Interview

อรพงค์ จินทรักษา

อรพงค์ จินทรักษา
บริษัท เอส.เจ สกรูไทย จำกัด
“เวลาเมื่อเลยไปแล้ว ย้อนกลับมาไม่ได้ ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด”

ลูกชาวนา 100% : เกิดในยุคเก่าเหนื่อยมาก ช่วงปิดเทอม ตื่นตี 5 แบกคันไถ จูงวัวไปไถนา ทำงานตั้งแต่เช้า พอสาย ๆ แม่ถึงเอาข้าวไปส่ง เลิกงานหลังเที่ยง พาวัวไปอาบน้ำ กินหญ้า ไม่เคยขี่หลังวัวเลย เพราะสงสารที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ไถกันเป็นเดือน ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนเลย คิดแต่ว่า ทำไมแม่ถึงบังคับให้ทำงานหนักขนาดนี้ ไม่สนุกเลย ผมเป็นลูกคนที่ 5 น้องชายคนเล็กห่างจากผมแปดปี ยังทำงานไม่ได้ พี่สาวพี่ชาย พอโตก็ออกเรือนกันหมด เหลือแม่ ผมกับน้องชายคนเล็ก อยู่ด้วยกันสามชีวิตเพราะพ่อเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก

ทำงานไม่เคยหยุด : พออยู่มัธยม เลิกเรียนจะได้เล่นกีฬาบ้าง ตกเย็นแม่ก็ตามให้ไปช่วยทำขนมไทย ๆ เพื่อขายตอนเช้า ต้องขูดมะพร้าว โม่แป้ง ทำกับข้าวให้แม่ เด็ก ๆ คิดได้แค่ว่า ทำไมแม่ต้องใช้แต่เรา ต่างจังหวัดมักจะมีน้ำท่วม แต่เราก็อยู่ได้สบายมาก แม่ทอดกล้วยแขก ให้ผมพายเรือไปขายไปตามบ้าน ขายกันตั้งแต่เช้า กว่าจะหมดก็เย็นแล้ว

หาตลาดให้เจอ : วันหนึ่งผมพายเรือไปขายกล้วยแขกที่โรงสีข้าว ราว 11 โมง ได้เวลาพักเที่ยงพอดี แป๊ปเดียวคนก็มารุมซื้อจนหมด ผมดีใจมาก พอกลับบ้านบอกแม่ว่า พรุ่งนี้จะไม่ไปขายตามบ้านแล้ว จะมุ่งมาที่นี่ที่เดียวเลย นี่เป็นบทเรียนแรกที่แม่สอนเรื่องการค้าขาย เมื่อผมมาทำธุรกิจเอง ก็นึกถึงบทเรียนที่สะสมมาจากคำสอนของแม่ การที่ผมต้องทำงาน ทำหน้าที่ต่าง ๆ แบบฝืนใจทำ กลับกลายเป็นเครื่องมือหล่อหลอมให้ผมแข็งแกร่งตั้งแต่เด็ก สะสมความรู้และประสบการณ์อันล้ำค่า ดีใจสุด ๆ ที่คุณแม่ได้ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ อันมีค่ายิ่ง เอาไว้ให้ผมโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว จนทำให้ผมมีวันนี้ได้

เด็กชายขนมจีน : เราขายของกันเหนื่อยมาก จนต้องเปลี่ยนอาชีพ แม่หันไปขายขนมจีนน้ำยา โดยมีผมคอยช่วยหาบ ขายตามงานที่มีหนังตะลุงมโนราห์แสดง ผมไม่เคยได้ดูเลย คอยนั่งล้างจาน ชีวิตเด็กไม่เคยได้เที่ยว มีแต่ ทำงาน ทำงาน และทำงาน จนคิดกันว่าน่าจะทำเส้นขนมจีนขายเองบ้าง เพราะเป็นอาหารยอดนิยมของคนใต้ กำไรดีด้วย ต้องตื่นตีสามลุกขึ้นมาทำเส้นขนมจีน พอเสร็จเช้าขึ้นมาเอาใส่ตะกร้าไปตลาด ขายเส้นขนมจีน โดนครูเรียกหน้าแถวทุกวัน ได้ยินเสียงเรียกว่า “ไอ้เส้นขนมจีน” มาสายอีกแล้ว สมัยก่อนตีหน้าเสาธง เจ็บมาก อายเพื่อน แต่จำเป็นต้องทำ ต้องอดทน พอครูรู้ว่าเราทำมาหากิน ก็ให้โอกาส จนใคร ๆ ก็เรียกผมว่า “ไอ้เส้นขนมจีน” เมื่อผมได้ไปเรียนต่อ ก็ยกกิจการให้พี่สาวพี่ชายจนสร้างตัวกันได้ การค้า กีฬา ก็ต้องสะสม คนที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องสะสมมายาวนาน คนที่รู้จักเก็บ ก็จะประสบผลสำเร็จ อย่างยั่งยืน

