คอลัมน์ในอดีต

ตอนที่ 4 – ความรัก ในคืนส่องจันทร์

เย็นมากแล้ว   ตะวันคล้อยต่ำลงจนเกือบมิดดวง  เงาของดวงตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้าสะท้อนลงในน้ำเป็นระลอกคลื่นสีทองกระเพื่อมพลิ้วเป็นวงกว้าง  ยายพริ้มนั่งบนระเบียงหน้าเรือนมองดูสรรพสิ่งรอบกายด้วยความรู้สึกที่แปลกไปกว่าทุกวัน

“ลำน้ำโขงวันนี้ช่างดูเงียบเชียบกว่าปกติ เรือที่เคยแล่นผ่านไปมาแทบไม่ได้ยินเสียง น่า

แปลกจัง”

ยายพริ้มรำพึงกับตัวเอง…ยังไม่ทันขาดช่วงความคิด เสียงเจ้าพบก็ดังมาแต่ไกล

“ยายครับๆ”

หยุดหอบหายใจ จนเดินมาใกล้ตัวยายพริ้มจึงพูดต่อเพราะวิ่งกระหืดกระหอบแทนการ

เดินซึ่งเป็นนิสัยประจำของเจ้าพบ  หน้าตาเด็กชายบ่งบอกถึงคำถามที่ฉงนสนเท่

“ยายครับ  เขาพูดกันว่าวันนี้จะมีพญานาคขึ้นมาส่องจันทร์เหรอครับ เพราะเป็นวัน

พระจันทร์เต็มดวง จริงๆรึยาย”

ยายพริ้มยังไม่ทันให้คำตอบ เจ้าแพก็วิ่งมาหยุดอยู่ข้างๆเจ้าพบอีกคนหนึ่ง

“ชาวบ้านแถวโน้นเขาพูดกันว่า จะมีพญานาคมาเล่นน้ำตอนกลางคืนคืนนี้ เขาเตรียม

อะไรไว้เซ่นไหว้กันด้วยนะจ๊ะยาย จริงรึเปล่ายายจ๋า”

หญิงชรา…เอามือลูบหัวเจ้าเด็กน้อยทั้งสองอย่างอ่อนโยน

“เจ้าอยากฟังกันจริงๆหรือ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน แล้วยายจะเล่าให้ฟัง”

สองหนูน้อยรีบกุลีกุจออาบน้ำประแป้งหน้าขาววอก แต่ยังคงใส่โจงกระเบนตัวเก่ามานั่ง

หน้าแป้นฟังหญิงชราเล่าด้วยใจจดจ่อ  ยายพริ้มดวงตายิ้มละไม ความทรงจำยังคงงดงามแม้จะเนิ่นนาน หญิงชรา..หลับตาลงแล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจ

“พญานาคเขามีบ้านเรือนอยู่ใต้พิภพของโลกมนุษย์เรานี่แหละลูก ลึกลงไปใต้ชั้นดินถึง ๑ โยชน์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร เขาเรียกว่าเมืองบาดาล  ที่นั่นเพียบพร้อมด้วยปราสาทราชวังอันแสนวิจิตรงดงาม   พร้อมเพชรนิลจินดามากมาย เหมือนสรวงสวรรค์ มี ๗ ชั้น คนโบราณมีความเชื่อกันว่าพญานาคเป็นเทพที่คอยปกปักรักษาวัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา   ส่วนมากแล้ววัดจะสร้างพญานาคไว้ตรงบันไดทางขึ้นทั้งสองข้าง หรือบนหลังคาโบสถ์ ศาลา พญานาคเป็นเทพที่ใจบุญสุนทาน ชอบฟังธรรม ถือศีล พญานาคก็คือพระราชาของงู  งูทั้งหลายเป็นบริวารของพญานาคซึ่งมีกายทิพย์ มีฤทธานุภาพฤทธิ์เดชมหาศาล สามารถจำแลงแปลงกายเป็นอะไรได้สารพัดตามแต่ปรารถนา คนโบราณยังเชื่อว่า สายรุ้งกับพญานาคเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ ด้านล่างของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปด้านบน เมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นสายฝน ที่ลำตัวของพญานาคเสมือนท่อส่งน้ำ”

