ความสุขคือการบริหารชีวิตให้ดี – พ.ต.ท.ปิยะ สอนตระกูล
พลตำรวจโท ปิยะ สอนตระกูล
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
“ความสุขคือการบริหารชีวิตให้ดี”
ถ้าถามว่าผมเป็นคนจังหวัดอะไร ตอบได้เลยว่า กว่าผมจะโตต้องย้ายตามคุณพ่อไปตามจังหวัดต่างๆ นับสิบจังหวัด เริ่มจากเกิดที่ตราด เริ่มโตที่แปดริ้ว, ชลบุรี ย้ายไปสมุทรสงคราม ขึ้นเหนือไปเชียงราย อยู่ที่นั่นอีก 11 ปี แล้วพ่อก็ย้ายกลับมา นครนายก แปดริ้ว เลย สระบุรี ลำพูน ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพราะคุณพ่อรับราชทานทำงานที่ดิน
คุณพ่อดุมาก เป็นคนเจ้าระเบียบ ผมก็ได้ซึมซับรับความเป็นระเบียบนี้มากจากท่าน ชีวิตลูกข้าราชการ การย้ายตามผู้ปกครองเป็นเรื่องปกติ ต้องมีการปรับตัวกับสถานที่ เจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้เดินทางอยู่ตลอด ข้อดีก็คือมีเพื่อนเยอะ
ผมอยู่เชียงรายนานถึง 11 ปี เรียนจบจบชั้น ม.ศ.3 เป็นนักกีฬาของโรงเรียน เล่นกีฬามาเกือบทุกประเภท ได้เป็นแชมป์บาสฯ นักเรียน เล่นวอลเลย์บอล เทนนิส แบดฯ โดยเฉพาะ ปิงปอง เล่นจนได้แชมป์จังหวัด แชมป์ภาคเหนือ บ้าเล่นปิงปองมาก มีงานวัดที่ไหนต้องไปเล่นล่ารางวัล ประเภทอื่นๆ เช่น ว่ายน้ำ ก็เล่นแต่ไม่ได้แข่งขัน พอเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่ อำนวยศิลป์ฯ ก็ยังเล่นบาสฯ ได้แชมป์ ผมเล่นเป็นเซ็นเตอร์ อาศัยความได้เปรียบที่ตัวสูง และมีความมุ่งมั่นตั้งใจ
ชีวิตในวัยเด็กสอนให้ผมเรียนรู้ความยากลำบาก การใช้ชีวิตแบบเด็กบ้านนอก ชอบทำกิจกรรมแบบที่ดื้อๆ ซนๆ อะไรที่ท้าทายชอบหมด ปั้นลูกดิน ยิงนก ตกปลา เบ็ดแห เบ็ดเหวี่ยง เบ็ดราว พอฝนตกออกไปจับกบ ฝนหายจับแมงดา จับปลา เลี้ยงปลากัด ครบเครื่องเด็กผู้ชาย ตอนอยู่สมุทรสงคราม บ้านเราอยู่ติดแม่น้ำแม่กลอง คุณแม่ไม่เคยต้องซื้อปลากินเลย เพราะผม ทั้งตกปลา หาปู ตกกุ้ง มาให้ตลอด ทำแร้วดักนก ยังทำเป็นเลย
จบ ม.ศ.3 ต้องมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ คุณพ่อเป็นศิษย์เก่า อำนวยศิลป์ฯ ก็อยากให้ลูกมาเรียนที่นี่บ้าง ผมก็ดีใจ ตื่นตาตื่นใจตามประสาเด็กบ้านนอกที่ได้เข้าเมืองใหญ่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ฯ ใหญ่มาก เฉพาะแค่ ม.ศ.4ชั้นเดียว มีมากกว่า 50 ห้อง ห้องผมได้เป็นแชมป์บาสฯ ตอนนั้นถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
ผมตั้งใจเรียนหนังสือมาก คะแนนในวิชาสายวิทย์ คำนวณ เคมี ฟิสิกส์ ออกมาดีตลอด ใจอยากจะเรียนวิศวะ ไปสอบก็ติดวิศวะเทคโนฯ แล้วก็ไปสอบแบบ “กันฝุ่น” ที่โรงเรียนนายร้อยฯ อีกด้วย มีผู้สมัครเป็นหมื่น ผมเป็น 1 ใน 60 ที่ผ่านเข้าไปได้ ผมโทรเลขไปแจ้งที่บ้านว่าสอบติดทั้ง วิศวะ และ นายร้อยฯ ซึ่งแม่ก็รู้ดีว่าผมอยากจะเรียนวิศวะ หลังจากนั้นพ่อก็โทรเลขกลับมาบอกว่า ตกลงกับแม่แล้ว ให้ผมเรียนนายร้อยฯ เพราะจบมาแล้วมีงานทำแน่นอน ส่วนวิศวะ อาจจะไม่แน่ไม่นอน
