ผศ.ดร. ธนชาติ ประทุมสวัสดิ์
ผศ.ดร. ธนชาติ ประทุมสวัสดิ์
ประธานโครงการหลักสูตรการจัดการองค์การ (M.A)
มหาวิทยาลัยเกริก
“ชนะใจตัวเองได้ ย่อมชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้”
นักต่อสู้ นักกิจกรรม : สมัยก่อนมาเรียน ม.รามฯ อยู่ซุ้ม อยู่กับพรรคในมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรม จนเรียนไม่จบ ต้องผันตัวเองมา เป็นพนักงานห้างฯ พนักงานขายเครื่องตัดไฟ เริ่มจากการเป็นเซลส์ธรรมดา จนได้มาขึ้นมาเป็นหัวหน้า ชีวิตนี้ช่วยเหลือตัวเองมาตลอด
นักเดินทาง : สมัยทำงานเป็นพนักงานขาย ไปมาแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย บ้านคือโรงแรม ห้องอาหารคือครัว ห้องซักผ้าคือร้านซักรีด พอระยะหลังก็ยังต้องเดินทางไปต่างประเทศเกือบทั่วโลก ผมชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทาง ทำงานไปด้วย สนุกไปด้วย ความประทับใจคือการได้พบปะคน ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ได้รู้จักวิธีเอาตัวรอด ไปอยู่ตรงไหนก็ได้ เพราะชีวิตนี้เจอมาแล้วแทบทุกรูปแบบ
เกือบตาย : เคยพาทีมไปขายที่ต่างจังหวัด เวลาไปขายกันทีไปกันร่วม 50 คน ปล่อยพนักงานไว้ไกล ๆ แล้วให้ค่อย ๆ เดินติดต่อขายมาเรื่อย ๆ จนกลับถึงโรงแรมเอง แล้วเราต้องมีการสาธิตประสิทธิภาพของเครื่องว่าเวลาเกิดไฟฟ้าลัดวงจร เครื่องจะตัดไฟทันที มีคนมาล้อมวงดูกันเยอะมาก วันนั้นมีพนักงานใหม่ ไม่กล้าทำการสาธิต จนผมต้องทำเอง แต่บังเอิญว่า วันนั้นเครื่องไม่ตัดไฟ เพราะตั้งเครื่องไว้ไม่ถูกต้อง จนผมสะดุ้ง ทำเอาวงแตกคนวิ่งหนี แต่สุดท้ายก็ปลอดภัยเพราะมีคนไปถอดปลั๊กออก ที่เกิดเหตุไม่ใช่เครื่องไม่ดี แต่เป็นเพราะเราไม่ตรวจสอบให้ดีเอง เป็นบทเรียนให้จดจำเลยว่า ทุกอย่างถ้าเราไม่รอบคอบ ประมาท อาจจะอันตรายจนถึงชีวิตได้
กลับมาเรียน : มหาวิทยาลัยเกริก เปิดโอกาสให้เมื่อปี 2541 เมื่อเปิดหลักสูตรภาคพิเศษให้กับผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพหรือนักการเมือง ที่ต้องการเรียนภาคพิเศษ เริ่มเปิดสาขาการจัดการครั้งแรก ใครอยากจะต่อยอดก็มาสมัครเรียนกัน จนจบปริญญาตรีสาขาการจัดการอีกสาขา ในช่วงนั้นมีเพื่อนค่อนข้างเยอะ พอเรียนจบ จับพลัดจับผลู เพื่อนชวนสมัคร สมาชิกสภาเขต ที่บางเขน ได้เป็นประธานสภาเขตหลายสมัย โดยมีพื้นฐานการเมืองจาก ม.รามคำแหง แล้วกลับมาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ในกรุงเทพฯ (สข.) เขตบางเขน จนคิดว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญ ก็ขยับขึ้นไปเป็นผู้สมัคร สมาชิกสภากรุงเทพฯ (สก.) แต่ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ชีวิตหันเหมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัย โดยผมเรียนปริญญาตรีการจัดการ และปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ จาก ม.เกริก พอจบปริญญาโท ท่านอธิการ สมัยนั้น ให้มาเป็น อาจารย์ เป็นหัวหน้าศูนย์ส่งเสริมบริการสังคม เมื่อปี 2543
