Interview

เทวดาประจำบ้าน สำคัญที่สุด – พลตรีกัณฑ์ ท.ธรรมธาดา

พลตรีกัณฑ์ ท.ธรรมธาดา
คลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม
“เทวดาประจำบ้าน สำคัญที่สุด”

วิถีชีวิตของคนมอญจะผูกพันกับพุทธศาสนามากเป็นพิเศษ ผมก็โตขึ้นมาจากการไปกินข้าววัด มีหลวงน้าพระครูสมุทรวราภรณ์ (พระมหาวารี) เป็นรองเจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหาร ซึ่งท่านเป็นที่รู้จักเคารพนับถือจากชาวพระปะแดงและผู้คนทั่วไปจากการใช้พุทธคุณทางด้านจริยวัตรเกี่ยวกับการเป็นผู้ให้และการพัฒนา ที่ไม่เกี่ยวกับวัตถุมงคล

ผมผ่านวิกฤติในช่วงชีวิตวัยรุ่นมาได้ก็เพราะความผูกพันกับวัด ในย่านนี้สมัยนั้นยังมีนักเลงกันเยอะ เวลาจะมีเรื่องมีราวกัน จะตัดสินปัญหาพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายกันด้วยมีด ไม่ใช้ปืน เพราะถือว่าใจไม่ถึง ขี้ขลาด ผมโชคดีที่อยู่ในวัดเป็นส่วนใหญ่ ได้เห็นตัวอย่างจากหลวงน้า ที่ผู้คนยอมรับจากการประพฤติปฏิบัติดี ทำให้รู้สึกอิ่มบุญไปด้วย ผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก เว้นแต่การออกไปเล่นกีฬา

ฟุตบอล ผมเล่นมากที่สุดเมื่อเป็นเด็กนักเรียน เป็นเหมือนมือปืนรับจ้างที่คอยเล่นให้กับทีมต่างๆ เช่นโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอในละแวกนี้ ซึ่งตัวเองก็คิดว่าทักษะมีพอสมควรไม่ถึงขนาดเก่งมากมายอะไร แต่ก็ได้รับความไว้วางใจ ให้ลงเล่นในการแข่งสำคัญอยู่บ่อยๆ เคยมีอยู่ครั้งเจ็บหัวเข่าลงเล่นไม่ได้ วิ่งไม่ไหว แต่ทีมก็ขอให้ลงไปเล่นเพราะมีเงินวางเดิมพันสูง หลังจากยิงจุดโทษเสมอกันมา 4-4 ผมต้องเป็นคนที่ 5 เพื่อชี้ผลแพ้ชนะ บอกกับทีมว่าคงเตะเต็มที่ไม่ได้เพราะยังเจ็บอยู่ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรขอให้ยิงเล่นทางแทนที่จะยิงแรงๆ แล้วกัน.. เคยได้เล่นกับทีมประจำอำเภอ ชื่อทีมปู่เจ้าสมิงพราย ซึ่งเป็นชื่อป้อม ปจัจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลพระประแดง (สถาบันราชประชาสมาสัย) ไปแข่งกันที่สนามหลวง นับว่าเป็นรายการที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นใครเคยเล่นก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง

พอจบ ม.ศ.3 ผมไม่อยากเรียนต่อ แต่อยากจะเล่นกีฬาอย่างเดียว ก็ไปบอกกับคุณพ่อซึ่งท่านเป็นหมอ ท่านก็ตามใจไม่ว่าอะไร ถ้าอยากจะเล่นก็ปล่อยให้ไปเล่น ผมก็หยุดเรียน รับจ้างเล่นฟุตบอลอย่างเดียวเพราะ คุณพ่อรู้นิสัยและเข้าใจผมเป็นอย่างดี ท่านจะถามเสมอว่า ไหวรึเปล่า? จะให้ช่วยอะไรไหม? อาจจะดูเหมือนไม่สนใจ ซึ่งจริงๆ ท่านคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด แต่ก็ปล่อยให้ผมได้ทำตามความต้องการ บางครั้งผมมีเรื่องชกต่อย พอกลับมาบ้านมีรอยฟกช้ำ ขอบตาเขียว ท่านถามว่าไปทำอะไรมา ผมก็ตอบว่า หกล้ม ท่านก็ไม่ต่อว่า ไม่ซักถาม ทำเหมือนกับเชื่อในสิ่งที่บอก ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้น

