ปิดเทอมของฉัน ผ่านไปเร็วจัง
ปิดเทอมของฉัน ผ่านไปเร็วจัง
(แต่ช่างยาวนานสำหรับพ่อ)
ในวัยเด็กของผม วันปิดเทอมช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแต่รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียวก็จะต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว ช่างต่างจากวันนี้ที่รู้สึกว่าช่วงปิดเทอมของลูกช่างยาวนานเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงที่พี่เลี้ยง ลากลับบ้านช่วงปีใหม่นั้นแทบไม่ต้องทำอะไรเลยอยู่กับลูกอย่างเดียว เพราะลูกผม ทั้งสองคน ซนทั้งคู่ คนเล็ก อายุสองขวบหน่อยๆ เป็นช่วงอายุที่ ฝรั่งเรียกว่า “Terrible Twos คือช่วงอายุประมาณ สองขวบกำลังเริ่มรู้เยอะขึ้น แต่จะหงุดหงิด วีนบ้านแตกเป็นประจำหลายๆครั้งเพราะอยากจะทำอะไรด้วยตัวเอง แต่ทำไม่ได้ บางครั้งก็สื่อสารความต้องการกับผู้ใหญ่ไม่ได้คือยังพูดไม่เก่ง ก็เลยหงุดหงิด อีกทั้งยังเจอข้อบังคับอีกมากมายที่ขัดใจหนูเหลือเกิน เด็กน้อยน่ารักจึงกลายเป็นเด็กแสบดิ้นอยู่บนพื้นให้เห็นทุกวัน ช่วงปิดเทอมของเด็กปีนี้ผมจึงยุ่งมากๆ และก็เป็นสาเหตุทำให้ผมส่งบทความฉบับนี้ช้า (ขอใช้ลูกเป็นข้ออ้างหน่อยนะครับ)
ช่วงนี้เปิดเทอมแล้วดีขึ้นหน่อย แล้วได้เที่ยวกันเต็มอิ่ม ทั้งภูเขา, ทะเล, ไปต่างประเทศ, เที่ยวในประเทศ เรียกว่าเก็บแต้มกันเต็มที่เพราะมีคนพูดไว้ว่าเดี๋ยวพอลูก อายุ สิบขวบเค้าก็จะไม่ค่อยอยากไปเที่ยวกับเราแล้ว อยากอยู่กับเพื่อนมากกว่า ช่วงนี้จึงเที่ยวกันให้เต็มที่ เราไปกันมาหลายที่ พักโรงแรมดีๆ กินอยู่สบายกันแล้ว แต่ภาพที่ผมประทับใจก็คือภาพที่เด็กๆ เดินไปเที่ยวทุ่งนากัน วันนั้นชวนเพื่อนๆลูกและผู้ปกครองที่สนิทกัน ไปเที่ยวที่สนามกอล์ฟ แต่ไม่ได้ไปตีกอล์ฟ ไปเกี่ยวข้าวกัน ได้เกี่ยวจริง สีข้าว และฝัดข้าวกันเอง ตอนแรกผมก็นึกว่าเด็ก 5-6 ขวบ จะไม่สนใจมากนักฟังเราอธิบายซักพักคงวิ่งเล่นกันต่อแต่ปรากฎว่าเด็กๆ สนใจฟังและสนุกกับการฝัดข้าวมากแม้จะ ทำหกจากกระด้งไปเยอะก็ไม่เป็นไรสุดท้ายก็ยังได้กินข้าวที่ เด็กๆช่วยกันสีและฝัดด้วยตัวเอง
เด็กกรุงเทพฯรุ่นนี้จะว่าไปก็โชคดีกว่ารุ่นผมหน่อย ตอนผมเด็กๆนี่จะรู้จักทุ่งนาจาก แบบเรียนภาษาไทย มานะ มานี และกว่าจะได้ไปเที่ยวบ้านญาติที่ต่างจังหวัดก็น่าจะ 10 กว่าขวบแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นตื่นเต้นมากเพราะเคยเห็นแต่ตึกและถนนปูนในกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ผู้ปกครองพยายามอย่างมากเพื่อให้ลูกได้วางไอแพด วางหนังสือ ออกมาวิ่งเล่น กันให้มากขึ้น และเด็กๆก็สนุกกว่าอยู่ในบ้านหลายเท่า วันที่พาเด็กๆไปดูทุ่งเลี้ยงวัวควายนั้น แค่เดินลงจากรถก็เริ่มสนุกจากการเดินหลบขี้วัวแล้ว ภาพเด็กๆจากกรุงเทพฯแต่ละคนย่องหลบกองขี้วัวกันอย่างระมัดระวัง แถมทำหน้าเหม็นขี้วัวกัน แต่พอเดินไปอีกหน่อยเจอต้นมัยลาภ ก็ได้รุมเอานิ้วจิ้มให้ใบมันหุบลงกันอย่างเมามันส์ เพลินกันจนไม่ยอมเดินต่อ พ่อ แม่ ต้อง บอกให้เดินไปอีกนิดก็จะเห็นวัวควาย แล้ว พอเดินไปเห็นวัวควายตัวเป็นๆเท่านั้น ทุกคนลืมแล้วว่าต้องเดินหลบขี้วัว จมูกก็คงจะชาไปแล้ว เด็กๆ จึงวิ่งเข้าไปหาฝูงวัวควายกันแบบไม่เกรงกลัว ตอนแรกก็ยืนมองกันอยู่ไกลๆ ทั้งคนทั้งควายต่างก็ กล้าๆกลัวๆแต่ก็อยากรู้อยากเห็น พอรู้ตัว พวกเราก็ตกอยู่ในวงล้อมแล้ว ขนาดผมเดินทุ่งนาบ่อยยังไม่เคยอยู่ใกล้ชิด เหมือนญาติสนิทกัน ขนาดนี้เลย ถึงแม้เจ้าของจะอยู่ด้วย แต่วัวควายฝูงนี้มีไม่ต่ำกว่า 50 ตัว ตัวใหญ่เขาแหลมทั้งนั้น แต่วันนั้นดูไม่มีใครกลัวเลยโดยเฉพาะเด็กๆ สนุกสนานกันมาก คนมอง วัว ส่วนควายก็มองคน มองกันไป มองกันมา อยู่กว่าครึ่งชั่วโมงจึงเดินกลับไปขึ้นรถกันแบบ มีความสุขปลอดภัย ประทับใจกันทั้งคนและวัวควาย
ปิดเทอมนี้ไปมาหลายที่แต่ที่ประทับใจผมและเด็กๆน่าจะชอบด้วยก็คือทริปทุ่งนา และผมคิดว่า ผู้ปกครองก็น่าจะประทับใจด้วยโดยเฉพาะ ผู้ปกครองท่านนึงซึ่งเป็นผู้โชคดีเพราะเด็กๆเลือกที่จะไปนั่งรวมกันในรถตู้ของผู้ปกครองท่านนั้น เนื่องจากรถของทานเป็นรถตู้หรู เบาะ หนัง VIP เด็กเห็นแล้วชอบใจจึงเลือกนั่งคันนี้กลับโรงแรมกัน แต่ลืมไปว่ารองเท้าของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยปุ๋ยคอก กว่าจะถึงโรงแรมเด็กๆ กระโดดโลดเต้นฝากรอยเท้าและปุ๋ยคอกบนรถตู้คันนั้นอย่างเต็มที่ แม้กลิ่นจะติดรถไปอีกเป็นอาทิตย์ แต่คงไม่เท่าความทรงจำดีๆที่จะติดตัวเด็กๆ ตลอดไป
Oat