หลังจากเข้าเรียนไปแล้วราวสองเดือนแม่ก็มาเยี่ยม แล้วเล่าให้ฟังว่า พ่อเป็นคนตัดสินใจให้ผมเรียนนายร้อย โดยแม่ไม่รู้เรื่องเลย เพราะแม่ทราบว่าผมอยากเรียนวิศวะ เลยโกรธพ่อ ไม่คุยกันหลายเดือน แล้วช่วงนั้นผมก็ฝึกหนัก เหนื่อยมาก แม่ซื้อเงาะมาฝาก 5 กิโล ผมทานคนเดียวหมดเลย แล้วก็บอกแม่ว่า ไม่เป็นไรหรอกผมเรียนได้สบายมาก
เพราะพอเข้าไปเรียนแล้วก็รู้สึกรัก เต็มไปด้วยความท้าทาย สมัยนั้นฝึกหนักมาก จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ผู้บังคับบัญชาต้องลงมาดูแลเอง มีการนำน้ำมะนาวมาให้ดื่มดับกระหายตอนฝึกในช่วงบ่าย จนรุ่นผมได้รับฉายาว่า “รุ่นน้ำมะนาว” และผมยังได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้บังคับหมวด คอยดูแลน้องๆ และทำหน้าที่ต่างๆ จนเรียนจบ
ผมบรรจุงานครั้งแรกที่โรงพักดุสิต สมัยนั้นถ้าเรียนจบปริญญาโท จะได้รับการปรับยศเป็นร้อยตำรวจเอก ผมตั้งใจจะข้ามการเป็นร้อยตำรวจโท จึงตั้งใจไปสอบเรียนต่อ ตอนนั้นฝึกงานที่พญาไทมีสิทธิ์จะบรรจุที่นี่ แต่ผมขอไปอยู่ที่ดุสิต และขอผู้บังคับบัญชาให้ผมเข้าเวรกลางคืน ทำงานตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเช้า แล้วไปเรียนตอนกลางวันที่นิด้า (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) คณะรัฐประศาสนศาสตร์
ทุกวันต้องนั่งรถเมล์จาก สน. ดุสิต ไป นิด้า ไกลมากใช้เวลาหลายชั่วโมง เป็นคนเดียวในห้องที่ไปเรียนแล้วหลับอยู่หลังห้อง เพราะเราเหนื่อย อดหลับอดนอน ขณะอยู่เวรมีเรื่องคดีความเยอะแยะต้องทำงานจนเช้า เรียนก็ยาก อาจารย์ผู้สอนก็ระดับชั้นแนวหน้า ไม่ปล่อยง่ายๆ ผมอาศัยถ่ายเอกสารจากเล็คเชอร์เพื่อนๆ มาอ่านทบทวน เอาตัวรอดไปได้ ผลการเรียนก็ออกมาดี แต่เรียนไปได้แค่ครึ่งปีเขาก็ยกเลิกระเบียบการปรับยศด้วยวิธีนี้ ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังมากจนอยากจะเลิกเรียนเลย แต่ในเมื่อเรียนมาขนาดนี้แล้วก็แข็งใจเรียนต่อจนจบ หลังจากนั้นก็ได้รับการเลื่อนเป็นร้อยตำรวจโท ซึ่งเป็นการปรับยศตามปกติ
ผมทำงานอยู่กับผู้ใหญ่เยอะ หลังจบจากนิด้าก็ได้เรียนฝ่ายอำนวยการ หรือเรียกว่า เสธ.ตำรวจ ทุกคนไว้เนื้อเชื่อใจมาก ผู้ใหญ่ดึงตัวไปช่วยงาน โดยได้นำความรู้จากการไปเรียนทั้งหลักสูตรมาปรุงแต่ง ปรับวิธี แนวคิด การเสนองาน การให้ข้อตกลงใจต่อผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะเรื่องแผนงานโครงการต่างๆ ซึ่งผมจะถนัดมาก เสนองานกับมักจะผ่าน ผู้ใหญ่ชอบ จนได้รับสองขั้นเกือบทุกปีจากผลงานที่ทำ ผมได้ดีจากการทำงาน ไม่ได้ดีจากวิธีอื่นเลย ไปอยู่กับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านก็คือการขอตัวผมไปช่วยงาน นายรักเพราะเราทำงานมีคุณภาพ ไม่ทำให้นายผิดหวัง ไม่เคยต้องให้นายมาตามงาน การได้ทำงานเยอะ ก็ยิ่งทำให้มีประสบการณ์เยอะ ทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น ผ่านมาแล้วทั้งนั้น เคยได้รับรางวัลพนักงานสอบสวนดีเด่นของนครบาล, สวป.ดีเด่นของนครบาล ฯลฯ.
