Interview

มนู ธารพิพิธชัย

มนู ธารพิพิธชัย
กรรมการบริหาร
มาเจสติค ครีก คันทรีคลับ
“ไม่สร้างความทุกข์ให้ใคร ไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง”

เด็กเจ้าพระยา : ผมเกิดแถวย่านวัดยานนาวา ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา เกิดที่นั่น โตที่นั่น เวลาหิว ก็พากันว่ายน้ำ ข้ามไปกินก๋วยเตี๋ยวอีกฝั่งกันเป็นประจำ พ่อแม่ยากจนมาก ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน ผมเป็นที่ 5 ได้เรียนแค่ ป.4 แล้วต้องหยุดพัก เราอยู่ในดงอันธพาล นักเลงสมัยนั้นตีกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมไม่เคยไปยุ่ง เพราะคิดว่าถ้าติดคุกแล้วพ่อแม่จะทำยังไง ผมเป็นห่วงที่สุด พอจะกลับเข้าไปเรียนต่อ โรงเรียนก็ไม่รับ เพราะอายุเกินเกณฑ์ไปเยอะแล้ว ต้องกลับมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน เพราะเห็นคนมาทวงหนี้แล้วรู้สึกสงสารแม่ ผมเคยทั้งขายเรียงเบอร์ ขายข้าวโพดคั่วงานวัด ฯลฯ อะไรที่เป็นอาชีพสุจริตผมทำได้หมด เพื่อหาเงินช่วยแม่ใช้หนี้ จนไม่สนเรื่องเข้าโรงเรียนแล้ว อาศัยเรียนกวดวิชา เตรียมสอบเทียบเอาวุฒิแทน

เด็กหน้าห้อง : ผมทำงานเป็นเด็กรับใช้หน้าห้องอยู่ที่หอการค้าจีน วันแรก ๆ ผู้ใหญ่สั่งให้ไปเอาผ้าเย็นจากตู้เย็น ตอนนั้นผมเองยังเด็กอายุสิบกว่า ๆ แล้วไม่เคยไปกินข้าวภัตตาคารที่ไหน ไม่รู้ว่าผ้าเย็นคืออะไร ก็ไปหาผ้าห่อน้ำแข็งมาให้ พอส่งให้เขาก็คลี่ผ้าออกมา น้ำแข็งที่อยู่ข้างในก็ร่วงหล่นใส่ตัว โชคดีที่ผมไม่โดนดุ แล้วท่านก็ถามว่า ผมแซ่อะไร บังเอิญว่าท่านเลขาฯ สมาคม แซ่เตีย เหมือนกัน เป็นคนใจดี มีความเมตตาให้กับผม ทำงานอยู่หลายปี จนกระทั่งไปจับใบดำใบแดง เป็นทหารเกณฑ์ ใจจริงอยากสมัครเอง แต่กลัวแม่ว่า พอจับได้ใบแดง รู้สึกดีใจกว่าได้ใบดำ อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตทหารเป็นยังไง เป็นคนชอบลองของ เป็นช่วงชีวิตที่สนุก ครูฝึกสั่งให้ทำอะไรก็ทำ อยู่ได้ไม่มีปัญหา จนปลดประจำการ ผมกลับมาอยู่หอการค้าจีนอีกรอบ ได้ขยับขึ้นมาเป็นคนส่งเอกสาร พนักงานใช้ภาษาจีนกันแต่ผมอ่านไม่ออกสักตัว อาศัยพี่ ๆ ช่วยบอก แล้วผมเขียนภาษาไทยกำกับว่าส่งถึงใคร

สัตหีบ : ผมย้ายไปทำงานสัตหีบ มีคนชักชวน และฝากฝังให้ ได้ทำงานอยู่ ร้านค้าสวัสดิการทหารของอเมริกัน (P.X.) ทำให้ได้ใช้ภาษาอังกฤษ และยังโชคดีได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม

โรบินฮู้ด : เพื่อนคนไทยที่ทำงานด้วยกัน ชวนไปอยู่อเมริกา ตอนนั้นวางแผนไว้ว่า พวกเราตั้งใจจะเป็นโรบินฮู้ด เหมือนไปเที่ยว แต่พอถึงกำหนดก็ไม่กลับ ทำงานที่นั่นต่อไปเลย ภาษาอังกฤษเราก็เริ่มพอฟังได้แล้ว ซื้อตั๋วกันแบบเที่ยวเดียว แต่ให้บริษัททัวร์ออกตั๋วเหมือนมีขากลับให้ เพราะสมัยก่อนยังตรวจสอบไม่ได้ง่าย ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้นั่งเครื่องบิน, เราไป วอชิงตัน ดีซี กันทั้งสามคน กะว่ามีงานอะไรก็ทำไปก่อน เพื่อนคนหนึ่งมีแฟนเป็นคนไทยที่นั่น แต่ไปถึงกลับมีเหตุการณ์จนต้องเลิกกัน เขาก็จะกลับ แต่เราอีกสองคนบอกมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องอยู่ต่อ จึงได้เริ่มใช้ชีวิตในโลกความจริงที่อเมริกา