ยายพริ้มหยุดพักเหนื่อยเพราะการพูดยาว  ๆ  แต่ใบหน้ายังคงยิ้มละมัยอย่างมีความสุขที่ได้มีโอกาสเล่าถึงความเป็นมาของพญานาคที่แกเคารพบูชามาเนิ่นนาน

“ลำน้ำโขงบ้านเรานี่แหละลูก  ตรง เวินสุก มีกษัตริย์ล้านช้างซึ่งมีพระราชธิดา ๓ พระองค์ ได้สร้างพระพุทธรูปล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าองค์อื่นๆตั้งชื่อว่า พระสุก พระเสริม  พระใส ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่ประเทศสยามในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จากภูเขาควาย โดยประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้าน เวินแท่น ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ แท่นของพระสุก ได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ ……”

“อู๊ย…….”

เจ้าพบ  เจ้าแพ  ส่งเสียงประสานพร้อม  ๆกัน

“โดยขณะนั้นมีพายุแรงจัด เสียงฟ้าคำรามคะนองลั่นทั่วบริเวณนั้น พระสุกก็จมดิ่งลงไป

ในลำน้ำโขง เสียงฟ้าฝนจึงสงบลง เหลือเพียงพระใสและพระเสริม ขบวนอัญเชิญจึงได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง   ต่อมาบริเวนที่หลวงพ่อพระสุกจมลงไปนั้นเรียก เวินสุก”

“ไม่มีใครลงไปช่วยกันงมหลวงพ่อพระสุกขึ้นมาหรือครับยาย”

เจ้าพบทำหน้าเศร้า  ยายพริ้มยิ้มอ่อนโยน

“นี่เป็นเรื่องเล่านะลูก  เขาเรียกกันว่าเป็นตำนาน………….หลวงพ่อพระสุกลงไปอยู่เมืองบาดาลใต้ลำน้ำโขงท่านก็ถูกอัญเชิญไปเป็นพระประธานให้เหล่าพญานาคกราบไหว้บูชา ปฏิบัติธรรมทำความดี เหล่าพญานาคจึงมีองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ หลวงพ่อพระสุก นี่แหละลูก วันไหน ขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง หลังจากปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นทิพยกษัตริย์เหล่าพญานาคก็จะขึ้นมาส่องแสงจันทร์เพื่อรับพลังแสงของพระจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ ชาวหนองคายถือว่าเราเป็นลูกหลานพญานาค ก็จะตระเตรียมของเพื่อถวายสักการะ ส่วนใหญ่จะเป็นบายศรีนะลูก  คนทำบายศรีก็ต้องตั้งจิตมั่น และต้องเป็นคนปฏิบัติธรรม ซึ่งเขาจะมีของเดิมอยู่แล้วจึงจะทำได้สำเร็จไม่ใช่ใครๆก็ทำได้ เมื่อสักการะเสร็จก็จะต้องนำบายศรีไปลอยน้ำโขง โปรยข้าวตอกดอกไม้ จะเป็นดอกไม้อะไรก็ได้ แล้วแต่ใครจะศรัทธาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เดี๋ยวยายก็จะเตรียมบายศรีคารวะ พบไปเก็บดอกบัวหลวงที่บานแล้วริมคลอง ส่วนแพไปเก็บดอกมะลิข้างบ้านนะลูก ยายจะไปตัดใบตอง คืนนี้ยายจะพาหลานทั้งสองทำพิธีคารวะท่านปู่พญานาคราช และท่านย่าพญานาคี เมื่อท่านทั้งสองขึ้นมาส่องจันทร์”