อินเดีย: ผมได้ทุนไปเรียนปริญญาเอก สาขาสังคมศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัย ของ ดร.บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์ (Dr. Babasaheb Ambedkar Marathwada University) ที่เมือง Aurangabad สมัยนั้นถือว่า ยังเป็นพื้นที่ห่างไกล ยังทุรกันดารมาก ต้องเดินทางต่อนั่งรถจากเมือง Mumbai ไปอีกสิบกว่าชั่วโมง, ดร.บาบาสาเฮบ ได้รับสมญานามว่าเป็น บิดาแห่งอินเดียสมัยใหม่ เป็นเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน เกิดอยู่ในวรรณะจัณฑาล ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นต่ำที่สุดของสังคม แต่ได้ต่อสู้ชีวิตจนกลายมาเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอินเดีย ผมใช้เวลาเรียนแบบไป ๆ กลับ ๆ รวมทั้งหมดอยู่ราว 5 ปี ครั้งแรกไปแค่ไม่เกิน 7 วัน ก็ร้องกลับบ้านแล้ว แต่พอกลับมา ก็รู้สึกอยากจะกลับไปอีก เพราะที่นั่นมีอะไรให้ศึกษาเยอะแยะมากมาย มีวัฒนธรรมที่แปลกประหลาดมาก จนเกิดความประทับใจ อินเดียมีหลายศาสนาอยู่ในชุมชนเดียวกัน ต่างคนต่างมีความเชื่อเป็นของตนเอง แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ การจราจรหนาแน่น บีบแตรตลอดเวลา แต่ก็ไม่ทะเลาะกัน
ชอบการเมือง : ไปอยู่ที่ไหนก็มักจะได้เป็นประธานหมู่บ้าน ทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวม พอมีเวลาก็คิดจะทำงานให้กับชุมชน เป้าหมายคืออยากจะทำงานการเมือง แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนถึงระดับประเทศ เคยมีสื่อตั้งชื่อให้ว่า บุรุษผู้รับใช้สังคม เพราะผมเวลาออกเยี่ยมเยียนในชุมชนเยอะมาก เป็นประธานชาวใต้ของเขตบางเขน เป็นสมาชิกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ส่วนใหญ่ออกท้องที่ แทบไม่มีเวลาว่างเป็นของตัวเอง ระหว่างทำงานการเมือง ก็เริ่มเป็นอาจารย์สอนพิเศษควบคู่ไปด้วย จนเมื่อจบปริญญาเอก ราวปี 2552 จึงเริ่มมาเป็นอาจารย์ผู้สอนเต็มเวลา ทำงานในหลายสถาบัน จนได้กลับมาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเกริกอีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้เอง
ยุคของการเปลี่ยนแปลง : ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมจึงคิดตั้งโจทย์ต่อไปว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อปรับตัว ส่วนหนึ่งคือการเรียนแบบออนไลน์ เรียนนอกที่ตั้งบ้าง จนเป็นที่มาของการอบรมระยะสั้น ผู้คนในฝปัจจุบัน ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ไม่ค่อยอยากเรียนหนังสือ เราจะทำอย่างไรให้เขาเรียนแล้วได้ความสุข ได้เพื่อน ได้เครือข่ายในการทำธุรกิจ เราจึงไปติดต่อหลักสูตร พัฒนาธุรกิจการค้า ไทย – จีน เพราะเห็นว่าชาวจีน เช่นสถาบันขงจื๊อ ที่มีสอนอยู่ทั่วประเทศ และในประเทศไทย ยังมีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนที่ประสบความสำเร็จอยู่เยอะแยะมากมาย
พัฒนาธุรกิจการค้า : ผมเคยเป็น อุปนายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเกริก ซึ่งรวมตัวศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว ม.