เล่นกีฬาไปสักพัก วันนึงพอหันมาดูตัวเอง ก็พบว่าเพื่อนๆ ไปเรียนต่อที่โน่นที่นั่นได้ดีกันหมด ผมก็เริ่มรู้สึกว่าปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนแนวหันกลับมาเรียน เริ่มจากเข้าพณิชยการ เพื่อจะได้เล่นฟุตบอลด้วย เงื่อนไขก็คือ ถ้าได้แชมป์ก็จะได้เลื่อนชั้นถ้าแพ้ปีนั้นก็จะตก เมื่อคิดอีกที ถ้าจบโดยไม่มีความรู้เลยก็คงไม่มีประโยชน์ เลยตัดสินใจออก แล้วไปเข้าเรียนเทคนิค แต่ไปเรียนได้ไม่นานก็ต้องออกอีก เพราะมีแต่เรื่องทะเลาะวิวาทตีกันตลอด จนในที่สุดก็ย้ายไปเรียนที่ วิทยาลัยครูสวนสุนันทา ซึ่งก็เรียนแบบเข้าห้องเรียนพร้อมคุณครู ออกห้องพร้อมคุณครู แทบจะไม่รู้จักใครเลย แต่ก็พอมีเพื่อนที่มีน้ำใจคอยสอบถามให้ความช่วยเหลือเรื่องการเรียน จนจบ ปกศ.ต้น แล้วไปเรียนต่อ ปกศ.สูง ที่วิทยาลัยพลศึกษาเชียงใหม่ เป็นการเดินทางไปครั้งแรก นั่งรถไฟข้ามวันข้ามคืนไปสอบ พอสอบติดก็อยู่เชียงใหม่โดย อาศัยหลวงน้าช่วยฝากฝังให้ไปเป็นเด็กวัด ผลการเรียนก็ออกมาดี มีโอกาสเป็น 1 ใน 40 คน ที่ผู้อำนวยการฯได้คัดเลือกให้เข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยพลศึกษาปทุมวัน

ระหว่างก่อนเปิดเรียน ซึ่งคิดว่าตัวเองจะได้เข้าเรียนที่ปทุมวันแล้วแน่ๆ เลยไม่กังวลใจพอดี ได้ไปเที่ยวที่บางแสน แล้วเห็นป้ายเปิดรับสมัครสอบเข้า มศว.พลศึกษา บางแสน รุ่นแรก ก็ไปสอบไว้เล่นๆ แต่พอผลสอบที่ปทุมวันประกาศ กลับไม่มีชื่อพวกเราทั้ง 40 คนเลย เพราะปีนั้นรายชื่อทั้งหมดมาไม่ถึง ทำให้ไม่มีใครได้โควต้าเรียนต่อเลยสักคน โชคดีที่ผมสอบติดที่บางแสนเลยได้เรียนต่อที่นั่น

ผมเคยเล่นฟุตบอลมาตลอด แต่พอมาเป็นโรคกระเพาะทำให้เล่นไม่ได้ เลยต้องเปลี่ยนกีฬา หันมาเล่นซอฟท์บอลแทน แล้วก็ติดทีมชาติชุดแรกของประเทศไทย ซึ่งทางภาคตะวันออกของไทยรู้จักและนิยมกีฬานี้ เพราะมีทหารอเมริกันนำเข้ามาเผยแผ่ในสมัยสงครามเวียดนาม ทีมของเราได้เข้าแข่งกันในระดับอาเชี่ยน ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของผลการแข่งขัน แต่ก็นับว่าเป็นก้าวแรกของวงการกีฬาประเภทนี้ในประเทศไทย

พอเรียนจบเริ่มกลับมาทำงานสายอาชีพ เพื่อเก็บทุนสะสมไว้พอสมควร ความเป็นห่วงเรื่องต่างๆ ของผมไม่ค่อยจะมี จึงตัดสินใจไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ ประเทศอังกฤษ แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เมื่อไปเตรียมตัวเรียนได้ไม่นานนัก จังหวะนั้นก็เกิดสงครามเกาะฟอร์คแลนด์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาสูงขึ้นอีก 300 เท่า สำหรับนักศึกษาต่างชาติ ทำให้ผมไม่สามารถหาค่าใช้จ่ายไหว พอดีเพื่อนก็แจ้งข่าวให้กลับมาสอบเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยพลศึกษา จึงทำเรื่องดรอปพักเรียนที่อังกฤษแล้วกลับมาทำงานตั้งหลักก่อน เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงค่อยว่ากันอีกที