เด็ก  ๆมีสีหน้าตื่นเต้นกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“เราจะได้เห็นท่านปู่พญานาคราชกับท่านย่าพญานาคีไหมคะยาย”

“ถ้าอยากพบท่านก็ต้องตั้งใจอธิษฐานดี ๆ….เอ้า..ตอนนี้รีบไปเตรียมของที่ยายบอก  ค่ำ

มากจะทำอะไรไม่ทัน  ยายก็จะไปตัดใบตองเตรียมทำบายศรี”

ยายพริ้ม…ตระเตรียมทำบายศรีคารวะเพื่อจะนำมาใช้ในการสักการะท่านปู่พญานาคราช

ท่านย่าพญานาคี ในคืนเดือนเพ็ญค่ำคืนนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สองเด็กน้อยจึงกุลีกุจอทำทุกอย่างตามยายพริ้มสั่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้นในสิ่งที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกที

ยายพริ้มเริ่มสอนการกรองมาลัย ตั้งแต่การทำแป้นใบตองที่ใช้สำหรับรองด้านล่างเวลาร้อยมาลัย  เพื่อสะดวกในการจับ ดอกมะลิจะได้ไม่เลื่อนหลุด จนได้มาลัยเสร็จสมบูรณ์ ยายพริ้มสอนการทำบายศรีคารวะทีละขั้นตอนด้วยจิตวิญญาณที่นิ่งสงบ

“บายศรีในคืนนี้ต้องเป็นบายศรีคารวะ”

ยายพริ้มรำพึงเบา  ๆกับตนเอง  เจ้าแพที่นั่งอยู่ข้าง  ๆถามว่า

“ทำไมต้องเป็นบายศรีคารวะจ๊ะยาย”

“นั่นสิครับยาย  บายศรีมีหลายแบบหรือครับ”

สีหน้าของเด็กทั้งสองแสดงความสนใจใคร่รู้ไปทุกสิ่ง  ยายพริ้มฉีกใบตองไปพร้อมกับ

บอกเล่าให้ความรู้ในเรื่องบายศรีแก่เด็กน้อย   

“เราต้องรู้ก่อนว่าบายศรีคืออะไร………………….”

ยายพริ้มเริ่มให้ความรู้

“บายศรีคือเครื่องใช้ในพิธีกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัว….บายศรีแต่ละชนิดก็ใช้ในโอกาสต่าง  ๆกัน  เช่นบายศรีปากชาม  จะใช้ในการบูชาเทพยดา  ครูบาอาจารย์   และใช้ในการบวงสรวงในทุก  ๆพิธีกรรม….บายศรีเทพ  จะใช้ในพิธีสักการะบูชาเทพยดา  บายศรีพรหม  จะใช้ในการบวงสรวง  เช่นการตั้งศาล  การไหว้ครู  บายศรีคารวะใช้ในพิธีการบูชาพญานาค  ยังมีประเภทของบายศรีอีกมากมาย  ยายเองก็ไม่ได้รู้แจ้งทั้งหมดหรอก  รู้เฉพาะที่ต้องใช้ประจำเท่านั้น”  

ผู้สูงวัยบอกเล่าเรื่องความรู้ในการทำบายศรี  คนฟังก็เพลินฟัง  เพลินทำตามที่ยายพริ้มทำ  ไม่นานบายศรีคารวะของยายพริ้มก็เสร็จเรียบร้อยสวยงาม  สีเขียวสดของใบตองที่พันถักสลับเลื่อมลายกลายเป็นพญานาคงามประณีต  ประดับด้วยกลีบดอกบัว  ดอกมะลิ ดอกไม้หอมต่าง  ๆที่ผู้เยาว์ทั้งสองเสาะหามาให้ ฝีมือของยายพริ้มประณีตบรรจงด้วยจิตที่ตั้งมั่นในการบูชาท่านปู่พญานาคราชและท่านย่าพญานาคี  เจ้าพบและเจ้าแพพลอยได้ซึมซับงานฝีมือนี้อย่างไม่รู้ตัว