ตำแหน่งหน้าที่การงานของผมก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวาระ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือผมไม่ติดยึด ผู้ใหญ่มองเห็นว่าผมมีความเหมาะสมตรงไหนผมก็ไปตรงนั้น เพราะรู้ดีว่างานทุกงานมีความแตกต่าง ชีวิตในนครบาลก็แบบหนึ่ง ภูธรก็แบบหนึ่ง ได้รับความรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงชีวิตของเราได้
สัจจะธรรมในชีวิตก็คือ ทุกอย่างไม่มีความแน่นอนเสมอไป แรกๆ หน้าที่การงานเราอาจจะไปเร็วมากจนคนอื่นกลัว แต่ช่วงท้ายก็กลับมาช้า จากพลตำรวจตรีถึงพลตำรวจโทใช้เวลาสิบปี แต่เมื่อมาคิดอีกทีว่า เราเป็นเด็กจากบ้านนอก ได้มาถึงขนาดนี้ก็ดีเกินความใฝ่ฝันแล้ว
ผู้ช่วย ผบ. รับผิดชอบเรื่องฝ่ายปราบปราม 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่รับผิดชอบภาค 4 อีสานตอนบน และได้รับความไว้วางใจให้ดูแลเรื่อง ป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติ ภาค 1-6 รวมถึง ตชด. ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ และยังมีกองบัญชาการศึกษา ประธานบอร์ดฯ งานเยอะมาก ต้องเดินทางตลอด
ผมทำทุกงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทำเต็มที่ ด้วยความคิดที่ว่า เราเองเหลือเวลาน้อยต้องทำงานตอบแทนคุณแผ่นดิน บ้านเมืองเราอาจจะยังไม่ถึงจุดที่ทุกคนพอใจ แต่เราก็ต้องคิดทำเพื่อแผ่นดิน นั่นคือการรักษาหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด คนเราตายไปแล้วต้องให้คนสรรเสริญ ไม่ใช่ให้คนสาปแช่ง
ผมเป็นคนจริงจังเรื่องงาน มีระเบียบ วินัย เมื่อสั่งงานไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานในที่ประชุมแล้ว ทุกคนต้องมีวินัย เราเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกำลังพลประมาณสองแสนกว่าคน ถ้าสั่งไปแล้วไม่ทำก็อย่ามาเป็นตำรวจเลย งานต้องมีมาตรฐาน ต้องใส่ใจ
ผมเป็นคนใจเร็ว ทำงานเร็ว สั่งปั๊บจะต้องทำทันที ผมจะสอนน้องๆ อยู่เสมอว่า เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่ง เราต้องทำเต็มที่ ทำให้เสร็จก่อนกำหนด นั่นคือเรื่องของประสิทธิภาพ แต่ถ้าทำไม่เสร็จจนต้องทวง นั่นคือ ด้อยประสิทธิภาพ วิธีที่จะทำให้เจ้านายรักคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้งานเสร็จก่อนเวลา โดยไม่ต้องให้ผู้บังคับบัญชาทวงเตือน
การได้อยู่กับผู้ใหญ่มาเยอะ ได้ซึมซับเรื่องราวต่างๆ ทำให้ทำงานเป็น ร่างหนังสือดี พูดเป็น กล่าวเป็น เราได้ดีเพราะบทเรียนที่ผู้ใหญ่พร่ำสอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดสำหรับผม และเมื่อน้องๆ ได้ทำมาทำงานด้วย ผมก็จะบอกเสมอว่า ความรู้ความสามารถที่ผมมีอยู่นั้นมันหลากหลาย ทั้งบู๊และบุ๋น ฝ่ายปราบปราม ฯลฯ เพราะเราสะสมมายาวนาน อยากให้เขาตักตวงสิ่งเหล่าน้ีไปจากเราให้มากที่สุด เวลาทำงานก็พยามเรียนรู้ อะไรเป็นสิ่งดีๆ ก็จดจำไว้เป็นประสบการณ์ในการทำงาน