วิทยาลัยครูสมเด็จเจ้าพระยา เปิดรับตำแหน่งครูอัตราจ้าง สอนพลศึกษา ผมสอบผ่านเข้าไปรับหน้าที่เป็นครูพลศึกษา และในการสอนมีวิชาแค้มป์ปิ้งซึ่งผมรับผิดชอบทั้งหมด พานักเรียนพลศึกษาของวิทยาลัยฯ 2 ชั้นปี ไปเข้าค่ายแค้มป์ปิ้งที่ค่ายธนะรัตช์ ปราณบุรี หลายครั้ง โดยทำหน้าที่กำกับดูแลทั้งหมดเอง จนนายทหารท่านหนึ่งมองเห็นแล้วเข้ามาให้คำแนะนำว่า ผมดูแล้วมีแวว น่าจะมีอนาคตทางการรับราชการทหาร

ชีวิตผกผันครั้งใหญ่เมื่อได้เข้ามาเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนเตรียมทหาร เริ่มที่ ร้อยตรี แล้วก็ขยับไปเรื่อยๆ เป็นคนเดียวที่เคยได้รับการปรับเลื่อนขั้น 4 ปีได้ 7 ขั้น, สมัยนั้น พลตรีชัยณรงค์ หนุนภักดี ให้ผมเป็นหนึ่งในสตาฟทำงานที่หน้าห้องของท่าน และต่อมา พลตรีพนม จีนะวิจารณะ มาเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนฯ ก็เรียกผมไปสอบถามว่าจะให้เป็นนายทหารคนสนิทของท่าน ผมก็ปฏิเสธท่าน โค้งคำนับแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ท่านก็ให้ตามตัวไปพบอีกครั้ง แล้วถามว่าทำไมเดินกลับไปโดยไม่บอกเหตุผลอะไรเลย ผมก็อ้างว่าภรรยากำลังตั้งครรภ์ไม่สะดวกต่างๆ นานา ท่านก็บอกว่า “หยุด” แล้วฟัง งานเข้า 8:30 เลิก 16:00 เข้าออกให้ตรงเวลาเท่านั้น ถึงเวลากลับบ้านได้เลยไม่ต้องรอ แบบนี้ทำได้ไหม? ผมก็ยังยืนกรานกับท่านว่า “ทำไม่ได้ครับ เพราะภรรยาตั้งครรภ์” จนท่านบอกว่า “งั้นก็โอเคร”

ระหว่างที่ผมเดินกลับจากห้องท่านเพื่อกลับไปห้องทำงานที่ตึกพลศึกษา ก็มีทหารจากหน้าห้องท่าน ผบ. ขี่จักรยานตามมา เรียกให้หยุด แล้วยื่นกระดาษคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นนายทหารคนสนิทติดตาม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่หลายๆ คนอยากจะเป็น แต่ผมกลับไม่อยากเป็น

วันแรกที่รับตำแหน่ง ผมทำตามที่ท่าน ผบ.สั่งการ 8:30 มาถึงที่ทำงาน แล้วทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็นั่งคิดไปว่า ปล่อยไปแบบนี้คงไม่ดีแน่ ต้องคิดใหม่ทำใหม่.. วันรุ่งขึ้น ตั้งแต่ตี 5 ผมแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยไปยืนรอที่หน้าบ้านพัก ผบ. ในโรงเรียนเตรียมฯ ตอนเช้าท่านยังนุ่งผ้าขาวม้าอยู่เปิดหน้าต่างออกมาก็เห็นผม ท่าน เลยถามว่า “มาทำไมแต่เช้า” ผมก็ตอบท่านไปว่า “ผมจะมาทำหน้าที่แล้วครับ” ท่านจึงบอกว่า “อยากจะทำก็ทำได้เลย”

