Sport for Life

ชิงสุกก่อนห่าม

วลีนี้ใช้ได้แทบจะทุกวงการของคนกีฬา…ถ้าเป็นมวยก็คือซ้อมก่อนยังไม่ทันอะไรก็ดันให้ขึ้นเวที แล้วก็ถ้าใจรักก็ไปกันต่อ แต่เข็ดก็ตัวใครตัวมัน คือบ้านเราระบบของวงการกีฬายังไม่ทันอะไรก็ใส่กันก่อน ส่วนมากนักกีฬาที่ต้องการจะโลดแล่นในวงการอย่างมีอนาคตมันจะต้องถูกสร้างให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับกีฬานั้นๆ หากจะว่ากันไปอีกก็คงเพราะเรามี “สายป่าน”ไม่พอหรือเปล่า ยกตัวอย่าง “เทนนิส”ที่ผมยึดมาเป็นอาชีพอยู่เนี่ย โดยรวมแล้วถือว่าเรื่องเงินทองนับเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญแรกคือทางบ้านไม่ได้ตั้งเป้าเพื่อกีฬานี้อย่างเดียว… ลูกๆ เองอาจต้องเรียนพิเศษหลังการเรียนปกติอีกราว 1 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงมือครูกีฬาก็ปาเข้าไป 4 โมงกว่าโน่นแล้วเด็กจะเอาอะไรมาฝึกซ้อมกันอีกรึ…แค่เรียนทั้งวันก็หมดไปแล้ว…ไหนจะมีแถมอีกวิชาสองวิชาเข้าไปอีก…จบกัน

ดังนั้นบรรดาครูที่เป็นผู้สอนก็มักจะผลักดันให้เด็กออกไปแข่งเพื่อหาประสบการณ์อย่างที่ทราบมา แต่หารู้ไม่ว่าเด็กที่ไปเจอกับคู่ต่อสู้ที่เป็นระดับมือวางมันน่ากลัวแค่ไหน เพราะอะไรที่เราคิดว่าดีที่สุดที่เรามีเหมือน “ของเล่น”ของเขาไปซะงั้น…ถ้าเล่นจบแบบ 2 ใน 3 เซ็ต มันก็ไม่น่าเกิน 40 นาทีแล้วเด็กจะได้รับรู้รับทราบอะไรกันนักหนา เอาเข้าจริงนะใครก็ตามที่พยายามจะให้ลูกไปออกสนามกันแบบไวไวเราควรมองให้รอบคอบก่อนว่าฝีมือของเรามันมีครบหรือยัง ไม่ใช่จะเอาแต่ผลงานเพื่อเอามานั่งคุยกันไปเรื่อยรุ่มไม่รู้เด็กจะได้อะไรกลับมาบ้าง…

บางครั้งเคยเห็นเด็กมือใหม่ๆ ที่ลงมาแข่ง เล่นไปร้องไห้ไปแล้วแบบนี้ลูกๆ จะเกิดความรู้สึกต่อวิชาที่เขาเรียนมามากน้อยแค่ไหน หรือบางทีอาจจะออกอาการเกลียดชังกีฬาชนิดนั้นเข้าไปเลยก็มี ด้วยความที่อยู่วงการนี้มานานกว่าครึ่งอายุของตัวเองมักจะเห็นอะไรๆ ที่เราพอจะจับมาบอกกล่าวกันได้บ้างก็จะทำ ส่วนจะได้มรรคได้ผลอย่างไรก็สุดแต่ใครจะคิดได้ว่าสิ่งไหนจริงหรือสิ่งไหนเท็จ ยิ่งช่วงนี้เป็นการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์ประเทศไทยด้วยก็เลยอยากจะพูดจะคุยให้ได้นึกกันได้บ้างว่าเราทำต่อลูกหลานนั้นมันดีหรือไม่ดีแค่ไหน เพราะหลังจากที่หมดเด็กที่จะเข้าสู่สนามแข่งขันมานานหลายปีทุกอย่างก็เงียบๆ ไป คนสุดท้ายที่ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมาก็ “Thailand Open” เมื่อครั้ง “Federer”มาแข่งด้วย จากนั้นก็จบถึงแม้จะเข้ารอบคัดเลือกรอบสุดท้ายวงการเทนนิสก็ซบเซาทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ แทบจะไม่มีอะไรเหลืออีกเลย…!

จากทั้งหมดที่เขียนมามันก็คงจะพอสรุปได้ว่าการเป็นผู้สอนใครสักคนแล้วมีเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า “เราจะให้เขาแข่งขันเป็นเรื่องเป็นราว”รูปแบบและระบบการเรียนรู้จะต้องไม่ใช่ “Play For Fun”ทุกอย่างต้องใช่เท่านั้น ความสนุกจะมีแทรกได้แต่ต้องมีข้อแม้อยู่เสมอ กล่าวคือ “ต้องทำได้จึงจะได้สนุกสนาน” อย่าลืมนะครับ “การชิงสุกก่อนห่าม” นั่นคือความทุกข์โดยแท้ของเด็กๆเลยทีเดียว

ครูไก่