ทำงานส่งตัวเองเรียน : เราไปเที่ยวงานวันชาติของอเมริกา แล้วมีการประท้วง ต้องวิ่งหนีแก๊สน้ำตา จนรู้จักกับคนไทยที่ทำงานสถานทูต พอได้พูดคุยกันเขาก็พาไปสมัครงาน งานแรกที่ผมทำคือ เดินตั๋วโรงหนังที่ อาวารอน เธียเตอร์ ถนนวิสคอนซิน ไปสมัครเขาก็รับทันที ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 1.60 เหรียญ แต่ผมตั้งใจว่า ยังไงก็ต้องไปเรียนหนังสือไปด้วย ส่วนเพื่อนอีกคนไปทำงานร้านอาหาร และอีกคนไปทำงานในคาเฟทีเรีย พอผมไปทำงานที่ เอเมอสัน สเต็กเฮ้าส์ เป็นเด็กคอยเก็บจาน จนได้เจอกับตำรวจอเมริกันที่เคยมาอยู่เมืองไทย เขาได้ยินผมพูดภาษาไทย พอได้พูดคุยกัน ก็อาสาพาไปสมัครเรียน แต่พอพาไปโรงเรียนภาคกลางวันก็ไม่รับ เพราะอายุผม 27 แล้ว จนต้องพาไปสมัครเรียนศึกษาผู้ใหญ่ภาคค่ำ ผมกับเพื่อนจึงได้เข้าเรียน ส่วนเพื่อนอีกคนตัดสินใจกลับบ้าน ผมไปเรียนไฮสกูล เกรด 11 ยากตรงเรื่องภาษา และเรายังต้องทำงานกลางวันเพื่อส่งตัวเองเรียนอีก

ดวงดี : ผมเกือบถูกจับเรื่องไม่มีวีซ่าหลายหน โชคดีที่รอดมาได้ทุกครั้ง จนครั้งสุดท้าย ผมก็เจอตรวจด้วย แต่เขาปล่อย เพราะผมเพิ่งเรียนจบ มีบัตรนักเรียน มีหลักฐานชัดเจน รู้ว่าเราจะต้องเรียนต่อ เลยปล่อย จนที่บ้านเรียกตัวให้กลับมาช่วยงาน ผมก็กลับมาเปิดบริษัทเครื่องกรองน้ำกับเพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกันที่โน่น ชื่อ ซี. เอ็ม. พี. ซัพพลาย ปัจจุบันเพื่อนก็ยังทำอยู่

กลับอเมริกาอีกครั้ง : พี่สาวไปอยู่อเมริกา จนได้สิทธิ์เป็นประชาชนตามกฎหมาย ก็มาชวนให้ผมกลับไปอีก คราวนี้ทำเอกสารไปอย่างถูกต้อง ผมก็ไปกันทั้งครอบครัวตามกฎที่เขากำหนด กะว่าจะไปอยู่แค่ 5 ปี ส่วนหุ้นที่ทำบริษัทก็ต้องยกให้เพื่อนไป เพราะผมอยากพาครอบครัวไปหาประสบการณ์ที่อเมริกา กลับไปก็อยู่ถิ่นเดิมที่ วอชิงตัน ดีซี ยังไปทำงานร้านอาหารที่เดิม เขาเห็นก็รับทันที

ทำงานหลากหลาย : ครั้งหนึ่งผมไปงานแสดงสินค้า แล้วได้เห็นเครื่องกรองน้ำ ก็พูดคุยกับคนขายรู้เรื่อง เพราะเรามีความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาก็ชวนไปทำงานด้วย ผมก็ยินดี ถึงแม้รายได้จะไม่ดีนักแต่ก็ได้ความรู้ ร้านอาหารก็ยังทำควบคู่ไปด้วย ทำงานไปอีกพัก เพื่อนชวนเปิดร้านอาหาร ใช้ชื่อร้านว่า ไทยเดิม ถนนซิลเวอร์สปริง ยิ่งพอหนังสือพิมพ์เอาไปลง ทำให้ขายดิบขายดี จนแม่ครัวทำไม่ทัน ผมต้องลงไปช่วยทำเอง จนในที่สุด ต้องลาออกจากงานประจำ ก่อนหน้าก็เลยลาออกมาแล้วครั้ง เพราะไปทำงานสายบ่อย ผู้จัดการเรียกไปเตือน แต่เจ้าของเข้าใจดี เพราะเราทำงานให้ได้ครบทุกอย่าง เขาก็บอกให้ผู้จัดการไม่ต้องมายุ่งกับผม ปล่อยให้ทำงานไป จนกระทั่ง งานผมยุ่งจริง ๆ ทำต่อไม่ไหว