ผมทำใจอยู่หลายวัน เพราะไม่เคยดูแลใครแบบนี้มาก่อน พอมาคิดเปรียบท่านว่าเป็นพ่อของเราคนนึง ที่ต้องดูแลทุกอย่าง แม้กระทั่งเครื่องใช้ส่วนตัว พอทำใจได้แบบนี้แล้วก็ทำหน้าที่เต็มที่ มาถึงก่อนและกลับทีหลังเสมอ เคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาด้วยกันหลายครั้งแล้ว  มีครั้งหนึ่งนั่งรถเก๋งพาท่านไปรับตำแหน่งใหม่ที่ปราจีนบุรี เห็นรถปิคอัพบรรทุกหน่อไม้ขับลงจากเนินเขาเสียหลักจนคุมรถไม่อยู่ขับส่ายไปส่ายมา ผมตะโกนบอกท่านให้หาที่ยึด ยันเบาะให้เต็มที่ แล้วบอกให้พลขับเอาส่วนที่แข็งที่สุดของรถเข้าปะทะ อย่าแตะเบรคเพราะจะทำให้รถหมุนแล้วยิ่งจะอันตรายกว่าอีก พอชนปะทะ รถเราก็ตีลังกาพลิกคว่ำ โชคดีที่ได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นมาท่านก็ให้ความไว้วางใจในตัวผมมากเกือบทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้น

ท่านพูดกับผมเสมอว่า “คนเดินข้างกาย ไปไหนต้องไม่อายเขา” จึงสนับสนุนให้ได้เรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง ผมจึงต้องขวนขวายเพื่อเรียนให้จบตามหลักสูตรต่างๆ เช่น เสธฯ เหล่าทัพ, เสธฯ ทหาร และ หลักสูตรอื่นๆ ตามแนวทางการรับราชการ เติบโตขึ้นมาในสายงาน จนสุดท้ายก่อนเกษียณก็เป็น นายทหารปฏิบัติการพิเศษ และเกษียณในอัตตา พลตรี ซึ่งตลอดชีวิตการทำงานนั้น ต้องแลกมาด้วยความรู้ความสามารถ ผมประจบไม่เป็น แต่จะใช้วิธีประจบด้วยผลงาน สร้างความภาคภูมิใจที่ได้ตำแหน่งมาจากชีวิตการทำงานล้วนๆ และยังเป็นชีวิตที่มาไกลเกินกว่าที่คาดฝันไว้ คิดว่าทุกอย่างที่ได้มานั้นเราพึงพอใจทั้งสิ้นโดยไม่เคยต้องขอตำแหน่งใดทุกๆชั้นยศเลย เพราะนั่นคือความรู้ความสามารถทั้งสิ้นของตัวเรา

สมัยผมยังเด็ก เคยเห็นฝรั่งนั่งรถสามล้อมาแถวบ้าน ตรงปากคลองลัดโพธิ์อำเภอ พระปะแดง เพื่อมาดูที่ฝังช้าง ยังแอบคิดด้วยความไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงมาสนใจในสิ่งที่เรามองดูแล้วไม่น่าจะมีความสำคัญอะไร เพราะเราไม่มีความใส่ใจในเรื่องนี้เลย นึกย้อนไปแล้วก็เสียดาย เพราะทำให้เสียโอกาสการศึกษาประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ไป

หลังจากเกษียณ เริ่มมีเวลาให้กับตัวเองบ้าง ได้ทำกิจกรรมที่ใฝ่ฝันอยากจะทำ อาศัยที่คุ้นเคยกับการใช้หนังสือติดต่อกับราชการต่างๆ พอมาเห็นว่าที่วัดคันลัด มีเรื่องราวของสุสานช้างเผือก ซึ่งสมควรจะต้องรื้อฟื้น ขณะเดียวกันเมื่อมีการขุดคลองลัดโพธิ์ ก็ได้พบกระดูกช้าง เลยมานั่งศึกษาเรื่องราวให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น โดยจุดเริ่มเกิดขึ้นจากการอ้างอิงบันทึกเกี่ยวกับพิธีการฝังพระยามงคลหัสดิน ช้างเผือกสมัยรัชการที่ 3 แล้วผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีแค่ช้างเดียวจึงไปปรึกษากับท่านเจ้าอาวาส พระครูสุภัทรกิจจาทร (อาจารย์หลาย)ว่าผมจะไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมที่หอสมุดแห่งชาติ ครั้งแรกเข้าไม่ได้ต้องกลับมาทำหนังสือรับรองจากหน่วยงานก่อน โดยเริ่มจากหลักฐานสมุดไทยดำ

