ลูกเรามีอัจฉริยะแบบไหน?
เคยได้ยินประโยคที่ว่า เด็กคือผ้าขาว หรือไม่? หากเด็กคือผ้าขาวจริงๆ นั่นหมายความว่า พี่น้องกัน อยู่บ้านเดียว ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนกัน ก็ต้องได้ออกมาเหมือนกัน ใช่หรือไม่? แต่…เราก็ได้ยิน ได้เห็นมามากเช่นกัน ว่าเด็กที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน เลี้ยงดูมาเหมือนกัน แต่กลับไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเลย นั่นเป็นเพราะเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน จึงไม่เหมือนกัน วันนี้ เราจะมาพูดถึง Talent Dynamic ซึ่งเป็นพัฒนามาจากศาสตร์อี้งจิ้งโบราณที่ทมีอายุหลายพันปี ซึ่งทำให้เราทราบถึงท่าถนัดของแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่า หากเรารู้ท่าถนัดของลูกเรา เราก็สามารถพัฒนาเค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ เช่น หากลูกเราเรียนรู้ได้ดีผ่านการฟัง แต่เราให้เค้าอ่านหนังสือ นั่นหมายความว่าเค้าอาจต้องใช้เวลานาน เปรียบเหมือนคนถนัดขวาแล้วถูกบังคับให้ใช้มือซ้าย ถามว่าทำได้ไหม ทำได้แต่คงไม่ดีเท่ากับใช้สิ่งที่ถนัด แบบนี้แล้ว คงอยากรู้แล้วสิว่า ถ้าท่าถนัดนั้นมีอะไรบ้าง แล้วลูกเราเป็นแบบไหน?
เราเชื่อว่าทุกคนคืออัจฉริยะโดยธรรมชาติ หากเราสามารถได้ทำในสิ่งที่เราถนัด ในเมื่อเป็นเรื่องธรรมชาติ ขอแบ่งอัจฉริยะออกเป็น 4 แบบ ดังนี้
1.อัจริยะนักสร้างสรรค์ เด็กกลุ่มนี้จะเป็นนักคิดนักสร้างสรรค์ เปรียบได้กับฤดูใบไม้ผลิที่มีการผลิใบแตกยอด เช่นเดียวกับไอเดียใหม่ๆที่ผุดขึ้นตลอดเวลา เด็กกลุ่มนี้จะชอบอะไรที่ท้าทาย หากนึกถึงในห้องเรียน เด็กกลุ่มนี้จะอยู่ไม่นิ่ง เนื่องจากพลังงานสูง และชอบความสนุก ดังนั้นการเรียนต้องสนุกดึงดูดใจเด็ก ที่สำคัญ เด็กกลุ่มนี้จดจำเป็นภาพ สามารถจดจำใบหน้าได้ดี เวลาเดินทางไปไหนด้วยกัน ก็จะจำทางเก่ง
2.อัจฉริยะนักสื่อสาร เด็กกลุ่มนี้ชอบการสื่อสารเป็นที่สุด เปรียบเสมือนฤดูร้อนที่สดใสมีปาร์ตี้สนุกสนาน เพราะเค้าสามารถเข้าหาผู้คนใหม่ๆได้อย่างง่ายดาย เป็นคนมีเพื่อนเยอะ หากนึกถึงเด็กกลุ่มนี้ในห้องเรียน จะเป็นคนที่ชอบชวนเพื่อนคุย และนั่นคือสิ่งที่เด็กกลุ่มนี้เรียนรู้ได้ดี นั่นคือเรียนรู้จากการพูดคุย หากเธอต้องนั่งฟังนิ่งๆ รับรองได้เลย เรียนไม่รู้เรื่องแน่ๆ ลองสังเกตุว่าลูกเป็นเด็กกลุ่มนี้หรือไม่ ถ้าใช่ ให้ลูกได้ลองเล่าว่าวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง เพื่อให้เค้าได้พูดคุยอภิปรายช่วยในการจดจำ
3.อัจฉริยะนักสังเกต เด็กกลุ่มนี้ชอบสังเกต และมีความใส่ใจ เปรียบได้กับฤดูใบไม้ร่วง ที่ดูอบอุ่น เค้าจะดูห่วงใยเพื่อน และคนในครอบครัว ถ้าถามถึงเรื่องการเรียนรู้ เด็กกลุ่มนี้เรียนรู้ได้ดีผ่านการลงมือทำ และต้องเป็นในรูปแบบที่เราร่วมจับมือทำ ด้วยความเป็นนักสังเกตหากข้อมูลไม่มากพอให้เค้ามั่นใจ เค้าจะไม่กล้าลงมือเอง
4.อัจฉริยะนักวิเคราะห์ เด็กกลุ่มนี้ชอบวิเคราะห์ ไม่ชอบผู้คนเยอะๆ เปรียบได้กับฤดูหนาวที่ต้องอยู่นิ่งๆ ในห้องเรียนเด็กกลุ่มนี้จะนิ่งๆ ชอบเล่นคนเดียว หรือหากเค้าจะมีเพื่อนสนิทสักคน เค้าต้องใช้เวลานานกว่าจะคบเป็นเพื่อน จะเรียกว่าช่างเลือกก็ได้ ในการเรียนหนังสือนั้น หากเป็นรูปแบบการเรียนในระบบ จัดได้ว่าเป็นรู้แบบที่เหมาะสมกับเด็กกลุ่มนี้อยู่แล้ว ดังนั้นแล้วเ็ดกลุ่มนี้มักจะเรียนเก่ง เพราะชอบอะไรที่เป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์และจดจำได้ดี
หลังจากรู้จักอัจฉริยะทั้ง 4 แบบแล้ว ลองสังเกตดูสิว่าลูกเราเป็นแบบไหน ที่สำคัญแล้วเราในฐานะพ่อแม่ที่เป็นอัจฉริยะแบบไหน ลองคิดดูหากลูกเป็นเด็กที่ชอบเข้าสังคม ชอบมีเพื่อน แต่พ่อแม่เป็นคนรักสันโดษ หรือ ลูกเป็นเด็กที่ชอบสร้างสรร ชอบอะไรใหม่ๆ และพ่อแม่เป็นคนที่มีระบบระเบียบ คิดว่าการเลี้ยงดูจะออกมาเป็นอย่างไร และลูกจจะเป็นอย่างไร ดังนั้นแล้ว การที่เราเข้าใจทั้งตัวเราเอง และเข้าใจธรรมชาติของลูก จึงช่วยให้ความสัมพันธ์ในบ้านดี ที่สำคัญเมื่อลูกได้เป็นธรรมชาติที่เป็นเค้านั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงอัจฉริยะของเค้าออกมา แล้ววันนี้ลูกคุณเป็นอัจฉริยะแบบไหน?
ดร.อมร นันทวะกุล