อมยิ้มริมกรีน

รอยร้าวระหว่างวัย เริ่มแล้วในเมืองไทย

ในยามนี้ กระแสการเรียกร้องประชาธิปไตย ไล่รัฐบาลเผด็จการลุงตู่ ได้กลายเป็นกิจกรรม สปช. ส่งเสริมประสบการณ์ชีวิต การศึกษานอกโรงเรียน ไปแล้ว

ด้วยลูกเด็กเล็กแดง ยังนุ่งกางเกงกาสั้น เสื้อคอซอง นักเรียนประถมปลาย มัธยมต้น ยัน มัธยมปลาย เยิ้วๆตามรุ่นพี่ นักศึกษา ที่ออกมาทำกิจกรรมเหมือนกันเป๊ะๆ แทบทุกสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ

วิเคราะห์อ่านขาดว่า “กลุ่มมันสมอง” ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมเยาวชนนี้ คือ พวกหัวก้าวหน้า หลงตนว่า ตัวเองคือผู้นำ การปฏิวัติประชาชน  โดยเอา แม่บทอำนาจประชาชนผู้คับแค้น ถล่มคุกบาสตีย์  “ปฏิวัติฝรั่งเศส” เอามาผสมปนกับ ภาพยนตร์ฮอลลีวูด The Hunger Game  ยำไปพร้อมกับ ตี๋หมวยฮ่องกง ต่อต้านอำนาจจีนปักกิ่ง ว่าเป็นกิจกรรมแห่งมวลชนเยาวชน .

เด็กคนไหน  ไม่ทำไม่ได้ จะเป็นเด็กไดโนเสาร์ ไม่ทันโลก ตกเทรนด์ ไม่เท่ อายเพื่อน

ปรากฏการณ์ ชู3นิ้ว (สัญลักษณ์ต่อสู้อำนาจเผด็จการที่เอามาจากในหนัง อันเพียงเงามายาเลื่อนลอยแท้ๆ) จึงผุดเป็นดอกเห็ดฤดูฝนในยามนี้

มีข่าวเล็กๆ ..เด็กนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่มหนึ่ง ตั้งกลุ่ม “เกรียนอุดม” ออกมาร่วมขับไล่รัฐบาลลุงตู่ แต่ก่อนจะ ชู3นิ้ว ได้ประกาศแจ้งต่อบรรดา อาๆน้าๆสื่อมวลชน ว่ามีข้อแม้ คือ 1. ห้ามถ่ายภาพกลุ่มที่ชัดเจนเจาะจง / ต้องทำภาพเบลอ ถ้าเอาไปลงสื่อ และ ต้องขออนุญาตก่อน ไม่ว่าจะบันทึกภาพหรือเสียง

เป็นความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิต ด้วยยังมีเงื่อนไข .

1. ยังต้องอาศัยพ่อแม่ใน5ปัจจัยการดำรงชีวิต อาหาร /ที่พักอาศัย/เครื่องนุ่งห่ม/ยารักษาโรคและความมั่นคงทางการเงิน จึงไม่ต้องการให้พ่อแม่โกรธ ในการร่วมกิจกรรม 2. ยังต้องเรียนหนังสือในโรงเรียน จึงไม่ต้องการให้ครูอาจารย์ ไม่พอใจ อันจะมีผลต่อเกรดการเรียนของตน 

แต่ถ้าคิดถึงหัวอกพ่อแม่ ของครู หรือ ศิษย์เก่าเตรียมฯไม่น้อย..ก็หัวเราะมิออก ร้องไห้มิได้

แค่เอาชื่อ โรงเรียนที่เป็นสถาบันศึกษา ไปเลียนล้อตั้งกลุ่ม..เกรียนอุดม..ศิษย์เก่าเตรียมฯ รุ่นปู่รุ่นพ่อน้าอา ก็อยากเขกกระบาลแล้ว..ไอ้เด็กรุ่นใหม่ยุคนี้ ช่างไม่รู้จักกาละเทศะ จริงๆ