ได้เรียนต่อ : ผมทำงานหนัก จนแม่กลับสงสาร อยากให้ลูกได้มีวิชาความรู้บ้าง จึงให้กลับไปตั้งใจเรียน ผมไปสอบที่วิทยาลัยพลศึกษากระบี่ รับนักเรียนราวสองร้อยคน ตอนไปฟังผล ผมไปไล่ชื่อจากอันดับท้ายสุด แต่หาชื่อตัวเองไม่เจอสักที จนถึงลำดับ 10 ใจเสียเลย คิดในใจว่า คงไม่ได้เรียนที่นี่แน่นอน ก่อนไปเจอชื่อตัวเองเป็นที่ 3 ดีใจสุด ๆ ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะติดในลำดับต้น ๆ ไปเรียนเป็นรุ่น 3 ตั้งแต่สถานที่ยังไม่มีความพร้อม อาคารเป็นไม้ไผ่มุงจากชั่วคราว แค่หลบแดดหลบฝน แม่ให้ข้าวสารไปกระสอบ รุ่นพี่บอกว่าเลือดพลศึกษาต้องแรง มาเอาข้าวไปกิน แล้วชวนกันดื่มเหล้าอีก ตอนนั้นผมร้องไห้เลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีความแข็งแกร่ง แต่มันอัดอั้นจนอยากกลับบ้าน

เด็กดีมีคนเอ็นดู : ย้ายออกจากหอไปอาศัยอยู่กับญาติเพื่อนในสถานีตำรวจ กลับบ้านไปเอาจักรยานมาปั่นจากที่พักไปวิทยาลัยฯ เพื่อประหยัดค่าเดินทางมาเรียน ซึ่งเส้นทางเป็นเนินเป็นเขา ขาลงไม่เท่าไหร่ แต่ขาขึ้นแทบไม่ไหว จนในที่สุดก็ต้องไปเช่าบ้านพี่หยอยอยู่ในตลาดเก่าใกล้ ๆ วิทยาลัยฯ ค่าเช่าก็คิดถูก ๆ ผมไปอยู่ที่ไหนก็ช่วยเหลือเจ้าของบ้าน ไม่เคยอยู่เฉย งานบ้านทำเป็นทุกอย่างอยู่แล้ว ช่วยดูแลเด็ก ๆ เก็บกวาดดูแลบ้าน และมี อ.ปกรณ์ ณ พัทลุง คอยช่วยเหลืออีก พอถึงวันที่ 25 ท่านสั่งให้ไปกินข้าวที่ร้านไก่หลง แล้วเซ็นชื่ออาจารย์เอาไว้ กำชับให้ไปคนเดียว อย่าไปหลายคน ครั้งแรกก็งง ๆ แต่มารู้ทีหลังว่า ท่านเข้าใจเด็ก ๆ ช่วงปลายเดือน เงินหมด อาจจะอดข้าว ผมไปแค่ครั้งสองครั้ง แล้วก็ไม่กล้าไปอีก เพราะเกรงใจ แต่ก็ประทับใจสุด ๆ ส่วนที่บ้านเช่า พอปลายเดือน เขาก็ทำกับข้าวให้ผมกินอีก โชคดีที่ไปอยู่ที่นั่น มีผู้ใหญ่หลายท่านเอ็นดู คอยดูแลช่วยเหลือ

