เปี๊ยะบางกอก – อริญชยา กิจจานนท์
เปี๊ยะบางกอก
อริญชยา กิจจานนท์
จากตำแหน่งผู้บริหารสาขาธนาคารที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แล้วทำไมเธอถึงยอมย้อนกลับมาเริ่มกิจการเล็กๆ ที่หลายคนมองอาจมองว่าไม่น่าจะทำให้ชีวิตร่ำรวยมั่งคั่งไปกว่าเดิมได้… แต่คำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เลือกเส้นทางนี้ก็เพราะ “ความสุข” ที่ไม่อาจจะซื้อหาได้ด้วยทรัพย์สินใดๆ
ภาพแรกที่ฝังใจของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เมื่อได้ก้าวเข้าไปธนาคารออมสิน คือเห็นพนักงานใส่เครื่องแบบเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งหน้าตั้งตาดูแลบริการลูกค้าด้วยความเอาใจใส่ จนเกิดความใฝ่ฝันว่าสักวันเมื่อโตขึ้นจะต้องทำงานแบบนี้บ้าง แล้วฝันของเธอก็เป็นจริงเมื่อได้มีโอกาสทำงานอยู่ในธนาคารกสิกรไทย องค์กรทางการเงินขนาดใหญ่ที่ช่วยสร้างเสริมชีวิตให้ดีมีคุณภาพและทักษะในการทำงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่คุณติ้ง ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษก็คือ ความตั้งใจในการทำงาน
“องค์กรให้เราเยอะ เราก็อยากตอบแทน สิ่งที่ทำได้ก็คือ ตั้งใจทำงาน ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด เพราะลูกค้าเป็นผู้มีพระคุณกับองค์กร และองค์กรก็มีพระคุณกับเรา”
การดูแลลูกค้าของคุณติ้งนั้น ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องการให้บริการตามหน้าที่ แต่เธอยังใส่ใจ สอบถามถึงความช่วยเหลืออื่นๆ อยู่เสมอด้วยความเอาใจใส่ และส่ิงหนึ่งที่ได้สะสมมาตลอดก็คือ ความผูกพัน ที่ต้องอาศัย “ใจ” ในการทำงานมากกว่าแค่คำว่า “หน้าที่”
“บางครั้งอยากจะทำอะไรให้ลูกค้าบ้าง อย่างเช่น ขนม ถ้าไปซื้อเจ้าอร่อยมาให้ เราอาจจะได้เห็นเขามีความสุขก็จริง แต่ถ้าขนมนั้นเราเป็นผู้ทำเองทั้งหมด เมื่อผู้รับชอบ ถูกใจ หรือได้รับคำชมเล็กๆ น้อยๆ กลับมา นั่นคือความภาคภูมิใจ เป็นกำลังใจที่ช่วยให้เกิดความสุข เกิดพลังในการทำงาน” และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็น คนทำขนม ที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นธุรกิจเลย
“ตอนประจำที่สาขาตลาดยิ่งเจริญ ข้างบนเป็นโรงเรียนสอนทำขนม มีอาจารย์ระดับจากในวังมาสอน ตอนนั้นนึกหาวิธีว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ก็เลยไปสมัครเรียนทำขนมลูกชุบ คิดว่าถ้าทำเป็นแล้วจะนำไปมอบให้กับลูกค้าของเราเวลาไปเยี่ยมเยียนอีกด้วย แล้วก็จะยิ่งรู้สึกดีที่ได้ลงมือทำให้ด้วยตัวเอง เหมือนกับการปักครอสติส ที่กว่าจะเสร็จได้ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ฉะนั้น เวลาจะมอบให้ใครเราก็ต้องเล็งเห็นแล้วว่า เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราตั้งใจทำให้”
