้อสินค้าของผม แต่เป็นของร้านที่เราส่งขาย พอมาเห็นก็จำได้ ทำให้เกิดการติดต่อการโดยตรง เราจึงแจ้งเกิดจากโอทอป ที่เป็นการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐอย่างแท้จริง การได้ออกมาพบปะกับลูกค้าเอง ทำให้รู้จักกับผู้มีกำลังซื้อโดยตรง เขาก็ให้ความเมตตาสงสาร มูลค่าการค้าขายก็สูงขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจาก โอทอป ศิลปาชีพระหว่างประเทศ กลุ่มอาชีพสหกรณ์ ซึ่งได้รับการส่งเสริมกันเป็นอย่างดี จนเราค่อย ๆ ฟื้นตัว ดีขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้

เครื่องถม : มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เป็นภาชนะเครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูง ชาวบ้านทั่วไปไม่มีโอกาสได้ใช้ แยกเป็นสามชนิด ได้แก่ ถมเงิน เป็นของขุนนางชั้นผู้น้อยใช้, ถมทอง เป็นของระดับเจ้าเมือง ก็คือถมดำนั่นเอง โดยลายสีเงินเปลี่ยนเป็นสีทอง โดยใช้ทองละลายกับปรอท เขียนทับลงบนลวดลวยสีเงิน เสร็จแล้วใช้ความร้อนไล่ปรอทออก ทองก็จะติดแน่น ลวดลายเด่นชัดขึ้น มีความคงทนนับร้อยปี และ ถมตะทอง เป็นของชนชั้นกษัตริย์ เจ้านายชั้นสูง เป็นเครื่องบรรณาธิการ เครื่องอิสรยศ เป็นการระบายหรือแต้มเป็นแห่ง ๆ ด้วยทองคำที่ละลายอยู่ในปรอท มิใช่ระบายจนเต็มเนื้อที่เหมือนกับการถมทอง แล้วไล่ด้วยความร้อน ทองก็จะติดแน่นอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ เป็นงานฝีมือที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่า ในสมัยอยุธยานิยมถมตะทองมากกว่าถมทอง

ใคร ๆ ก็สัมผัสได้ : หลายคนอาจจะคิดว่า เครื่องถม เป็นสินค้าราคาแพง ยากที่จะเข้าถึง แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น เนื่องจากผมมองว่าเครื่องถมมีความหลากหลาย ตามกำลังของผู้ซื้อ ตั้งแต่ตลาดทั่ว ๆ ไป เรามีวางขายเครื่องประดับตามห้างร้าน เช่น แหวน กำไร ราคาเริ่มในช่วงหลักพันก็มี, ระดับกลาง เป็นกลุ่มข้าราชการ มีงานประจำ ก็ขยับขึ้นมา และกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ที่เห็นว่าเครื่องถมเป็นงานหัตถกรรมชั้นสูงของชาติ มีคุณค่า ควรค่าแก่การครอบครอง ส่งต่อเป็นสมบัติ หรือมอบเป็นของขวัญ เป็นเกียรติกับผู้รับ

ประสบการณ์คือบทเรียน : ต้องมีวิธีคิด คิดให้เป็น นำตัวอย่างความผิดพลาดจากเบื้องต้นที่เคยเจอมาแล้ว นำมาปรับปรุงแก้ไข เอาส่วนเสียออก นำส่วนดีเข้าไปเสริม, ประสบการณ์ที่สำคัญ คือการบริหาร ผมเติบโตขึ้นมาใหม่ หลังปีน้ำท่วมใหญ่ 2554 ตั้งใจไว้เลยว่า ยังไงก็ต้องไม่พลาดอีกแล้ว ล้มคราวนี้ก็คงลุกไม่ขึ้น เพราะอายุมากแล้ว คิดไว้ว่า ถ้าผมไม่ไปใช้ชีวิตออกนอกลู่นอกทาง เล่นการพนัน อบายมุข แต่ถ้าจะซื้อรถกี่คัน หรือซื้อทรัพย์สินอะไร ผมก็ไม่มีทางล้ม หากเพื่อมาใช้ทำธุรกิจ ขอแค่อย่าเดินผิดทาง สิ่งที่ไม่ถูกต้อง