เทนนิส : ชอบเทนนิสเพราะเข้ามากรุงเทพฯ กับพี่ชาย ผ่านมาแถวสนามศุภฯ เห็นคนเล่นกีฬากลางแจ้ง ตอนนั้นเรียนพละแล้ว แต่ยังไม่รู้จัก ก็ถามว่าเขาเล่นอะไรกัน พี่ชายบอกว่านั่นแหล่ะเทนนิส แล้วพาไปข้างสนามกีฬาแห่งชาติ ซื้อไม้เทนนิสสำหรับไปเรียนที่วิทยาลัยฯ อาจารย์ (ดร.ปิยศักดิ์ เทียนธวัช) สอนเทนนิสให้จนพอเป็น ผมเคยทำขนมจีน ตำแป้งด้วยสาก จับเส้นในน้ำร้อน จนมือด้านสาก พอมาจับไม้เทนนิส เลยสบายมาก แล้วก็พาผมไปช่วยสอนกับท่าน จนได้ค่าขนมมาบ้าง ทำให้เริ่มพอมองเห็นว่า กีฬาสามารถสร้างรายได้ให้กับชีวิต และเทนนิสก็เป็นกีฬาที่เด่นที่สุดสำหรับผม นำพาชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้าจนมาถึงทุกวันนี้ได้

แม่น้ำเจ้าพระยามีสองสาย : ช่วงใกล้จบจากพลศึกษากระบี่ อาจารย์จะคัดเลือกนักศึกษา 10 คน เป็นตัวแทนมาเรียนต่อที่ มศว.กรุงเทพฯ ผมก็ได้โควต้ามาเรียน เป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุงก็เครียดเหมือนในหนังเลย มีอยู่วันหนึ่งนั่งรถเมล์แบบหลับ ๆ ตื่น ๆ รู้สึกตัวว่าวิ่งข้ามสะพานพุทธ แล้วอีกสักพักข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าอีก ผมก็ตกใจ เพราะเรียนในประวัติศาสตร์ว่า แม่น้ำเจ้าพระยามีสายเดียว แต่ทำไมข้ามสองครั้ง แบบนี้แม่น้ำเจ้าพระยาต้องมีสองสายสิ่ ตกใจหายง่วงเลย มาถึงวันนี้นึกถึงทีไรเล่าทีไรก็ยังขำตัวเอง เราเด็กบ้านนอก ไม่รู้ก็คือไม่รู้

ส่งตัวเองเรียน : ผมอาศัยความเป็นนักกีฬาเทนนิส ในการหารายได้ เพื่อส่งตัวเองเรียนหนังสือ ช่วงซัมเมอร์ สอนเช้ายันเย็น เย็นยันมืด ค่าสอนชั่วโมงละ 80 บาท พอได้เงินมาก็จะเก็บไว้ 80 บาท เพื่อกินข้าว ที่เหลือฝากธนาคาร มีเงินเก็บร่วมสามหมื่นบาทต่อเดือน ต่อมาเริ่มไปแข่งขัน เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น จึงปรับค่าตัวเป็น 120 บาทต่อชั่วโมง ผมเอาจริงเอาจังกับการพยายามให้ความรู้กับคนที่มาเรียน ผมเรียนรู้แนวการสอนแบบต่างประเทศ ด้วยการศึกษาจากตำรา ดูวีดีโอ ทำอย่างไรให้คนที่มาสามารถเล่นเป็นในเวลาสั้น ๆ เป็นได้เร็ว เพราะวิธีเดิม ๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา มันใช้เวลานานมากกว่าจะเล่นได้ นั่นคือจุดเด่นที่ทำให้มีคนอยากมาเรียนด้วย

เลิกคิดทำงานราชการ : พอจบผมไปสอบเป็นนักวิชาการ สอบ 18 คน รับแค่ตำแหน่งเดียว ผมได้อันดับ 1 แต่พอสัมภาษณ์ผมกลับตก ตั้งแต่นั้นมา ผมเลิกคิดเรื่องการทำงานราชการทั้งหมด เพราะถือว่า มันไม่ยุติธรรมสำหรับผม เพราะช่วงเตรียมตัวก่อนไปสอบ ผมขยันจริง ๆ เวลา ไปสอนเทนนิส ไม่ว่าจะเลิกดึกแค่ไหน ผมต้องไปสนามหลวงให้ได้ทุกวัน เพื่อซื้อหนังสือที่แผง 10 ทั้งตำราเรียน ความรู้รอบตัว หัวข้อไหนน่าสนใจ ไม่ว่าจะหนาแค่ไหน คืนนั้นต้องอ่านจนจบ ดึกแค่ไหนก็ต้องอ่านวันละเล่ม เช้า 6 โมง ก็ต้องตื่น ช่วงนั้นที่ทำได้คงเป็นเพราะ ความหนุ่ม ความแข็งแกร่ง จนมีหนังสือสะสมใส่ตู้ไว้เยอะมาก แต่พอสอบรับราชการไม่ได้ ผมขายหมดเลย

