เรื่องของเทพ
เรื่องของเทพ
ด้วยชีวิตของครูไก่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ครึ่งร้อยกว่าปีเข้าไปแล้วนะครับ เท่าที่จำได้ยังไม่เคยได้พบได้เห็นอะไรที่มีความแปลกทางความคิดมากขนาดนี้ ในสมัยนั้นมันก็คือ “ของเล่น”ชนิดนึงเท่านั้น ความหลงในความคิดที่งมงายขาดความเข้าใจในตัวเองนั้นไม่มี ถึงเวลาเลิกเล่นก็เก็บเข้ากล่องเข้าลังรวมไปกับของเล่นอื่นๆ พอนึกอยากจะเล่นเราก็เอาออกมาสร้างเรื่องสร้างราวสนุกสนานกันไปตามประสาเด็กๆในสมัยนั้น…
แต่สิ่งผมต้องเลิกเล่น”ตุ๊กตา”ไปเลยก็น่าจะมาจากละครทีวีสมัยนั้นที่มีเด็กถูกทรมานในโรงงานอะไรสักอย่างจนเสียชีวิตไปแต่ว่า “ตุ๊กตา”ของเล่นแกยังอยู่ที่โรงงานพร้อมคำพูดว่า “หนูอยากกลับบ้าน”..พอละครเรื่องนี้ของเล่นที่เป็น “ตุ๊กตา”เหมือนคนก็ต้องมีอันต้องย้ายที่อยู่ จากเคยเป็นของครูไก่ก็ยกให้ชาวบ้านเขาไปหมด…
แล้วเรื่องทำนองนี้ก็หายไปจากสมองมานาน แต่พอมาเจอ “ลูกเทพ”เข้าให้ บอกได้เลย “หนูอยากกลับบ้าน” ก็กลับมาอีกครับ ถึงแม้อายุผมขนาดนี้แล้ว ความ “กลัว” ในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่องมันก็ยังมีอยู่ เหมือนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหลังจากเล่นกอล์ฟเสร็จพวกเราก็ไปทานอาหาร ซึ่งร้านอยู่แถวสุขุมวิท 23 แถบนั้นก็มีร้านที่เราชื่นชอบอยู่หลายร้านเหมือนกัน… ร้านที่ผมชอบกินนี่เป็นร้านที่ต้องจองมาก่อน เพราะในบางโอกาสก็เต็มต้องคอยนานโขอยู่…
ทันทีที่ผมได้ที่นั่ง…แม่จ้าว…ด้านหน้าผมเป็น “ลูกเทพ”นั่งเก้าอี้เด็กพร้อมอาหาร 1 ชุด แล้วสุภาพสตรีผู้เป็นเจ้าของเธอก็พูดคุยกับ “ลูกเทพ” นั่งเก้าอี้เสมือนประหนึ่งเป็นของที่มีชีวิตจริง ชายที่เป็น “สามี”หรือเปล่าไม่ทราบนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลูกเทพนั่นเอง…ไอ้เราทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมาก็ต้องป๊ะกับครอบครัว “ลูกเทพ”เข้าให้ หรือจะก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวมันก็จะผิดปกติในการรับประทานอาหารกับคนอื่นไปฉิบ…
จากพฤติกรรมแบบนี้ถ้าคนทั้งโลกเขาทำกันมันก็คงไม่แปลกประหลาดแต่อย่างใดว่ามั้ย สำหรับบ้านเราเมืองเราเกิดกระแสความนิยมเช่นนี้ผมว่ามันจะยังไงอยู่นา เพราะการที่คนเราจะหาที่พึ่งทางจิตใจอะไรสักอย่างมันคงจะต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริงจะด้วยทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม เหตุและผลจะต้องสามารถจะคานอำนาจของความเป็นจริงได้ แต่เรื่องของ “ลูกเทพ”นี้ผมเองคิดไปคิดมาหลายรอบอยู่เหมือนกันนะครับ ก็พอจะสรุปได้ว่าคนเราน่าจะเกิดจากความขาดที่พึ่งบางอย่างเข้าให้แล้วครับ โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เอา “ลูกเทพ”ไปลงคาถาอาคมกันมากมายก่ายกอง…