รู้จักพอ : ผมบอกกับทุกคนเสมอว่า อย่าไปคิดย้อนหลัง อย่าไปคิดโกรธแค้น ทำใจให้สบาย เพราะผมผ่านจุดที่จะทำให้เกิดปัญหากับชีวิตมาหมดแล้ว ไม่อิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่น แข่งขัน มีแต่จะไปแนะนำให้ ด้วยความเป็นครู จะไปปิดบังความรู้ไม่ได้ ทำให้เกิดความสบายใจ ไม่มีความลับ สำหรับผมถือว่าชีวิตนี้เพียงพอแล้ว ธุรกิจเดินหน้าต่อโดยให้ลูก ๆ สืบสาน ส่วนผมจะอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ลูก ๆ เขามีความรู้ มีการศึกษาที่ดี สามารถติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศได้

นายกฯ : ปัจจุบัน ผมดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมครูช่างศิลปหัตถกรรมไทย และยังได้รับเกียรติให้เป็น ครูศิลป์ของแผ่นดิน เมื่อปี 2562 ผมยังมีความเป็นห่วงกับงานหัตถกรรมแขนงนี้ และกำลังเดินหน้ากับโครงการสถาบันศิลปหัตถกรรมไทย ที่ศูนย์บางไทร ภูมิปัญญาไทยของเรากำลังจะสูญหาย บางครั้งอาจจะมีการนำไปใช้แบบไม่ถูกต้อง ไปหาผลประโยชน์ในทางที่ผิด จุดประสงค์หลักของเราคือ ยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้ที่ยากลำบาก นำคนที่มีฐานะยากจน ลูกหลานชาวบ้านที่ขาดโอกาส นำมาเรียน หรือสถาบันการศึกษา ขอความอนุเคราะห์ ส่งนักเรียนมาเรียน, ต่างจังหวัด หมู่บ้านไหน มีเด็กวัยรุ่นที่ไม่เรียนหนังสือ กลัวจะไปเสพยา ก็ให้รวมกลุ่มกันมาเรียน เรายินดีสนับสนุน เป็นโครงการที่ทางจังหวัดให้ความช่วยเหลือ มีการจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย สมัยก่อนเราต้องจ่ายค่าเรียน แต่สมัยนี้เราจ้างเด็กมาเรียน (หัวเราะ)

สุขภาพกายใจ : เด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีโอกาสเล่นกีฬาอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็วิ่งเล่นกันไปตามประสากับเพื่อน ๆ เตะลูกมะพร้าวแทนฟุตบอลบ้างก็มี เมื่อก่อนก็ยังชอบเดินป่า พอมาอยู่กรุงเทพฯ ได้วิ่ง ได้เล่นเวท ชอบแต่อาจจะไม่ค่อยแน่นอน จนเมื่ออายุเยอะขึ้น เริ่มประพฤติเป็นกิจวัตร เช้าขึ้นมาต้องเดิน 1 ชั่วโมงทุกวัน ตรวจเช็คสุขภาพทุก 2 เดือน ร่างกาย เราต้องดูแลตัวเอง ขยันออกกำลังกาย อย่าขี้เกียจ แต่ก็อย่าขยันจนอ่อนล้า หากจะดื่ม ก็ต้องรู้ขีดจำกัดว่าตัวเองควรจะแค่ไหน และหลัง ๆ มา ไม่ค่อยทานอาหารมื้อเย็น ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายดี ส่วนจิตใจ ผมผ่านจุดที่ เครียด คิดมาก อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยู่แบบสบาย ๆ ผ่อนคลาย ๆ ระวังในเรื่องอาหารบ้างพอประมาณ ผมชอบทำบุญ สร้างวัด สร้างโบสถ์ มอบทุนการศึกษา และโดยฐานะนายกฯ เวลาบอกบุญ ก็มีพรรคพวก มีผู้ใหญ่ เข้ามาร่วมบุญกันเยอะ สร้างโบสถ์กันได้เป็นหลัง

หัตถกรรมไทย : ในปัจจุบัน ต่างชาติเขาชื่นชมคนไทยที่ทำงานหัตถกรรมทุกด้าน ไม่ว่าจะแขนงไหน จงภูมิใจเถอะครับว่า คนไทยเรา มีภูมิปัญญา มีของดีมากมาย ก็อยากให้คนไทยเราทุกคน หันมาให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน และเฝ้าดูว่า ในอนาคตเราจะมีการพัฒนา ต่อยอดไปในทิศทางไหน ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของพวกเรา คนไทยทุกคน ต้องช่วยกันครับ