สมุดไทยดำ เป็นเอกสารโบราณที่จดบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไทย ทำมาจากกระดาษ แล้วย้อมสีดำ มีความบอบบางมากเพราะเขียนด้วยชอร์คที่ลบเลือนได้ง่าย หากเกิดความผิดพลาดขึ้นก็จะเสียหายไปตลอดกาล ผมค้นคว้าหาข้อมูล ก็ยังไม่พบส่วนที่ต้องการ แต่ปรากฎว่าคนที่พบกลับเป็นฝรั่งที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยที่นั่งค้นหาอยู่โต๊ะข้างๆ กัน ซึ่งเขาเป็นคนสอนวิธีการเปิดอ่านสมุดไทยดำให้ด้วย แล้วพอพบข้อความสำคัญซึ่งเป็นภาษาไทยโบราณก็ต้องขอให้นักประวัติศาสตร์ในหอสมุดฯ มาช่วยอ่านให้ฟังเพื่อจดบันทึกทำความเข้าใจ บางครั้งก็ให้ฝรั่งที่ศึกษาอยู่มาช่วยอ่านซ้ำเพื่อยืนยันข้อมูลว่าถูกต้องตรงกัน ชาวต่างชาติที่ศึกษาเรื่องราวของไทยยังบอกว่า เขารู้สึกเสียดายที่การอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญของชาติไทยนั้นยังมีผู้ให้ความสำคัญและใส่ใจน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์

และหลังจากตามรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้างเผือกของประเทศไทย ณ ขณะนี้พบว่ามีช้างเผือก 9 ช้าง ที่ฝังอยู่ ณ วัดคันลัด แต่เราก็ยังไม่หยุดค้นคว้าต่อไปอีกว่าอาจจะพบข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้ และได้พยายามจะเตรียมการดำเนินการขั้นต่อไป ซึ่งยังต้องมีกระบวนการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยของผู้ปลูกสร้างอยู่บนสถานที่สำคัญแห่งนี้ เรากำลังเจรจาต่อรองเพื่อทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องการปรับภูมิทัศน์ให้มีความเหมาะสมกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยแห่งหนึ่ง

หลังจากมีการสร้างสะพานภูมิพล 1 และ สะพานภูมิพล 2 ได้มีพื้นที่ใต้สะพานเกิดขึ้น และได้สร้างเป็นสวนสุขภาพลัดโพธิ์ ต่อมาได้มีการจัดสร้างรูปหล่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐาน ณ กลางสวนสุขภาพลัดโพธิ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและกราบไหว้บูชาสักการะเพื่อเป็นมงคลให้กับชีวิตของประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งผมเองก็มีความคิดเกี่ยวกับการสักการะบูชาพระองค์ท่านว่า ปกติทั่วๆ ไปเราจะใช้ดอกไม้ธูปเทียน หากทำให้ทุกคนเข้าถึงจิตสาธารณะ และช่วยกันสร้างกุศล โดยการสักการะด้วยสมุด ดินสอ เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ที่มีความต้องการ ผมจึงนำความคิดนี้ไปปรึกษากับ ฯพณฯ ธวัชชัย ทวีศรี กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิ คิง เพาเวอร์ เพื่อขอความเห็นและนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนเราได้ประกาศโครงการแนวความคิดออกไปและได้ความร่วมมือตอบรับในการทำกุศลนี้เป็นอย่างดียิ่ง

ในสวนสุขภาพยังมีบ่อปลา เมื่อเราเลี้ยงปลาแล้วไม่มีอาหารให้ก็รู้สึกว่ายังไม่ครบ ผมกับเพื่อนชื่อปรีชา แสงเดือนฉาย จึงคิดวิธีที่จะให้อาหารปลาพร้อมกับฝึกให้ทุกคนได้รู้จักความมีวินัย ความซื่อสัตย์ มีวินัย ควบคู่ไปด้วย โดยได้ร่วมกันลงทุนซื้ออาหารปลามาแบ่งเป็นถุงๆ แล้วให้ทุกคนที่อยากจะเลี้ยงปลามาหยิบกันเอง พร้อมกับทำกล่องไว้ให้หยอดค่าอาหาร โดยไม่ต้องมีพนักงานมาคอยเก็บเงิน แล้วยังมีส่วนต่างจากต้นทุนค่าอาหารกับเงินที่ได้รับจากผู้บริจาค นำไปสร้างสิ่งที่จะเกิดประโยชน์เพื่อสาธารณะอีกด้วย