คิดดูเถอะครับว่า..เด็กโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่ได้ชื่อว่า เป็นเด็กมัธยมปลายเก่งระดับหัวกะทิประเทศ มีปัญญาคิด อะไรควรไม่ควร ยัง ไหลไปตามกระแส

แล้วเด็กอื่นๆ เด็กตจว.ทั่วประเทศ จะไม่ร่วมกิจกรรมนี้ได้อย่างไร..เดี๋ยวตกเทรนด์ ตกกระเสเท่ๆ อายเพื่อน

ยังจะมีประเทศไหน ที่ให้อิสระทางความคิด…เยิ้วๆ ขับไล่ผู้นำรัฐบาลถึงขนาดนี้ ขณะที่ประเทศเผชิญกับวิกฤติรอบด้าน

ถ้ารัฐบาลยุคนี้ ยึดปฏิบัติในระบบเผด็จการจริงๆ..คงโดน “กวาด”ไปบานแล้วละ ตั้งแต่ “หัว” ยัง “ลูกหาบ”

คนเราก็แปลกนะครับ..ไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์เสียก่อน เพื่อ ตกผลึกความคิดของตัวเอง

เยิ้วๆ เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่เอารัฐบาลเผด็จการ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยุบสภา คืนอำนาจสู่ประชาชน เลือกตั้งใหม่

สมมุติว่า ทำสำเร็จ นายกลุงตู่ ลาออก ยุบสภา ในวันพรุ่งนี้

เลือกตั้งใหม่..ประชาชนทั้งประเทศ คาดหวังจะได้รัฐบาลใหม่อย่างไร? แบบไหน?

พรรคฝ่ายค้าน เพื่อไทย รากเดิมๆ พรรคไทยรักไทย ในเงาอิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตร หรือ พรรคก้าวไกล ร่างทรงของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะมี บุคลากรอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ/ ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล/ พรรณิการ์ วานิช เป็นคีย์แมนบริหาร

สมมุติว่า พรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล ประเทศจะได้ คณะรัฐมนตรีอย่างไร จะย่ำรอยเดิม อดีตพรรคไทยรักไทย หรือไม่

สมมุติว่า พรรค ก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาล ด้วยประชาชนแห่ลงคะแนน “ทดลองของใหม่” อุดมการณ์พรรคนี้ชัดเจนคือ อำนาจประชาธิปไตย บริหารประเทศ รื้อระบบทุนนิยม ทหาร ขุนนางอำมาตย์ออกสิ้น.

ทิศทางคือ ระบบสังคมนิยม หาใช่ประชาธิปไตยที่ คนส่วนใหญ่คิดพื้นๆไม่

เป้าหมายอุดมการณ์ ชัดเจนอีกประการหนึ่งของ คีย์แมนอย่าง ดร.ปิยบุตร/ พรรณิกา คือ no more monarchy  ไม่เอาเจ้า

ตอบได้ไหมครับว่า..ถ้าไม่มีสถาบันกษัตริย์ ค้ำอยู่มาช้านาน ประชาชนคนไทยจะพึ่งสถาบันไหน?

ในเมื่อ ระบบทางการเมืองเราไม่เคยแข็งแร่ง นักการเมืองก็ไร้คุณภาพ อำนาจทหารก็เป็นเผด็จการ

เมื่อ เจ็ดแปดปีก่อน ครั้ง คนไทย เผ่าเสื้อแดง/เสื้อเหลือง เกลียดกัน ก่อหวอดยกพวกฆ่ากัน ร่ำๆใกล้สงครามกลางเมือง จนสีเขียวขี้ม้าทหาร สอดเข้ามาขวางในครั้งกระโน้น ผ่านมายุคนี้ ความเกลียดชังระหว่างชนชาตินั้น ก็ละลายไปเกือบหมดแล้ว

เช่นเดียวกับ ความแตกแยกระหว่าง “คนไทยโลกเก่า” กับ “คนไทยโลกใหม่” จะรุนแรงปานใด ถ้าพรรคก้าวไกล เดินทางเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศไปสู่ประชาธิปไตยสังคมนิยม ตามอุดมการณ์