เทนนิสเปิดโลกกว้าง : ผมไปสอนเทนนิสที่โรงแรมชั้นนำให้กับชาวต่างชาติที่มาเข้าพัก ทำให้ผมได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง แขกเป็นนักธุรกิจ เป็นคนที่สร้างตัวขึ้นมาจากรากหญ้าทั้งนั้นเลย เขาจะคอยพูดคุยให้กำลังใจเรา ให้ความเป็นกันเอง ให้ความรู้ เมื่อเขาประสบความสำเร็จ ก็อยากจะพูด อยากจะเล่า นั่นคือ การจุดประกายให้ผม ได้ฟัง ได้รับรู้เรื่องราว ที่กว่าจะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ก็เป็นไปได้เสมอหากมีความมุ่งมั่น

ตัดสินใจครั้งใหญ่ : มีหมอที่ทำงานอยู่ในอเมริกา อยากให้ผมไปรัฐคอนเนคติกัต ชวนไปสอนเทนนิสในบ้านเขาเลย แต่ผมไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จึงไม่ไป ประกอบกับพี่ชายของภรรยาผม ชวนให้ไปค้าน็อตสกรู และผมก็คิดว่า ถ้ายังสอนเทนนิสอยู่ วันหนึ่งร่างกายอาจจะสู้ไม่ไหว ถ้ามาเริ่มทำการค้าตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่า แล้วผมก็มาเป็นลูกจ้างในร้าน ทำทุกอย่างอยู่ยี่สิบปี จนมีประสบการณ์ในเรื่องค้าขายสินค้าประเภทน็อตสกรู

เริ่มธุรกิจตัวเอง : ตอนนั้นผมรับเงินเดือนประจำ ภรรยารับราชการ ชีวิตก็พอมีพอใช้ แต่เมื่อเกิดวิกฤติ ปี 2547 ต้องตัดสินใจออกมาทำเอง ตอนนั้นลำบากมาก เงินทุนมีน้อย แต่ผมไม่ยึดติดอะไรเลย ทุกอย่างที่ไม่ได้ใช้ผมขายเอามาทำทุนทางการค้าหมด ทองที่ใส่ แหวนก็ถอด ขายเกลี้ยง จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ใส่อีกเลย เพื่อเปิดบริษัท SJ SCREWTHAI เป็นตัวอักษรที่มีความหมายสำหรับผมมาก S เป็นทั้งชื่อลูกชายและภรรยา J คือนามสกุลของผม และยังมีคำว่า ไทย ที่สื่อความหมายว่า สกรูของไทย ที่ผมภาคภูมิใจ