แบบนี้ก็ต้องระวังกันไว้ให้จงหนักเพราะอาจจะโดนข้อหา “ใช้แรงงานเด็ก” มันจะเดือดร้อนกันอีกนะครับ…เอ้าครานี้ก็ยากจะบอกว่าสิ่งที่บรรดาคนเหล่านี้ขาดเห็นจะเป็น “การขาดที่พึ่งแห่งตน” นั่นเอง เพราะถ้าใครก็ตามยังคงยึดมั่นถือมั่นได้ว่า “ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน”ได้แล้วอะไรก็จะเข้ามารบกวนชีวิตเรายากครับ…จำไว้นะครับ “ตุ๊กตา”คือของเล่นชนิดหนึ่งเท่านั้น การที่เราจะให้ของเล่นมา “ดลบันดาล”ความมั่งความมีคงเป็นไปได้ยากมาก เพราะชีวิตที่เราดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบันนี้มันคือของจริง ร่างกายและจิตที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นชีวิตนั้นมันเกิดจากความ “รัก”ของมนุษย์เราทั้งสิ้น…
ว่ากันไปของเล่นอย่างไรเสียมันก็เป็นของเล่นอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเราจะปลุกเสกอะไรเข้าไปมันก็ยังคงเป็นของเล่นอยู่ดีนั่นแหละครับ คงจะจำกันได้เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็เคยมีเทพนึงที่ไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลยก็ “องค์จตุคามรามเทพ”นั่นเอง บอกได้เลยผมก็มีอยู่ 3 องค์เหมือนกันหากแต่อยู่ในลิ้นชักหัวนอน ณ ขณะนี้ ไม่ต้องพาออกไปในสังคมให้ใครๆเขามองว่าเป็นของแปลกประหลาดแต่อย่างใด…
ถ้าผมจะหาลุกเทพสักตัวผมอยากได้เจ้าตัวที่อยู่ในหนังครับ หน้าตาดุเดือดเลือดพล่านดีนักแล อย่างน้อยพาไปไหนด้วยก็อุ่นใจได้ระดับนึง เพราะเจ้าตัวนี้มันดูจะโหดทั้งตระกูลกันเลยทีเดียว ใครจะคิดปองร้ายเราเดี๋ยว “ครอบครัวเทพ”นี้คงปกป้องเราได้บ้างน่า…ผมเองก็นึกชื่อไม่ออกว่า “ครอบครัวเทพ”ที่ผมนึกถึงเขาชื่ออะไร หลายท่านคงนึกออกนะครับเจ้าตัวที่หน้าตาเอาเรื่องแล้วเที่ยวถือมีดไล่จ้วงใครต่อใครเขานั่นแหละ…
ก็ไหนๆจะมีลุกเทพแล้วก็ขอให้มันสุดขั้วไปเลยดีมั้ย เอาแบบใครเห็นแล้วนึกถึง “สันดาน”เจ้าของออกได้เลย เอาเจ้าตัวนี้ไปปลุกเสกกับเขาได้เลย มันจะช่วยเราได้แน่ในทุกเรื่อง ยกเว้นเขาจะไปปลุกเราเพราะเราไม่ใช่ “เสก โลโซ”…
เรื่องมันก็เป็นแค่กระแสความเชื่อส่วนใครจะคิดอย่างไรก็สุดแท้แต่จะคิดกันไป ตัวผมเองยืนยันได้ว่าผมออกจะ “กลัว”ความนิ่งของสิ่งเหล่านี้เหมือนเวลาผมไปดู “หุ่นขี้ผึ้งไทย” สวยมั้ยมันสวยเหมือนมั้ยมันเหมือนแต่ผม “กลัว” เพราะถ้าวันดีคืนดีเจ้าพวกนี้เกิดยักคิ้วหลิ่วตาได้ขึ้นมาก็คงต้องกล่าวว่า “ตู…ปะไป…ก่อนนะ”…บ้าย..บาย…
ครูไก่