สมมุติว่า วันนี้  ไม่มีระบบกษัตริย์  “คาน”อำนาจการปกครองเชงิสัญลักษณ์  ประเทศไทยจะอยู่อย่างไร จะเป็นอย่างไร

ใครมีอำนาจ มีอาวุธ ก็  แย่งอำนาจครองแผ่นดิน ไม่มีใครยอมใคร

ใครกันแน่ที่ฉิบหาย แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ

ประวัติศาสตร์ สารพัด civil war สงครามกลางเมือง คนชาติเดียวกัน ยกพวกฆ่ากันเอง.

ฝ่ายชนะประกาศ ความยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะปราบกบถ หรือปฏิวัติ สำเร็จ ชาวบ้านก็ไม่ได้ห่อะไร นอกจากทุกข์ยากเข็น

บางที หนทางข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็น  “เหยื่อ” ประวัติศาสตร์เช่นนั้น อีกรายหนึ่ง

ก้าวแรกแห่งการเดินไปสู่จุดนั้น..ก็เริ่มต้นจาก ที่เราเห็นกันทุกวันนี้แหละ

มุมหนึ่ง ..มึงเห็นตัวตนเป็น ผู้นำอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ อยากฝากชื่อในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นผู้นำปฏิวัติประชาชน เปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์ในประเทศเอเชียอาคเนย์

ในอีกมุมหนึ่ง..ก็มึงนั่นแหละ ที่เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความชิงชังชาติ ให้กับเด็กคนรุ่นใหม่ ที่หลงคิดว่า..ได้ร่วมทำวีรกรรมแสวงหาประชาธิปไตย

ไม่นึกถึงหัวอก พ่อแม่คนไทยหรือไร..ว่าชอกช้ำแค่ไหน ที่ลักพาลูกเขา ไปทำร้ายความสงบสุขของแผ่นดิน

ที่สุด..จุดเริ่มต้นแห่งความฉิบหาย ทำลายทั้งสถาบันครอบครัว ทั้งสถาบันที่เป็นที่พึ่งของคนไทยมานับแต่บรรพบุรุษ

จะเป็นใคร..ถ้าไม่ใช่มึง!

………………………………

เมื่อครั้ง พลังเยาวชนฮ่องกง รวมตัวกันเป็นสาวก ตี๋โจชัว หว่อง ก่อหวอดประท้วง ต่อต้านอำนาจครองจากปักกิ่ง ถึงขั้น จากประเด็น ไม่พอใจกับ การบริหารเขตุปกครองพิเศษฮ่องกง ยอมรับกฎหมาย ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ปานปลายกลายเป็นพลังคนหนุ่มสาวการก่อการจลาจล

ชีวิตประจำวันที่เคยเป็น เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจพื้นฐาน ชาวบ้านเดือดร้อน กระทบกระทั่งไปหมด

ผมอ่านบทความหนึ่งในเหตุการณ์ฮ่องกงวิปโยค  ระบุว่า ความสะเทือนใจในจารีตของคนจีนฮ่องกงคือ..รอยร้าว ของคนสองวัยในครอบครัวเดียวกัน คือ ลูกในวัยหนุ่มสาวกับพ่อแม่ในวัยกลางคนขึ้นไป..ที่ถ่างออกไปทุกทีๆ

พ่อแม่คนทำมาหากินในฮ่องกงร้อยทั้งร้อย ไม่พอใจกับพฤติกรรมของลูกในเรื่องนี้  ห้ามไม่ให้ลูกไปชุมนุมประท้วง ไม่ว่าจะใช้อำนาจความเป็นบุพการี หรือไม่พอใจ..ไอ้คนนำประท้วงมันเป็นใคร..ญาติทางไหนของตระกูล  มันเคยมีบุญคุณอะไรกับเรา มันอ้างอุดมการณ์ แต่มันหนี เวลาพวกเราเดือดร้อน มันไม่ได้เดือดร้อน