จนเมื่อองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณติ้งก็ปรับเปลี่ยนหน้าที่มาสมัครเป็นอาจารย์ผู้สอนระบบงาน ทั้งนี้เป็นความตั้งใจที่จะคืนประสบการณ์ที่สะสมมา ถ่ายทอดให้กับคนรุ่นใหม่ๆ เพราะหากจะทำงานให้ราบรื่นต่อเนื่อง ต้องอาศัยผู้ที่เคยคุ้นชินอยู่กับวิธีเดิมมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับรุ่นน้องๆ เพื่อมาสานต่อเชื่อมระบบเก่ากับระบบใหม่ จนกระทั่งครบเวลาตามที่ตัวเองตั้งใจไว้จึงได้ออกมาเริ่มธุรกิจเล็กๆ แบบที่ใฝ่ฝันไว้ โดยมิเคยบอกความคิดนี้กับใครเลย คนอื่นก็ไม่เห็นวี่แววใดๆ ด้วย เพราะว่าคุณติ้งยังคงสนุกสนานกับงาน ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะเธอได้วางเป้าชีวิตไว้แล้วว่า เมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนแปลง และต้องทำอย่างมีความสุขด้วย
การเปลี่ยนวิถีชีวิต ก็เหมือนกับการปิดหนังสือเล่มหนึ่ง ที่อ่านจบไปแล้ว เพื่อไปเปิดอีกเล่มหนึ่ง จังหวะนั้นพอดีกับชีวิตครอบครัวเริ่มลงตัวมากขึ้นไม่มีภาระใหญ่ๆ ไม่ต้องห่วงลูกๆ ที่โตจนมีหน้าที่การงาน และยังมีความรับผิดชอบที่จะมาช่วยดูแลน้องๆ ต่อจากพ่อแม่ ทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลอะไรอีก
เมื่อคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้ทำงานประจำไปจนเกษียณแน่ๆ ผู้จุดประกายอีกท่านให้กับคุณติ้งก็คือคุณแม่ ท่านได้ให้คำแนะนำและกำลังใจ เพื่อเตรียมทางเลือกไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต จากการสะสมประสบการณ์การทำขนมเปี๊ยะที่เคยแจกจ่าย ให้คนโน้นคนนี้ชิม หรือไม่ก็นำไปทำบุญ และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อ
จากพื้นฐานการทำลูกชุบ ที่กว่าจะทำได้แสนยากเย็น คุณติ้งก็มาต่อยอดไปเรียนทำขนมเปี๊ยะ เพราะไส้ขนมเปี๊ยะกับตัวขนมลูกชุบใกล้เคียงกัน และยังมองว่า ขนมเปี๊ยะไม่มีวันตาย เป็นขนมมงคลทุกเทศกาล เป็นสื่อถึงความรักความสามัคคีต่อกัน มีประวัติต่อเนื่องยาวนานมาเป็นพันๆ ปี จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็ตรงรูปแบบที่แตกต่างออกไปตามการคิดค้น
พอเริ่มทำ เริ่มแจกจ่าย ก็ลองตลาดด้วยไปเช่าแผงเล็กๆ ที่ตลาดรังสิต ตอนเช้าก่อนไปทำงานก็แวะไปส่งขนม โชคดีที่พนักงานขายเอาใจใส่ ลูกค้ามีคำติชมอย่างไรก็คอยจดบันทึกไว้ แล้วก็ส่งข้อมูลให้คุณติ้ง ทำให้สามารถปรับสูตรให้ตรงใจกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น จนสูตรอยู่ตัว โดยเฉพาะกับรสชาติของไส้และวิธีปั้นขึ้นรูป ทำให้ได้รูปร่างขนมเปียะที่สวยและรสชาติอร่อย
“การปั้นขนมเปียะ ก็มีหลักธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ จิตใจว่อกแว่กแค่นิดเดียว ไม่มีสมาธิ หรือจิตใจไม่สงบพอ แม้กระทั่งโมโห โกรธ เกลียด อารมณ์ไม่ดี ลูกนั้นก็จะไม่สวยใช้ไม่ได้ทันที นั่งทำขนมอยู่ที่บ้านก็ฝึกธรรมะได้เหมือนกัน”
“ยังมีความเชื่อว่า ถ้าขายดีแล้วจะยิ่งทำๆๆ ให้มากขึ้น คุณภาพจะลดลง หน้าบ้านติดป้าย ซื่อสัตย์ กตัญญู ติดไว้เตือนใจตัวเอง ให้ลูกได้เห็นทุกวัน ทำขนมทุกวันก็ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า วัตถุดิบทุกอย่างต้องใช้ของดีมีคุณภาพ เพราะได้ข้อสรุปด้วยตัวเองเลยว่า ของอร่อยที่เราไปทานมานั้น ล้วนแล้วแต่ใช้ของดี ถ้าคิดแค่จะลดต้นทุนเปลี่ยนไปใช้ของถูกลง ใจเราเองก็ไม่ดีแล้ว เหมือนโกหกลูกค้า และ ความกตัญญูจะทำให้เราได้พบได้เจอกับสิ่งดีๆ เราดูแลพ่อแม่ทั้งของเราเองและของสามี ซึ่งช่วยดูแลซึ่งกันและกันแบบนี้มาตลอด”
