ความเป็นญี่ปุ่นที่ต้องกลับมาคิด
ความเป็นญี่ปุ่นที่ต้องกลับมาคิด
มันจะมีสักกี่ประเทศบนโลกเราที่สามารถจะเอาชนะธรรมชาติได้อย่างภาคภูมิใจถึงแม้จะไม่เด็ดขาดก็ตาม ลองคิดดูดีๆ “ญี่ปุ่น” จัดอยู่ในประเทศของกลุ่มวงแหวนไฟที่เป็นแนวของภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังเป็นวงของรอยแยกของโลก เจ้ารอยแยกนี้พร้อมที่จะเขย่าให้ประเทศนี้ได้ตกอกตกใจกันไม่เว้นแต่ละวัน ลองดูอีกอย่างคือ จากเกาะเหนือสุดสู่ใต้สุด จากฮอกไกโดสู่โอกินาว่ามันหนาวเหน็บสู้ร้อนเลือดเดือด มนุษย์ที่อาศัยอยู่ประเทศนี้เขาปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติแล้วแถมด้วยสามารถทำตัวให้เป็นที่ชื่นชมของประเทศในทุกซีกโลก…อ้าวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับลูกหลานนายขนมต้มอย่างเรา…! “รอนิดครับ”
มองไปอีกหลายๆ ประเทศที่อยู่ในวงแหวนไป แนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก ฯลฯ เอาตัวรอดได้แค่ไหนเพียงไรใช้คำว่า “เหนื่อย” ดีที่สุดหลายประเทศเจอของหนักเช่นญี่ปุ่นเข้าให้ก็ “พังแล้วพังเลย” กู่ไม่กลับก็ว่าได้ ครูไก่เองนั้นไม่ทราบว่านอกจากเราจะมีอาการที่ครบ 32 แบบ เขาแล้วอะไรที่เรามีแล้วเขาไม่มีสุดท้ายผมก็ได้คำตอบ 10 ข้อที่ว่ากันว่าโดนใจครูไก่โดยแท้… คือ นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพ (Japan External Trade Organization,Bangkok : JETRO Bangkok) ระบุว่า ไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน เหมือนที่ผ่านมา ในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยได้แสดงทรรศนะถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อ คือ
1) คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมากโดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็นธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติ ล้าหลังไปเรื่อยๆ
2) การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเองจึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3) มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคต ทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงาน แบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4)ไม่จริงจัง ในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับ สัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัดเพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ
5) การกระจายความเจริญยังไม่เต็มทีประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกล จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6) การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน
7) อิจฉาตาร้อน สังคมไทย ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงินโดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูก แล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พาย เอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8) เอ็นจีโอ ค้านลูกเดียว เอ็นจีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน
9) ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลก ยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10) เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูก ช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้น ในการช่วยตนเอง ไม่ขวนขวายแสวงหา ค้นหาตัวเอง และไม่สอนให้สำนึกผิดชอบต่อสังคม
เป็นอย่างไรกันบ้างครับทุกข้อน่าจะเอามาเป็นแรงบันดาลใจอะไรกับเราได้บ้าง หรือบางท่านอ่านแล้วจะเอามาเป็นตัวเร่งในการบันดาลโทษก็ไม่ว่ากันก็ 10 ข้อที่ว่ามาไล่เรียงมาตั้งแต่โตระดับผู้นำชั้นรากหญ้า…ครบจบใน 10 ข้อ แล้วคราวนี้ “OLIMPIC” ที่นับไปนับมาก็ยังอีกไม่กี่มากน้อยแล้วที่จะระเบิดศึกระดับโลกขึ้น แล้วในทุกสายชนิดกีฬาของระดับสมัครเล่นเราคอยมาเอาใจช่วยบรรดาชาว “อาทิตย์อุทัย” ว่าอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องมากนักเลย เพราะครั้งแรกที่เขาจัด
“OLIMPIC” ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มานิดเดียว ประเทศชาติและผู้คนยังบอบช้ำกับสงครามคราวนั้น แล้วแถมด้วยไม่ชนะเข้าอีกแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะบอบช้ำ แต่ที่น่าชื่นชมคือเขาแพ้สงครามของทหารแต่สงครามการค้าเขา “กินเรียบ” แทบทั้งโลก…ขนาด “ลุงแซม” ที่ว่าแน่ยังโดนสงคราม “การค้าของสมอง” คนซามูไรไปแบบหมดรูป…
ขอกลับมาสู่ “OLIMPIC” ที่จะระเบิดเกิดศึกกันอีกขึ้น ครูไก่ว่านะ…! ถ้าเขาไม่มีของดีอุบไต๋ไว้ เชื่อว่าการจัดศึกครั้งนี้อาจเป็นรูปแบบการจัดที่ต้องเอาเป็นตัวอย่างของในหลายประเทศร้อนๆ หนาวๆ ในคราวต่อไป…อย่าลืมนะประเทศที่ได้ชื่อว่า “ถิ่นเกิดของคบเพลิง” โอลิมปิคครั้งที่ผ่านมาประเทศแทบจะล่มจมกันเลยนะครับ ขอกลับเข้าสู่ “ลูกหลานนายขนมต้มอย่างเรา” ได้ข้อคิดอะไรกันบ้างกับ “ความเป็นญี่ปุ่นที่ต้องกลับมาคิด”…ในข้อ 1-10 ครับผม
ครูไก่