ลื้อไม่รู้เรื่องหรอก  ถ้าไม่มีใครเสียสละ ไม่ลุกขึ้นสู้  ฮ่องกงก็อยู่ในอุ้งบีฑาของปักกิ่งไปตลอด ..ลูกเถียง ด้วยอยู่คนละโลกกับพ่อแม่ 

ที่สุดก็จะเป็นรอยร้าว ที่ถ่างออกทุกวันๆ เพราะลูกหายไปจากบ้าน  ไม่เคยเชื่อ เห็นหัวเห็นหูพ่อแม่

แต่ละครอบครัว ก็ต่างภาวะ มีทั้งพ่อแม่โมโห ด่าทอ ตบผลัวะ… ลื้อเชื่อมันยิ่งกว่าจะเชื่ออั๊วเชื่ออาม่า ที่เลี้ยงดูลื้อมา ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้..ออกจากบ้านไปเถอะ..เรามันอยู่คนละโลกกันแล้ว…จุดแตกหักของหลายครอบครัว  เป็นเช่นนี้

เด็กสาว มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง อยู่กับแม่ ผูกพันกับแม่มาตลอด .. เมื่อเธอออกไปประท้วง..แม่ไม่พูดกับเธอ ทั้งเย็นชา แฟล็ตที่อาศัย ห้องนิดเดียว แต่กลับต่างคนต่างอยู่  แต่ถ้าเปิดปากพูด ก็มีแต่คำด่า จนทำให้เธอขนของออกจากบ้าน ขออาศัยกับเพื่อนสนิทที่ร่วมอุดมการณ์ไปประท้วง..ก็พบว่า ครอบครัวของเพื่อน ก็ไม่ต่างกับครอบครัวของเธอ..คือ มีแต่ความเย็นชา เหมือนอยู่คนละโลก

เธอร้องไห้ คิดถึงแม่ สงสารแม่ว่า จะอยู่ในห้วงทุกข์เพราะการกระทำของเธอปานใด..แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป..

รอยร้าวมันแตกปริไปเรื่อยๆ..กระทั่ง ทุกวันนี้ รัฐบาลปักกิ่ง ออกกฎหมายความมั่นคงแผ่นดินจีน ไม่เพียงบีบคั้น ไม่ให้ “คนรุ่นใหม่” พวกสาวกตี๋โจชัว หว่อง ได้เกิดเป็นคนจีน แต่ยัง ทำให้ คนฮ่องกงอีกเป็นเป็นหมื่นครอบครัว สูญเสียถิ่นที่แผ่นดินเกิด ไปตั้งรกรากในประเทศใหม่

ไม่ใช่ เกลียดชิงชังจีนปักกิ่งจนอยู่ไม่ได้ แต่เป็นการเสียสละชีวิตที่เหลือ ให้กับลูกหลาน ที่อยู่ฮ่องกงไม่ได้ ยอมเป็นพลเมืองอันดับสาม ผิวเหลืองผมดำตาตี่ ในแผ่นดินตะวันตกโลกของคนผิวขาว..มากกว่าจะเป็น จีน

ทุกข์ของอาม่าอากง พ่อแม่ สาหัสเพียงใด..จะสำคัญอะไรหนักหนา เดี๋ยวก็ตายตามอายุขัยไปหมดแล้ว. มันคงคิดเช่นนี้

ผมอ่านแล้วก็เศร้า..ด้วยเพราะ ที่สุด ก็ไม่เห็นมีใครจะอะไรสักอย่าง..มีแต่ความสูญเสียทั้งสิ้น

กระแสจุดปะทุ พลังเยาวชนในบ้านเรา ก็ไม่ได้ต่างไปจากฮ่องกง..โครงสร้างฮาร์ดแวร์เหมือนกัน ผิดกันตรงที่ ซอฟแวร์ ที่เอามาเป็นประเด็น เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ระหว่างกันเท่านั้น

ผมยังคิดเลยว่า..ผมโคตรโชคดี ที่ลูกโตแล้ว อายุสามสิบกว่า มีการมีงานทำมั่นคง รับผิดชอบดูแลชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดี พ่อแม่นอนตายตาหลับ

ยังนึกไม่ออกเลยว่า..ถ้าอายุน้อยลงไปสักสิบห้าปี สิบปี แล้วเป็นพ่อแม่ลูกที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้

สถาบันครอบครัวของผมจะแตกหักแค่ไหน?