“เมื่อมีลูก ก็อยากจะให้ลูกเป็นไปตามสิ่งที่เราต้องการ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็ต้องพยายามหาวิธีจะจัดให้เขากลับมาสู่เส้นทางที่เราอยากให้เป็น อย่างช่วงลูกเรียนมหาวิทยาลัย ก็ต้องไปเฝ้าคอยเขาทำกิจกรรม บางครั้งก็จนดึกดื่น ทั้งลำบากทั้งรู้สึกเป็นทุกข์”
“เมื่อมาย้อนคิดดูว่า สมัยที่เราเป็นเด็กเท่ากับลูกๆ แม่เราเคยต้องมาเป็นแบบที่เราเป็นไหม ซึ่งก็ไม่ เพราะแม่ให้ความไว้ใจ ให้ความเป็นอิสระ แล้วทำไมเราต้องไปคิดแทนลูก คิดว่าเดี๋ยวเขาจะกลับบ้านไม่ได้ ทำโน่นไม่ได้ นี่ไม่ได้ พอคิดได้แบบนี้ก็เริ่มปล่อย มอบความไว้วางใจให้กับเขา คุยกับเขา สอนเขา เพราะเรารู้แล้วว่า ชีวิตคนเรานั้น มีบาปบุญคุณโทษที่ไม่เหมือนกัน ถึงเราจะเลี้ยงลูกให้ดีแค่ไหน แต่ถ้าเขาจะเกเร ยังไงก็ห้ามกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นในฐานะแม่ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ให้ความรัก ให้ความเชื่อมั่น ไว้ใจ และประคับประคองให้อยู่ในกรอบศีลธรรม แต่อย่าไปบังคับเขา แล้วจิตใจเราก็จะเบาสบาย”
การทำขนมเปี๊ยะ คือกิจกรรมแห่งความสุขของครอบครัว เพราะในทุกวันหยุดทุกคนจะมารุมล้อมช่วยกันทำอย่างสนุกสนาน ทำกันไป พูดคุยกันไป เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์กันในบ้านได้เป็นอย่างดี
“เมื่อได้ทำจนเริ่มมีรายได้กลับเข้ามาบ้าง เรายิ่งดีใจ แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน เป็นเรื่องที่เราสามารถได้ช่วยเหลือให้คนอีกหลายๆ คน มีชีวิตที่ดีขึ้น ลำพังตัวเราเองไม่ได้เดือนร้อนอะไร แต่พนักงาน น้องๆ ที่เขามาช่วยงานอยู่กับเรา การที่ได้ช่วยเหลือเขา เท่ากับเราได้ช่วยเหลือครอบครัวพ่อแม่พี่น้องเขาอีกด้วย” คุณติ้ง เล่าถึงอีกความภาคภูมิใจของ เปี๊ยะบางกอก ซึ่งที่มาของชื่อไม่ธรรมดา เพราะคุณสามีสุดที่รักเป็นผู้ตั้งให้ เพราะมองการณ์ไกลไปว่า ในอนาคตอันใกล้ เรื่องของธุรกิจไร้พรมแดนจะมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ คำว่า “บางกอก” จะเป็นที่จดจำได้ง่ายในความเป็นสากลที่ใครๆ ก็รู้จัก
ความโชคดีอีกอย่างก็คือ คู่ชีวิตของคุณติ้ง ต่างเคยเป็นเด็กกิจกรรมกันทั้งคู่ สมัยเป็นนักศึกษาก็อยู่ในชมรมโรตาแร็กซ์ ทำให้ความคิดเห็นต่างๆ นั้น มักจะเห็นตรงกันแบบมองตาก็เข้าใจ โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นอยู่แบบพอเพียง มีวิถีชีวิตโดยใช้ “ความสุข” เป็นที่ตั้ง ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย ไม่ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาเรื่องราวที่จะทำให้ชีวิตวุ่นวาย
ชีวิตในทุกวันนี้ของคุณติ้ง เธอเปรียบไว้ว่า เหมือนได้เปิดหนังสือเล่มใหม่ ที่ยิ่งอ่าน ยิ่งทำให้ชีวิตมีความสุข
“เล่มเก่านั้น แต่ละวันเราต้องอ่าน ต้องทำความเข้าใจ ตามที่มีผู้กำหนด จะมากจะน้อยก็ไม่ได้ ซึ่งว่าไปแล้ว เกือบทุกคนก็ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น แต่สำหรับหนังสือเล่มใหม่ จะเปิดอ่านหน้าไหนก่อนหลังยังไงก็ได้ เพราะเป็นเล่มที่เราเลือกเอง หรือจะแต่งเองก็ยังได้เลยค่ะ”