ในการทำงาน การใช้ชีวิต ผมมีคติ “5 ร” ซึ่งยึดถือมาตลอด ได้แก่ ริเริ่ม รอบรู้ รวดเร็ว รอบคอบ รักษาคุณธรรม และนำไปอบรมสั่งสอนลูกน้องอยู่เสมอ.. ริเริ่ม ต้องคิดในส่ิงที่ดี แปลกใหม่ให้องค์กร ไม่ใช่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่มีการพัฒนา, รอบรู้ ต้องรอบรู้ทุกเรื่องเพื่อจะปรุงแต่งให้แนวคิดเราดีขึ้น, รวดเร็ว นั่นคือประสิทธิภาพในการทำงาน, รอบคอบ ต้องละเอียดถี่ถ้วน เช่น ในการไปจับคนร้าย ต้องเช็คข้อมูลก่อน ดูความพร้อมของอาวุธ ความพร้อมของสิ่งแวดล้อม หาข้อมูลเยอะๆ ว่าคนร้ายมีกี่คน มีอาวุธอะไรบ้าง ไม่ใช่เข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจนเกิดอันตราย และสุดท้ายเป็นสิ่งที่สูงสุดคือการ รักษาคุณธรรม การปฏิบัติงานโดยไม่มีการรักษาคุณธรรม จะทำอย่างไรก็ไม่ได้ดีหรอก คำนี้เป็นคำสูง เพราะต้องเสียสละ อดทน ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ โปร่งใส ถูกต้อง เป็นธรรม
ผมมีแนวคิดในการดูแลรักษาจิตใจตัวเอง เมื่ออายุมากขึ้นความจำมักจะเสื่อม สมองคนเราก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ในคอมพิวเตอร์ ตอนเด็กๆ พื้นที่ยังว่าง ใส่อะไรก็จำได้หมด แต่พอแก่ไปแล้ว เริ่มเต็มเพราะเรื่องมันเยอะ แต่เราก็สามารถบริหารได้ ถ้าเราเก็บเฉพาะเรื่องที่ดีๆ ที่ร่าเริงมีความสุข ประทับใจ สวยๆ งามๆ ส่วนเรื่องที่เป็นความทุกข์ ความหลัง ความไม่สบายใจ ความเสียใจ ลบออกให้หมด ก็จะมีที่ว่างสำหรับใส่ความสุขเพิ่ม เมื่อฮาร์ดดิสก์หรือสมองของเราบรรจุแต่ส่ิงดีๆ ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข นี่คือเคล็ดลับของผมในเรื่องแนวความคิด ซึ่งก็ต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลทางกาย
พออายุมากขึ้นเรามักจะกินเพิ่มขึ้น แต่ไม่อยากออกกำลังกาย ทั้งที่เป็นสิ่งจำเป็น เราจึงต้องออกกำลังกายเพื่อการเผาผลาญมิเช่นนั้นอาหารจะเป็นโทษต่อสุขภาพ อย่างโรคเบาหวาน สู้ได้ด้วยการออกกำลังกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อร่างกายเผาผลาญน้ำตาลหมดสุขภาพก็ดีขึ้น