ผมจะทำอย่างไรกับลูกตัวเองดี..ถ้ายังออกไปชุมชุม ขับไล่รัฐบาล จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ โจ๋งครึ่มรุนแรง เหมือนอย่างที่ได้แสดง ณ.ศูนย์ธรรมศาสตร์ รังสิต ขนาดนั้น?

ประวัติศาสตร์เรา ไม่ได้เลวร้ายแบบ ปฏิวัติฝรั่งเศส สักผีกริ้น.

วันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น มันมีได้ในสักวัน แต่ต้องเป็นไปตามกลไกแห่งกาลเวลาอันเหมาะสม.

หาใช่เกิดจากความชิงชังของคนหัวรุนแรง เกลียดระบบกษัตริย์  เพียงกลุ่มเดียว 

เกลียดจนหน้ามืด ต้องการสร้างปรากฏการณ์ ให้สะใจ รุนแรง บ่มยิ่งเพาะ เมล็ดพันธุ์เกิดภาวะแห่งความเกลียดชังระหว่างคนในชาติ ถึงปานนั้น

ความขมขื่นของพ่อแม่ ..มันเจ็บปวดที่สุดตรงไหน ทราบไหมครับ

เจ็บปวดตรงที่ คนรุ่นเรายังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัว ของระบบกษัตริย์ ที่ทำให้ คนไทย อยู่รอดปลอดภัยจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน   ..แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลาน มันไม่มีสำนึกอย่างพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด

ลูกเรา เชื่อคนอื่นมากกว่า  ทั้งที่เราที่เลี้ยงดูฟูมฟักด้วยความรักมาแต่ทารก

ชูสามนิ้ว  เชื่อคนอย่าง อาจารย์หลงบ้าปฏิวัติฝรั่งเศส อยากจารึกชื่อตัวเอง ผู้นำก่อการล้มล้างสถาบันสำเร็จ ลูกหลานใครตายก็ช่างแม่ง / เชื่อคนอย่าง ตี๋ไม่ฉลาด รวยแต่เฟอะฟะ นักว่าตัวเองคือ เช กูวาร่า

นั่นยังไม่ทุเรศเท่าเชื่อ ไอ้อ้วนทุเรศทุรัง ชื่อนิกเนมจากอากัปกริยาท่าทางเดินเหินเตาะแตะไม่ปรกติ บ่งถึงการแบก”ปม”แห่งความเกลียดชังเต็มหัวใจ ไม่มีอย่างอื่น         

บุคคลบุคลิกเช่นนั้นยังสามารถเป็น “คนสำคัญ”ขึ้นเวที ละลายยาพิษให้เด็กๆกิน เพื่อลบปมของตัวเองอยู่ได้

มันก่อหวอดกระทำการ แบบที่คนแก่ รุ่นปู่รุ่นพ่อ อยากออกไปหาบ้านเตี่ย บ้านอากงมัน นั่น ทายาทเลือดมึงจริงหรือ?

ถ้าใช่..มึงควรเนรเทศโคตรเหง้าออกจากประเทศไทยเถอะ  เพราะแผ่นดินนี้ ไม่ใช่ที่เกิดของหลานเหลนมึงแล้ว แต่ก็ไม่ใช้ที่ตายของมึงด้วย

ลูกหลานใคร เชื่อมัน คนกลุ่มนี้ยิ่งกว่าพ่อแม่ .ก็ตัดขาด ให้ออกจากบ้านไปเลย

มันขาดความกตัญญูแน่นอน

โตแล้วนี่ จะมาเกาะพ่อแม่แดกทำไม ทำมาหากินเองเถอะ  เราอยู่กันคนละโลกแล้ว

เห็นไหมครับ.. ใครได้เฮี่ยอะไร..นอกจากความสูญเสีย

ยอดทอง