ทำงานด้วยประสบการณ์ : เวลา 20 ปี สั่งสอนให้รู้ว่า คนเราไม่จำเป็นต้องจบวิชาที่เราคิดว่าถนัดแล้วต้องมาทำงานที่เราถนัดเท่านั้น แต่มันอยู่ที่ประสบการณ์ การฝึกฝน ว่าเราจะเดินไปในเส้นทางไหน มั่นคงกับสิ่งนั้น แล้วความยั่งยืนมันจะตามมา แต่ถ้าถูกฝึกมาผิด ชีวิตก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน ตอนปี 2547 เริ่มตั้งธุรกิจ ยังทำแบบซื้อมาขายไป ยอดขายก็ยังไม่เยอะมาก แต่พอปี 2549 ยอดเริ่มสูงขึ้นมาก ถัดมาอีกปียอดขายกระโดดขึ้นสูงแบบไม่คาดคิด สาเหตุก็เพราะผมไปเสนองาน ที่มาบตาพุด ตอนนั้นผมยังเป็นแค่คนซื้อมาขายไป ขณะที่ทุกบริษัทที่ไปเสนองานด้วยเป็นเจ้าใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ผมเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งสินค้าที่เขาต้องการ เอกสารที่ชาวต่างชาติต้องดู ขณะที่สินค้านี้ รายอื่นก็รู้จัก แต่ให้รายละเอียดแบบเราไม่ได้ ทำให้ผมได้รับการอนุมัติเพียงรายเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการขายล็อตใหญ่ จนบริษัทพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ตอนนั้นทุนยังมีไม่พอ ต้องอาศัยเงินทุนตั้งต้นจากธนาคาร ตั้งแต่ปี 2549 เดือน 9 จากนั้นก็ได้รับการสนับสนุน และเพิ่มทุนจากหลายช่องทางมาเรื่อย ๆ โดยตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น เพราะถ้าพลาด เราเหนื่อยหนักกันแน่ ภรรยาเคยถามว่า เรามาไกลแบบนี้ได้ยังไง คำตอบคือ นี่แหล่ะคือสิ่งที่ผมสะสมมาตั้งแต่เล็ก ๆ ได้อยู่กับครอบครัวภรรยาอีก 20 ปี มันเป็นโรงเรียน เป็นวิชาที่ต้องเรียนรู้แล้วนำมาใช้ ถ้าเรียนรู้แล้วไม่นำมาใช้ โอกาสคงไม่เกิด

การค้าคือกีฬา : สิ่งนี้คือความรู้จากพลศึกษาล้วน ๆ แน่นอน 100% ผมจะไปแข่งขันกีฬาประเภทใดก็ตาม ผมต้องเตรียมพร้อม ฝึกซ้อมอย่างดี เมื่อไปแข่งขัน จะมาบอกว่า แพ้ชนะไม่เป็นไรไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเราเป็นนักกีฬา ไม่ว่าสมัครเล่นหรืออาชีพ เป้าหมายคือต้องชนะ ต้องเป็นแชมป์อย่างเดียว แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาอันถูกต้อง เป็นการค้าขายแบบโปร่งใส เกิดจากสินค้าและความรู้ล้วน ๆ ที่เราให้เขาได้ ผมต้องเตรียมเอกสารเยอะมากเป็นพันหน้า ไปเปิดเพื่ออ้างอิง เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ที่เขาต้องการ ขณะที่คนอื่นก็รู้จักสินค้าตัวนี้ แต่ไม่ได้รู้ลึก ขณะที่ผมศึกษาจนรู้จริง เหมือนคำพูดของ อ.กระแสร์ แสนวิเศษ อาจารย์ของผมที่กล่าวไว้ว่า “เทนนิส ต้องทำให้ถึงแก่น”

นโยบายการค้า : ต้องถามตัวเองว่า รัก ทำ ทุ่มเท ให้กับวิชาชีพของเราจริงมั้ย ถ้าเรารักเหมือนกับภรรยา ครอบครัว นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ครอบครัวมีความยั่งยืน เราใส่ใจตรงนี้ การค้าก็เหมือนกัน ถ้าเรารักลูกค้า ใส่ใจ ดูแลอย่างดี เข้าถึงทั้งสินค้าและผู้ใช้ เมื่อเข้าไปอยู่หัวใจเขาได้ ไม่มีทางที่ลูกค้าจะหนีไปไหน

ความลับทางธุรกิจ : สำหรับผมต้องมีการถ่ายทอด ไม่ใช่เก็บไว้กับตัวจนตายไปด้วย คนรุ่นเก่า โตไม่ได้ เพราะมีหัวเดียว เมื่อไหร่เจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่มีทดแทน แต่ผมสร้างคนไว้ทดแทน วางไว้หมดในตำแหน่งต่าง ๆ เราพัฒนาทางด้านสินค้า เทคโนโลยี ไปพร้อม ๆ กัน กับบุคลากรในเวลาเดียวกัน ทำให้เราได้เปรียบ ผมมองอนาคตไว้ ให้ลูกคนโตไปเรียนอังกฤษ จบการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ความรู้ทางด้านภาษา และยิ่งในปัจจุบัน การทำธุรกิจกับประเทศจีนมีความสำคัญมาก ผมออกทุนส่งเพื่อน ๆ ของลูก ให้ไปเรียนที่จีน เพื่อกลับมาช่วยงาน ส่วนลูกชายคนเล็กเรียนวิศวกรรม ช่วยงานผมได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ผมมีความสุขที่สุดที่วางไว้ คิดไว้ แล้วได้ดั่งใจ