เมื่อสมัยยังเด็กเล่นกีฬาอะไรก็เป็นแชมป์ เล่นกีฬามาเกือบทุกชนิด แล้วกอล์ฟก็เป็นหนึ่งในดวงใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้ได้ออกกำลังกาย จะเล่นให้สนุกจริงๆ และได้ประโยชน์ต้องเดิน เพราะระยะทางกับระยะเวลาค่อนข้างยาว อาจจะนานหน่อยแต่นั่นคือความสุข ความบันเทิง ผมได้เริ่มเล่นกอล์ฟครั้งแรกราวยี่สิบปีก่อนเมื่อไปเรียนหลักสูตรผู้การ ผมใช้เวลาพยายามเล่นกอล์ฟอยู่นาน หัดตีเหล็ก 7 เหล็กเดียวอยู่ 3 เดือน หลายคนอาจจะท้อ แต่ผมมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ อยากเล่นกอล์ฟให้ได้ดี เล่นใหม่อาทิตย์นึงต้องออกรอบให้ได้ 3-4 ครั้ง เล่นจนสกอร์ค่อยๆ ลดลง จากเดิมที่ไปเล่นแล้วเป็นรอง ก็ขยับกลับมาเป็นต่อ
การทำอะไรอย่างจริงจังก็ต้องมีหลักทฤษฎีมาชี้แนะ พอทราบว่า ม.ธรรมศาสตร์ มีหลักสูตร นกธ. (นักบริหารระดับสูง กอล์ฟ ธรรมศาสตร์) ก็สมัครไปเรียนใน รุ่นที่ 2 เพราะอยากจะพัฒนาทักษะกีฬากอล์ฟให้ดีขึ้น อยากจะรู้ความจริงเกี่ยวกับกอล์ฟ เพราะต้องใช้ทั้งทักษะทางสรีระร่างกายและจิตใจ รู้ทฤษฎีอย่างเดียวแต่ไม่ฝึกซ้อมเลยก็ทำไม่ได้ สภาพจิตใจก็ต้องนิ่งมีสมาธิเพื่อมาใช้ประกอบกัน
กอล์ฟพัฒนาไปเรื่อยๆ เทคโนโลยี่สมัยใหม่ช่วยได้เยอะ ผมก็พยายามค้นหาว่าตัวเองเหมาะกับอุปกรณ์แบบไหน การจะเล่นกอล์ฟได้ดีต้องมีความพร้อมทั้ง ทฤษฎี อาวุธ และการฝึกซ้อม ซึ่งทั้งหมดต้องควบคู่กันไปถึงจะเห็นผล และการออกรอบ ต้องเล่นกันแบบมีความสุข อย่าไปเครียด ผมเล่นด้วยความสนุกสนานจนแค้ดดี้แย่งตัวกัน เพราะพวกเราเฮฮา เล่นไปขำกันไปจนปวดกรามกลับบ้าน
ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตมันเหลือน้อยนัก คนเราเกิดมาก็เพื่อตาย แต่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ แล้วการที่ไม่รู้วันตาย ก็ต้องคิดหาวิธีทำความดีทดแทนคุณแผ่นดิน พวกเราต้องคิดกันแบบนี้ แผ่นดินไทยถึงจะดีขึ้น
คนเราไม่ได้วัดกันที่ความรวย แต่วัดกันที่ความดี แต่ละวันก็กินกันแค่สามมื้อ มีเงินมหาศาลตายแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ผมเคยไปเยี่ยมเศรษฐีที่ป่วยหนักนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เขาพูดกับผมถึงสัจจะธรรมของชีวิตว่า เวลาที่ใกล้จะตาย ถ้าขอแลกทรัพย์สินทั้งหมดที่มีกับชีวิตใครก็ได้เพื่อตัวเขาจะได้มีชีวิตต่อ เขาก็ยอม แต่ความจริงก็คือ ไม่มีใครหรอกที่จะยอมเอาชีวิตไปแลกกับทรัพย์ที่ตัวเองไม่ได้ใช้
ระหว่างอยู่ในชีวิตการทำงาน ทุกคนต่างมุ่งมั่นแข่งขันกันเป็นใหญ่เป็นโต แต่เมื่อเกษียณอายุการทำงานไปแล้ว ทุกคนก็แข่งเรื่องเดียวกันหมด นั่นคือ แข่งกันตายช้า ถ้าให้เลือกความร่ำรวยกับความสุข คุณจะเลือกอะไร ความสุขไม่จำเป็นต้องร่ำรวย ความสุขคือการบริหารชีวิตให้ดี ให้พอเหมาะ พอเพียงกับครอบครัวตัวเอง รู้จักหมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย ชีวิตเราก็เท่านี้เองครับ