 เพราะเจ้าพบเจ้าแพอยากเห็นด้วยตาทั้งสองมากกว่าคำบอกเล่า ยายพริ้มจึงทำทุกอย่าง

เพื่อให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองได้เห็นด้วยตาเนื้อเพื่อเป็นบุญเป็นกุศลในภพชาตินี้ ยายพริ้มทอดสายตาไปยังลำน้ำโขงอันกว้างใหญ่และลึกล้ำ พึมพำอยู่ในใจ…

“หลวงพ่อพระสุก ผู้เป็นพี่เสียสละพร้อมลงไปประทับอยู่เมืองบาดาลแต่ผู้เดียว ผู้เป็นพี่

ยอมเสียสละแทนน้องๆฉันใดก็ฉันนั้น แต่คงอีกไม่นานที่ทั้งสามพี่น้องจะต้องมาพบกันในภพมนุษย์ กว่าจะถึงวันเวลานั้น ทั้งสามภพต้องมาบรรจบครบรอบตรงกันพอดี ซึ่งในภพมนุษย์กับภพบาดาลเป็นภพที่ซ้อนภพกันอยู่แล้ว”

………………………………………….

เวลาคืบคลานใกล้เข้ามาทุกที ยายพริ้มบอกเจ้าพบ เจ้าแพให้หยิบผ้าขาวสะอาดที่จัดเตรียมไว้ปูให้ตึงตรงผืนทรายริมฝั่งโขง แสงจันทร์สาดส่องลงมายามนี้สว่างสดใสกระทบผิวน้ำเห็นระลอกคลื่นพลิ้วไหว

บายศรีคารวะถูกจัดวางลงตรงกลางผ้าขาวผืนนั้น มีพานวางดอกไม้ธูปเทียน ผลหมากรากไม้ และของหวานไว้พร้อมสรรพโดยปราศจากของคาว

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว”

ยายพริ้มพูดกึ่งกระซิบ

“เมื่อพระจันทร์อยู่ตรงกลางเหนือศีรษะพอดี ยายจะเริ่มพิธีทันที..  เจ้าทั้งสองต้องตั้งจิต

ให้มั่นคงอย่าวอกแวก  อย่าส่งเสียงดัง”

หญิงชรา…พนมมือตั้งจิตอธิษฐานรำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็น ผู้ตื่น

 ผู้รู้ ผู้เบิกบาน และองค์แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ หลวงพ่อพระสุก ซึ่งขณะนี้ประดิษฐานเป็นองค์พระประธานอยู่ในใต้พิภพเมืองบาดาล ตั้งนะโม ๓ จบแล้วสวดมนต์……….

“ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ บูชา พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ เทพยาฟ้าดิน ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ๑๔ ชั้นบาดาล เป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า”

แล้วหญิงชราก็ก้มลงกราบ กล่าวซ้ำไปมาสามครั้ง

“อุกาสะ อุกาสะ ดอกไม้ธูปเทียนชวาลา รูปนามและชีวิต พร้อมไปด้วยการปฏิบัติ ทั้งภายในและภายนอก ขอบูชาแก่พระโพธิญาณ พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง ขอให้พระแม่ธรณี จงมาเป็นทิพญาณให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า นิพพานปัจจโย โหตุ

อิติสุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง”

หญิงชราท่องบทสวดอย่างต่อเนื่องขณะที่เสียงน้ำผุดเริ่มดังขึ้นคล้ายน้ำพุสูงขึ้นเรื่อยๆ

มองดูเหมือนเกร็ดเพชรพลอย ส่องประกายแวววาว สายตาของแพและพบจ้องไปตรงจุดนั้น ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นๆจนเด็กน้อยทั้งสองหลงอุทานออกมา หญิงชรายังคงหลับตาแต่ปรามว่า