เกริกก่อตั้งมา 65 ปีแล้ว เลยคิดโจทย์ว่า เราจะเปิดหลักสูตรพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อจะให้ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน หรือนักธุรกิจ ได้มารวมตัวกัน ภูมิศาสตร์ของมหาวิทยาลัยก็เหมาะสม อยู่ในทำเลที่นับว่าสะดวกในการเดินทาง ทำให้เราเปิดหลักสูตรฯ ขึ้นมา นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในรุ่นที่ 1 โดยเรามาขบคิดกันว่า ณ วันนี้ ประเทศจีนต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย โดยผมได้ปรึกษากับคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งแต่ละท่านมีวิสัยทัศน์มาก เราได้เอานักเรียนซึ่งเป็นนักธุรกิจมาตอบโจทย์ ทำเป็นแผนธุรกิจ ทำเป็นกรณีศึกษาว่า ถ้าคุณจะทำธุรกิจ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จะทำแผนงานเสนอให้กับนักธุรกิจจีนได้อย่างไร
Small But Beautiful : ม.เกริก ของเรานั้น เล็ก แต่สวยงาม ถึงมีพื้นที่ไม่มาก แต่เรามีเครือข่ายยิ่งใหญ่มาก อย่างที่ประเทศจีน เรามี MOU ร้อยกว่าแห่ง ใน 24 มณฑล รวมถึง MOU กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาคม ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อจะให้คนได้เรียนกับเราได้ จุดแข็งของ ม.เกริกคือ สถาบันภาษา
เป็นคนต้องมีเพื่อน : นกไร้ขน บินสูง ไม่ได้ คนไร้เพื่อน จะทำการใหญ่ก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน การจะทำเครือข่ายใหญ่ ๆ ต้องมีเพื่อน ซึ่งการจะรวมตัวกันนั้น เราได้จัดทำหลักสูตรที่ต้องมีทั้งความสุขและความรู้ ควบคู่กันไป ก็เล็งเห็นว่า กีฬาชนิดหนึ่ง เหมาะมาก เล่นกันได้ทุกเพศทุกวัย เล่นกันได้ยาวนาน นั่นคือ กอล์ฟ เพราะกอล์ฟ สร้างให้คนได้เป็นมนุษย์ ให้มีความรู้ จิตวิญญาณ สมาธิ ได้ชนะใจตัวเอง ผมเองก็เคยได้เรียนหลักสูตร นกธ. รุ่นที่ 1 (นักบริหารระดับสูง กอล์ฟ ธรรมศาสตร์) เป็นการจุดประกายให้คิดโครงการขึ้นมา และได้คิดถึง โปรเชาวรัตน์ เขมรัตน์ ซึ่งมีความพร้อมสำหรับการเรียนการสอนกอล์ฟ โดยทั้งหมดนี้ ผมใช้เวลาเตรียมงานไม่นานเลย
กอล์ฟ เครือข่ายธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกริก : เนื่องจากผมมีเครือข่ายมากมาย ได้อบรมหลากหลายหลักสูตร นักศึกษาของเกริกที่เป็นกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้ใหญ่ก็มีเยอะ เราจึงจะเป็นศูนย์รวมให้กับคนที่สนใจกอล์ฟ ได้รู้ตั้งแต่พื้นฐาน ขั้นกลาง ขั้นสูง เมื่อมารวมกัน เราจะได้ทำให้กับสังคมนักกอล์ฟ และผู้สนใจ จะมีความสุข และได้เรียนกอล์ฟอย่างถูกต้อง การเรียนกอล์ฟ ถ้าไม่มีทักษะ ไม่มีจิตวิญญาณ คุณจะเล่นกอล์ฟไม่สนุก ทำให้รู้ กฎ กติกา วิธีการเล่นกอล์ฟ ให้รู้จักกัน ต่อยอดเครือข่าย มีกิจกรรมที่เน้นความสามัคคี และเรายังมีวิชาหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ การสร้างเครือข่ายและการทำธุรกิจในช่วงโควิด ซึ่งผมเป็นผู้สอนเอง
กีฬากอล์ฟ : ก่อนหน้านี้ผมออกกำลังกายค่อนข้างน้อย มีเวลาก็จะไปซาวน์น่า ไปพบปะเพื่อนฝูง พอเราไปอยู่ในสังคมที่เป็นนักธุรกิจ นักการเมือง เพราะผมได้เข้าไปเป็นกรรมธิการหลาย ๆ อย่าง ในสภาฯ ก็เป็นมาหลายคณะ เห็นว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ชอบไปเล่นเล่นกอล์ฟ ผมไปเรียนหลักสูตรอะไร ก็พากันไปเล่นกอล์ฟ ผมเป็นคนชอบความสนุกสนาน ชอบดูแลคนอื่น แต่พื้นฐานผมเป็นคนใจร้อน กอล์ฟน่าจะทำให้มีสมาธิได้ จะทำยังไงให้หายได้ วันแรกเพื่อนบอกคงเล่นไม่ได้ เพราะไวมาก จนได้มาเริ่มเล่นกอล์ฟเป็นกีฬาจริงจังชนิดแรก ทำให้เรามีสมาธิ ถ้าขัดใจตัวเอง ไม่มีสมาธิเมื่อไหร่ จะทำให้เราอารมณ์เสีย เป็นกีฬาต่อสู้กับตัวเอง ต้องวางแผนเป็น พร้อมกับต่อสู้กับคนอื่นไปด้วย เพราะอยากชนะ หรือจะสื่อสารกับคนที่เราเล่นด้วย อ่านใจกันได้ เราเป็นนักบริหาร คิดจะใช้คน ต้องการเลือกคนมาเป็นทีมงาน ไม่ใช่เป็นคนถูกเลือก ถ้าจะใช้ใครสักคน ผมจะชวนเขาไปเล่นกอล์ฟ