ในพื้นที่นี้ยังมีต้นไทรเก่าแก่ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนให้ความเคารพ ที่ผ่านมานั้นผู้คนนำเครื่องสักการะที่มีทั้งอาหารและเครื่องแต่งกายมาบูชา แต่ก็มีคนจรจัดมาอาศัยของบูชาเหล่านี้เพื่อยังชีพ บางครั้งยังกราบไหว้ไม่เสร็จก็มีคนมาฉวยมาหยิบไป จนเกิดความลำบากใจว่าแทนที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศลอาจจะกลายเป็นได้บาปกันไป ผมก็มาคิดต่ออีกว่า ถ้าไปเก็บศาลพระภูมิที่สมัยหนึ่งเคยมีผู้คนกราบไหว้บูชา แต่พอไม่ใช้แล้วกลับนำไปไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม แล้วนำมารวบรวมไว้ในพื้นที่ที่มีผู้สักการะบูชากราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เหมือนกับการที่เราได้ช่วยผู้ที่ล้มแล้วให้กลับมายืนได้ และเมื่อมีศาลต่างๆ มาวางรายล้อมต้นไทรแล้ว มีความเชื่อความศรัทธาก็ไม่ควรจะให้สิ่งสักการะสูญเปล่า ควรนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อีก “ลูกตะกร้อ” น่าจะเป็นสิ่งที่ใช้ได้เป็นอย่างดี ผู้คนที่มากราบไหว้ก็นำลูกตะกร้อมาสักการะ ณ บริเวณต้นไทรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังศรัทธาที่เกิดขึ้น เราก็ได้นำลูกตะกร้อเหล่านี้ไปบริจาคมอบให้กับผู้ที่ต้องการอีกต่อไป

และงานในปัจจุบันที่ผมยังรับผิดชอบอยู่อีกก็คือ คลังสมอง วปอ. โดยมี พลเอกจรัญ กุลละวณิชย์ เป็นประธานฯ ซึ่งผมเป็นเลขาฯ ของท่าน เป็นหน่วยงานที่ระดมความคิดเห็นต่างๆ ของนักเรียนที่จบจาก วปอ. เราก็เป็นผู้รวบรวมทำให้ได้แนวทางต่างๆ ในการพัฒนาบ้านเมือง

ด้านสุขภาพของผมก็อาศัยการเล่นกีฬามาโดยตลอด ระหว่างที่รับราชการทหาร ก็เป็นนักกีฬาของกองทัพไทยหลายประเภท ทั้ง เทนนิส แบดมินตัน เป็นนักฟุตบอลได้เสื้อสามารถของกองบัญชาการกองทัพไทย รวมไปถึงกีฬากอล์ฟ ที่เล่นมานาน แต่ไม่ค่อยดีนักเพราะเวลาว่างมีน้อย จะถนัดก็แต่ลูกไดร์ฟที่พอจะโชว์ได้ แต่พอใกล้ๆ กรีนการกะระยะของลูกสั้นมักจะมีปัญหา… แล้วความเครียดกับผมก็ไม่ค่อยมี เพราะตัดใจได้ ถึงเวลาปล่อยวาง ก็ปล่อยวางได้ ออกจากที่ทำงานก็ทิ้งงานไว้ที่นั่น ไม่เก็บเอาไปคิดเพื่อสร้างปัญหาให้กับตัวเอง และสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานก็คือ ต้องให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกน้องต้องอิ่มก่อน ได้ก่อน เราถึงจะทำงานอย่างมีความสุข

สิ่งสำคัญที่สุด และเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตของผมก็คือ การดูแลเทวดาประจำบ้าน นั่นคือ “พ่อแม่” อยากให้ทุกคนหันมาเห็นความสำคัญ รักและเคารพ กับบุพการี ผู้มีพระคุณสูงสุด ต้องดูแลท่านอย่างดีที่สุด ทดแทนพระคุณท่าน เพราะทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นกับชีวิต ผู้ที่ช่วยเหลือเราเสมอไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ เทวดาประจำบ้าน ของเราไงครับ

0301 int exec 2

0301 int exec 3