โอกาส : ผมไม่ใช้คำว่าโชคดี แต่จะใช้คำว่า โอกาส ซึ่งบางคนอาจจะแปลความหมายผิดเพี้ยนไป การทำการค้าผิดกฎหมาย การโกงกิน แบบนี้ไม่ใช่โอกาส เรายอมเสียเรื่องแบบนี้ไปเยอะมาก แต่ไม่เสียดายเลย เพราะเราไม่ทำในสิ่งผิด ความอยากได้ ความโลภ ทำให้สูญเสีย สำหรับผม โอกาสที่แท้จริง ต้องใช้เฉพาะทำความดี อย่าคิดทำชั่ว แล้วเราจะยั่งยืน สง่างาม

มรดกพ่อแม่ : วันหนึ่งไปหาหมอ ตรวจร่างกายทั้งหมด หมอบอกว่า คุณมีต้นทุนที่ดีมาก สุขภาพดีมาก ไม่มีอะไรผิดแปลก ยีนส์พ่อยีนส์แม่ให้มาดี ลูก ๆ ก็เช่นกัน ผมจึงสอนเสมอว่า ในเมื่อพ่อแม่ให้สิ่งที่ดีมาแล้ว ทำไมไม่รู้จักดีแลสุขภาพให้ดี โดยการหมั่นออกกำลังกาย เล่นกีฬา ถึงงานจะหนัก เหนื่อย แค่ไหน เราก็ต้องมีเวลาให้กับการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย คนมักจะอ้าง ไม่มีเวลา ทั้งที่จริงแล้ว ทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่

ใช้เวลาให้มีค่า : กีฬา เป็นยาวิเศษ ผมออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำแล้วมีความสุข เมื่อก่อนทำงานเป็นลูกจ้าง เลิกงานก็ไปตีเทนนิสตอนกลางคืน พาลูก ๆ ไปด้วย เพื่อผ่อนคลาย วันเสาร์อาทิตย์จะปลุกลูก ๆ แต่เช้า ไปตีเทนนิสอีก ทำแบบนี้ตลอด ลูก ๆ ก็ชอบ เพราะเวลาเมื่อเลยไปแล้ว ย้อนกลับมาไม่ได้ ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ขณะที่คนอื่นนอนตื่นสาย เราตื่นเช้า ได้ออกมาเล่นกีฬา ก็ได้กำไรแล้ว เวลาเขาให้เรามาเท่า ๆ กัน แต่เราจะใช้มันคุ้มค่าหรือเปล่า สำหรับผมทุกขณะที่ว่าง จะใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งหมด ถ้าฝนตกฟ้าร้อง ไม่ได้เล่นกีฬา ก็ไปออกกำลังกายอย่างอื่น หรืออ่านหนังสือ ดูอะไรที่เป็นประโยชน์ ผมเชื่อมั่นว่า เศรษฐี คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคน อ่านมากี่ตำรา ก็ทำแบบนี้กันหมด ไม่มีใครปล่อยตัวเองให้ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ กอล์ฟ : เพิ่งเริ่มตีไปได้เมื่อต้นปี เคยเล่นมาก่อนหน้านี้ แต่ภารกิจเยอะจนเล่นไม่ได้ พอโควิดมา ก็เริ่มซ้อมที่บ้าน จนออกรอบครั้งที่ 16 ได้เบอร์ดี้แรก ครั้งที่ 20 ได้อีเกิ้ล มีความสุขมาก เพราะผมทำอะไรทุ่มเท จริงจัง เรียนรู้ เอาใจใส่ และรักมัน กอล์ฟ ท้าทายตรงที่ เล่นแล้วเกิดความสงสัยว่า เราเป็นนักกีฬาแท้ ๆ ตีอยู่คนเดียว ลูกกอล์ฟก็ลูกเดียว ทำไมทำไม่ได้ ธุรกิจยากกว่านี้ยังทำได้เลย มันเจ็บใจ อยากจะทำให้ได้ ก็ต้องใช้เวลา สะสมทักษะไปเรื่อย ๆ ครับ