บอนไซ : ผมชอบบอนไซมาก นิยามก็คือ ต้นไม้ใหญ่ย่อส่วนมาในกระถาง ความสวยงามคือเราจะตัดแต่งต้นไม้เป็นรูปอะไร ตามแต่จะจินตนาการ แต่ต้องอยู่ในสมาคมบอนไซเป็นผู้กำหนด ผมเลี้ยงไว้พอสมควร มีต้นโมก ตะโก มะสัง มะขาม ใครอยากจะมีสมาธิดี ก็ให้ลองมาเล่นบอนไซ ถ้าเครียดจากงาน กลางคืนก็ถือกรรไกรลงมาตัดแต่ง เป็นการใช้เวลาแห่งการรอคอย ถ้าเรารอได้ ก็จะสมหวัง เช่น บอนไซ ต้นมะขามหนึ่งต้น ต้องเริ่มตั้งแต่เพาะเมล็ด จัดราก ตัดราก เปลี่ยนกระถาง โดย ราก ลำต้น ปลาย ต้องได้สมดุลกัน แล้วต้องจินตนาการล่วงหน้ามาทรงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องตัดอีก แต่งไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 2 ปี ถึงจะเปลี่ยนดิน เปลี่ยนกระถาง ใช้เวลาร่วม 10 ปี กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง มีมิติของต้นใหญ่ แต่อยู่ในกระถาง ได้เห็นแล้วมีความสุข
ชีวิตไม่ติดมุม : เราเห็นนักมวยต่อสู้กันบนเวที เวลาที่ติดมุม ก็จะโดนต่อยจนถูกน็อคแพ้ ดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ อย่าไปยอมแพ้มัน ต้องอดกลั้น อดทน ต้องยิ้มกับตัวเอง มีเลือดกลบปากก็ต้องกลืนเอง อย่าไปแสดงอาการ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราคิดอะไร มนุษย์ เราเกิดมาแล้วย่อมมีปัญหา แต่จงอย่าเอา ความโกรธ ความโลภ ความหลง มาพอกตัว มันเป็นกิเลส เราอยากเอาชนะ อยากต่อสู้ ทุกคนมีความทุกข์ แต่ถ้าเรามีสมาธิที่ดี ทำอะไรแล้วชนะมิตร จูงใจคนได้ เราจะยิ่งใหญ่ แต่กว่าจะทำได้ ต้องใช้เวลา ผมเองเป็นนักเดินทาง นักต่อสู้ โตมาด้วยลำแข้งลำขา ถ้าเราทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้เป็นโอกาส ปลอบใจเข้าไว้ แต่เราต้องมีสมาธินะ ผมยังเป็นนักสะสมพระ มีห้องพระ ผมเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาแห่งสมาธิ เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จะนั่งสมาธิ ถ้าเราเอาชนะใจตัวเองได้ ย่อมชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้
ศิลปะการดำรงชีวิต : เราต้องมีบุคลิกภาพที่ดี ตั้งแต่หัวจดเท้า การพูดการจา ต้องไพเราะอ่อนหวาน จริงจังและจริงใจ ถ้าเรามีจุดยืนชัดเจน ไม่ว่าจะทำอะไรต้องพิสูจน์ได้ สืบค้นอดีตเราได้ ปัจจุบัน อนาคต ก็คาดเดาเราได้ คนเราต้องห้ามโกหกตัวเอง เพราะถ้าโกหก คุณก็ต้องจำว่าโกหกอะไรไว้ แล้วก็จำไปตลอด แต่ถามว่า แล้วแบบนี้ชีวิตคุณจะมีความสุขหรือ
ชีวิตนี้เป็นผู้ให้ : ไม่ใช่เป็นผู้รับ เรามีความสุขที่ได้เห็นลูก ๆ อยากเห็นเด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม เหมือนเราปลูกต้นไม้ ก็ต้องเฝ้าดู เฝ้าบำรุงดูแล เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ผู้หญิง ผู้ชาย พวกเราคือผู้รับใช้สังคม ทุกคนมีสิทธิ์เป็นดาราได้ เป็นดาวประทับท้องฟ้าให้สวยงามได้ทุกคนครับ