งานเพื่อสังคม : ผู้คนรู้จักผมเยอะมากขึ้น เพราะมีร้านอาหารไทย กลายเป็นร้านดัง ร้านอร่อย คนมีชื่อเสียงนิยมมาทานกันเยอะมาก และได้มีโอกาสทำงานเพื่อสังคมเยอะขึ้นด้วย ผมเป็นอุปนายกวัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี., เป็นครูสอนหนังสือภาษาไทย ในวันอาทิตย์ ให้กับเด็ก ๆ ที่นั่น อาศัยว่าสอนสนุก มีลีลาการสอนที่เด็กชอบ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย บางครั้งก็เล่นมายากลให้ดู ทำให้เด็กอยากมาเรียน พ่อแม่ก็ชอบ ผมไม่ได้เรียนเป็นครูมาโดยตรง แต่ภรรยาเป็นครู ก็คงจะได้อิทธิพลเรื่องการสอนมาบ้าง

กลับประเทศไทย : เปิดร้านอาหารไปพักใหญ่ ๆ ก็คิดกันว่า เมื่ออายุสูงอยากกลับมาอยู่เมืองไทย ส่วนลูก ๆ ก็ให้เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น สรุปอยู่นั่นราวสิบห้าปี ส่วนภรรยาก็อยู่จนเกษียณ ก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเมื่อไม่นานมานี้เอง

กอล์ฟ : ตอนไปอเมริกาครั้งแรก ไม่มีโอกาสได้เล่นกีฬาเลย เพราะต้องทำงานตลอด จนมาได้เริ่มเล่นกอล์ฟครั้งแรก ช่วงเปิดร้านอาหารที่อเมริกา เพื่อนที่ทำงานด้วยกันชอบตีกอล์ฟก็ช่วยจองเวลาให้ ส่วนใหญ่เล่นกันตั้งแต่ช่วงเช้า ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่ก็เล่นกันได้ สนุกสนานกับเพื่อน ๆ กลุ่มคนไทยด้วยกัน ออกรอบครั้งแรก พาร์ 3 ก็ตีออนเลย แข่งครั้งแรกก็ได้รางวัลบู้บี้

งานสนามกอล์ฟ : กลับมาก็เริ่มงานเกี่ยวกับเรื่องการบำบัดน้ำ ซึ่งเป็นธุรกิจของน้องชาย ทำให้ได้มีโอกาสเข้ามาดูงานในสนามกอล์ฟมาเจสติค คันทรีคลับ หัวหิน พอดีมีพนักงานต่างชาติเข้ามาทำสนามกอล์ฟ ผมก็ได้เข้ามาช่วยเรื่องการติดต่อสื่อสาร โดยก่อนหน้านั้น ผมยังเป็นแค่นักกอล์ฟ เล่นกอล์ฟอย่างเดียว อาศัยว่าผมมีความคิดทางด้านศิลปะอยู่บ้าง ก็พอเห็นภาพการทำงานได้ง่ายขึ้น จ้างฝรั่งเงินเดือนแพง ๆ มาทำงาน ปั้นสนาม แต่ทำยังไงก็ไม่เสร็จซะที จนผมต้องลงมือเอง กว่าจะสำเร็จลงได้ พร้อมเปิด 18 หลุม เมื่อปี 2536 และมาเปิดเพิ่มอีก 9 หลุม ภายหลัง โดยเลย์เอาท์ดั้งเดิม ดร.สุกิตติ กลางวิสัย เป็นผู้ออกแบบ