“นิ่งๆถ้าอยากเห็นความงดงามขององค์พญานาคราชและพญานาคีอันเป็นทิพย์”

หญิงชรายังคงท่องอิติสุคโต ซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นเจ้าพบเจ้าแพ ก็ร้องอุทาน…อีกครั้ง

 แล้วสองเด็กน้อยก็ต่างเอามือป้องปากซึ่งกันและกัน จับมือกันไว้แน่น ทั้งๆที่อยากจะร้องอุทานออกมาดังๆ แต่หญิงชรากระแอมเหมือนเป็นการเตือนให้อยู่นิ่งๆ

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเด็กน้อยทั้งสอง คือลำแสงสีเขียวพุ่งตรงมาที่องค์พญานาค

ราชและพญานาคีเป็นประกายสีเขียวมรกตและสีทองเหลืองอร่าม งดงามยิ่งนัก ทั้งสององค์เกี่ยวรัดชูเศียรผงาดคู่กันขึ้นเหนือน้ำรับแสงจันทร์ที่กำลังส่องสว่างสุกใสบนท้องฟ้า มองเห็นความสง่างาม ความมีอำนาจอย่างชัดเจน หงอนสีแดงเข้มทำให้ดูน่าเกรงขาม

หญิงชรายังคงหลับตานิ่งท่องอิติสุคโต…ปล่อยให้หนูน้อยทั้งสองชมความงดงามของ

ท่านปู่พญานาคราช ท่านย่าพญานาคี ผู้มีบุญญาธิการยิ่งนัก ทั้งสององค์แหวกว่ายบนผืนน้ำรับพลังอันยิ่งใหญ่จากแสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ จนดวงจันทร์คล้อย หญิงชราค่อยๆลืมตาขึ้นและกล่าวว่า

“เป็นบุญของข้าพเจ้าและลูกหลานเหลือเกินที่ได้ยลความงดงาม ความสง่างามของทั้ง

สององค์ท่าน บุญกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้ากระทำมาตั้งแต่อดีตชาติถึงชาติภพปัจจุบัน ข้าพเจ้าขออุทิศถวายให้ท่านปู่พญานาคราช ท่านย่าพญานาคี ให้ได้รับบุญกุศลเสมอกันกับข้าพเจ้า”

หญิงชราก้มลงกราบ และกล่าวคำบูชาอีกครั้งก่อนภาพที่ปรากฏนั้นจะค่อยๆเลือนหายไป

ลำน้ำโขงขณะนั้นนิ่งสงบไร้คลื่นลมเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย  เด็กน้อยทั้งสองยังคงหมอบนิ่ง  สิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่เหมือนจะทำให้ โลหิตในร่างกายหยุดไหลเวียน  ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวระคนกับความเคารพศรัทธาที่บังเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า  นับเป็นบุญล้นเหลือที่ได้มีโอกาสพบเห็นท่านปู่พญานาคราชและท่านย่าพญานาคี  จะมีผู้ใดในแผ่นดินแถบนี้ได้รับโอกาสนี้บ้างไหม

“พบ แพ ว่าตามยาย ลูก”

เสียงของยายพริ้มทำให้ภวังค์ที่กระเจิดกระเจิงของพบและแพกลับคืนมา

“กายะ วาจาจิตตัง อะหังวันทา ท่านปู่พญานาคราช ท่านย่าพญานาคี เทวาปูเชมิ

พุทธังบังเกิด เปิดโลกนาคิน
ธัมมังบังเกิด เปิดโลกนาคิน
สังฆังบังเกิด เปิดโลกนาคิน
สังฆบาทา

ยายพริ้มนำเด็กน้อยทั้งสองกราบลงบนพื้นทรายด้วยความเคารพสูงสุด

มณีจันทร์ฉาย