สร้างความสุข สร้างนักกอล์ฟ : เราทำให้สนามแห่งนี้ เพื่อสร้างความสุขกับผู้เล่นทุกระดับ ต้นไม้สูงใหญ่ เลย์เอาท์ท้าทาย เล่นได้อย่างปลอดภัยไม่มีตีสวนกันไปมา เนื่องจากพื้นที่มีเยอะ ทำตามความต้องการของนักกอล์ฟ ว่าอยากได้แบบไหน อะไรที่ปรับเปลี่ยนตามเหตุผลให้ได้ เราก็ยินดีทำ และยังสร้างอาชีพให้ผู้คนอยู่กันได้ ขณะที่บางสนามอาจจะสร้างเพื่อความสนุกของเขาเอง เรายังส่งเสริมให้มีการแข่งขัน ‘อเมเจอร์มาสเตอร์’ ร่วมกับ อาจารย์วิชิต บัณฑุวงศ์ มาตลอด เพราะเรามองถึงอนาคตอันยาวไกลว่า ถ้าเราไม่ปั้นนักกอล์ฟขึ้นมา แล้วในอนาคตจะเอานักกอล์ฟที่ไหน

สนามมาเจสติค ครีก หัวหิน : เรามีความพร้อมมาก ค่อนข้างมีความได้เปรียบในเรื่องความเป็นธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่ ร่มเย็น อากาศเย็น น้ำเต็ม ตลอดเวลา 3 คอร์ส 3 บรรยากาศ ทำให้มาเล่นแล้วไม่อยากเลิก ต้องการเล่นแก้มืออีก เรามีนโยบายคืนกำไรสังคม CSR เช่น ท่านใดที่ฉีดวัคซีนแล้ว เราให้เล่นได้ฟรี ทำให้มีนักกอล์ฟเข้ามาเล่นกันมากขึ้น เมื่อเราให้เขาแล้ว เราก็ได้ด้วย อย่างน้อยก็มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ช่วย ๆ กันไป และเรากำลังพัฒนาสนามกอล์ฟ ให้มีความเรียบง่าย สวยงาม มีโครงการสร้างบ้าน มีพักมี 44 ห้อง พร้อมให้การต้อนรับ

ทำด้วยความสุข : สมัยผมเป็นนายกสมาคมกอล์ฟหัวหินฯ เราทำให้กีฬากอล์ฟแจ้งเกิดเป็นแห่งแรกของประเทศไทย จากมหกรรม กอล์ฟ เฟสติวัล หัวหิน – ชะอำ โดยได้แรงหนุนจาก ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ ในสมัยนั้น แต่ท่านบอกว่า เราอย่าไปทำคนเดียว ต้องดึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาร่วมช่วยเหลือกัน ทำให้กลายออกมาเป็น ฟู้ดเฟสติวัล, แจ๊สเฟสติวัล จุดเริ่มนับว่าเกิดจากที่นี่ เราทำงานนี้เต็มที่จนมีพรรคพวกแซวกันว่า ผมอย่าไปเล่นการเมืองนะ เพราะทุ่มทุกอย่างหมดตัวแน่ โดยเฉพาะกับงานเพื่อส่วนรวม เพื่อการกุศล เพราะผมทำไปโดยไม่เคยหวังเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ เลย ทำเพราะอยากให้มีนักกอล์ฟเข้ามาหัวหิน เข้ามาประเทศไทยมาก ๆ ผมทำได้เพราะมีความสุข ถ้าไม่เช่นนั้นคงทำไม่ไหว

สุขภาพกาย – ใจ : พยายามละเว้นเนื้อสัตว์ ทานมังสวิรัติมาหลายสิบปีแล้ว เรื่องจิตใจสำคัญที่สุด เรามีสมาธิ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม เช้า ๆ ก็ออกมาตรวจสนาม รับอากาศบริสุทธิ์ กอล์ฟก็ยังเล่นได้เรื่อย ๆ แต่ไม่หักโหมอะไรมาก ไม่สร้างความทุกข์ให้ใคร ไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง, โลภ คือตัวการสำคัญ โลภ โกรธ หลง ถ้ามีโลภ เดี๋ยว โกรธ หลง ก็ตามมา ต้องตัด โลภ ออก ตัดได้วันนี้ พรุ่งนี้ชีวิตสบายเลย, ความโลภ ความอยาก ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี เช่น อยากทำบุญ เป็นเรื่องดี แต่ถ้าต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อทำบุญล่ะ ถ้าอยากทำ ก็ต้องไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง

ปรัชญาจากกอล์ฟ : สำคัญที่สุดคือ การทำให้ตัวเองและคนอื่นมีความสุข การได้สู้กับตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับอะไรเราได้ กีฬาอื่นยังมีคนมาขัดแข้งขัดขา แต่กอล์ฟอยู่กับตัวเองล้วน ๆ มีทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องมียุทธศาสตร์ในการเล่น การวางตัว ศิลป์ก็คือ วงต้องสวย มีประสิทธิภาพ และยังได้เรียนรู้นิสัย กมลสันดานของแต่ละคนครับ