Interview

มงคล คงสุขจิร

มงคล คงสุขจิร
บริษัท ดีพีลโล 999 (ประเทศไทย) จำกัด
“ไม่เอาเปรียบคนอื่น ไม่เอาเรื่องเข้าบ้าน”

เรียนเก่งก่อน แล้วค่อยมาเก : ผมเรียนหลายแห่ง ปานะพันธุ์วิทยา, ศรีวิกรม์ แต่มาจบที่ เทพลีลา เด็กๆ เคยเรียนเก่งมาก่อน ได้เกรดสี่เกือบหมด สอบได้อันดับต้นๆ ตลอด แต่พอถึง ม.ต้น เกรดเริ่มลดลง ยิ่งพอ ม.ปลาย แทบไม่เหลือ เรียนแค่ผ่าน แต่เกเรของเราก็มีแค่เล่นเกมส์ มีเที่ยวกลางคืนบ้าง เพราะผมมีรถขับตั้งแต่ ม.1 ไม่อ่านหนังสือ ไม่เรียน แต่ไม่เคยมีเรื่องกับใคร

พ่อแม่ไม่บังคับ : ที่น่าแปลกคือท่านไม่เคยบังคับผมเรื่องเรียนเลย โดยเฉพาะคุณแม่ บอกว่า ถ้าไม่อยากเรียน ก็ไม่ต้องหนีเรียน ให้อยู่บ้าน พอไปโรงเรียนเพื่อนถามว่าไปไหนมา ก็บอกว่าอยู่บ้าน จนเพื่อนๆ สงสัยว่าทำแบบนี้ก็ได้หรือ พ่อแม่ไม่ว่ารึไง ก็ยืนยันว่าทำได้จริงๆ ซึ่งคุณแม่ยังบอกว่า ถ้าไม่อยากเรียน ให้ไปรวมตัวที่บ้านได้เลย เวลาอาจารย์ถามผู้ปกครอง ว่าลูกไปไหน แม่ก็จะบอกว่า ไม่ได้ไปไหน เขาไม่อยากเรียน ก็ให้อยู่บ้าน ส่วนเพื่อนๆ จะมาตีปิงปองกันทั้งวัน ดูทีวี ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้พากันไปเกเร แต่ไม่ไปเรียน แม่ทำกับข้าวให้กินด้วย ตกเย็นก็แยกย้ายกลับบ้าน จนหม่าม้ารู้จักเพื่อนทุกคน

วิธีเลี้ยงลูกของแม่ : ณ วันนั้น ถ้าผมไม่อยากเรียน ก็ไม่ต้องหนีไปที่อื่น ไม่ต้องโกหก ไม่ต้องแต่งตัวออกจากบ้าน แล้วไปไหนก็ไม่รู้ ซึ่งอาจจะไปอยู่กับสังคมไม่ดี อาจจะไปทะเลาะวิวาทจนได้รับอันตราย หรือติดยาเสพติดไปแล้ว การที่เราไม่เสียคน อยู่รอดปลอดภัย อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูด้วยสไตล์แบบนี้หรือเปล่า จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ตัดสินไม่ได้ ว่าหม่าม้า เลี้ยงลูกเป็น หรือไม่เป็นก็ไม่รู้ แต่นั่นก็ทำให้ผมเติบโตขึ้นมาจนมีวันนี้ได้

ไปนอกเพราะดื้อ : ป๊าบอกว่า ถ้าเอ็นทร้านซ์ไม่ติด ต้องไป ออสเตรเลีย ตอนนั้นยังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะมหาวิทยาลัยเอกชน ที่เป็นทางเลือกสำรองก็มีเยอะแล้ว แต่วันแรกของการสอบ ผมยังไปดูคอนเสิร์ตพี่ปุ๊ อัญชี ที่ เดอะ พาเลซ สุดท้ายก็สอบไม่ได้ แต่ผมก็ยังไม่คิดอะไร จนป๊า บอกให้ผมต้องไปเซ็นชื่อรับเอกสารเรื่องการเรียนต่อ ซึ่งพอไปถึงเขาก็บอกว่าพ่อผมว่ามาติดต่อเรื่องการเรียนไว้ให้หมดแล้ว มีแต่ผมเองที่ไม่เคยไปเลย เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปจริงๆ

Home Sick : ผมถูกส่งไปเรียนที่เมลเบิร์น ป๊าให้ไปก็ต้องไป อยู่นั่นแล้วถึงเข้าใจคำว่า Home Sick ว่าเป็นยังไง สมัยนั้นโทรศัพท์แพงมาก ต้องอาศัยการเขียนจดหมายไปหาเพื่อนๆ แล้วสั่งให้ตอบกลับทุกคน เพราะชีวิตผมอยู่ได้ด้วยจดหมายอย่างเดียวเลย ถ้ากลับมาที่พักแล้วไม่มีจดหมาย ชีวิตมันเศร้าจริงๆ สภาพแวดล้อมที่อยู่สมัยนั้นเต็มไปด้วยป่า พอวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะนั่งรถไฟเข้าเมืองไปเที่ยว แต่ก็พบกับเมืองที่เงียบมากๆ ร้านรวงปิดหมด คนส่วนใหญ่ไปปิคนิก ไปสวนสาธารณะ ไปเล่นกีฬากันหมด

ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย : ใช้ภาษามืออย่างเดียว จนต้องเดินหาคนไทยว่าอยู่ไหน ที่ได้ภาษาเร็วก็เพราะกล้าพูด พูดไว้ก่อน ถูกผิดค่อยว่ากัน พอพูดผิดมันก็ใช้งานไม่ได้ เดี๋ยวเรียนรู้เอง ก็ต้องปรับเปลี่ยนจนถูก หาคำศัพท์ง่ายๆ ที่รู้จักมาใช้ให้คนอื่นเข้าใจ ผมต้องไปเรียนเพื่อปรับตัวด้านภาษาหนึ่งปี พอพูดได้ก็ไปเรียน ม.6 ซ้ำอีกปีที่ Taylors Senior College แล้วมาจบปริญญาตรี และอนุปริญญาโทจาก Deaking University สาขานิเทศศาสตร์ ตามที่เคยตั้งใจอยากจะเรียน เพราะไม่ชอบวิชาคำนวณ จึงเลือกวิชาอะไรที่ไปเรียนแล้วทำให้ผมอยากไปเรียนอีก ตอนเอ็นทรานซ์ก็เคยเลือกสาขานี้

เรื่องจำฝังใจ : คนไทยเรามักจะตอบ ใช่ หรือ Yeh ไว้ก่อนไม่ว่าจะเรื่องอะไร วันนึงผมนั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือ เจอคนขับรถเมล์คนใหม่ พอไปถึงแยก เขาถามผมว่าต้องเลี้ยวซ้ายใช่มั้ย ซึ่งจริงๆ ต้องเลี้ยวขวา เพื่อไปสถานีรถไฟ แต่ผมดันไปตอบ Yeh เขาก็เลี้ยวซ้ายตามคำตอบเราทันที วินาทีนั้น ผมตกใจมาก คิดได้เลยว่า เราก็ฟังรู้เรื่องว่าเขาถามอะไร แต่ทำไมเรากลัวถึงขนาดต้องตอบ Yeh ไปโดยไม่รู้ตัว รีบขอโทษคนขับ ไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ตั้งแต่นั้นจึงฝึกให้ตัวเองค่อยๆ ฟังให้ดี ให้เข้าใจ แล้วคิดก่อนตอบทุกครั้ง

เจอเพื่อนคนไทย : ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี ในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ ครูเขียนคำว่า Theme ให้อ่าน เพื่อนที่อยู่ข้างๆ จะช่วยบอก แต่ผมก็ลุกขึ้นด้วยความมั่นใจ บอกว่าเรารู้ แล้วอ่านด้วยเสียงดังฟังชัดว่า เดอะ มี เล่นเอาหัวเราะกันดังลั่นทั้งชั้น Thai Boy แจ้งเกิดเลย พอออกจากห้องเรียนก็มีคนมาทักว่า คนไทยรึเปล่า และนั่นคือเพื่อนคนไทยคนแรกของผมที่ออสเตรเลีย พอเริ่มมีเพื่อน ก็มารวมตัวอยู่บ้านคนไทยด้วยกัน เลิกเรียนก็ไปเที่ยว ยังไม่ทำงาน

บุญคุณเด็กล้างจาน : ผมได้ทำงานครั้งแรก ที่ร้านบ้านไทย เพราะเพื่อนสละแบ่งวันล้างจานให้ผม ทำให้รู้จักคำว่าบุญคุณเป็นครั้งแรก แล้วก็พูดถึงเสมอจนทุกวันนี้ ตอนเริ่มเขาจะสอนวิธีล้างจานให้ แต่ผมบอกไม่ต้องสอนหรอก เพราะผมไม่ใช่ลูกคุณหนู งานแค่นี้ทำได้แน่นอน แต่ร้านนี้ เป็นร้านอาหารไทยที่ขายดีที่สุด พอเข้าไปในครัวก็เห็นว่า ทำไมหม้อ กระทะ เครื่องมือต่างๆ เยอะแยะขนาดนี้ พอเข้าไปทำถึงได้รู้ว่า เขาแกงหนึ่งครั้ง ก็ล้างเลย ไม่มีการใช้ซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นแกงเขียวหวานแบบเดิมตลอด ทำเอาผมล้างไม่ทัน และทำให้รู้ว่า แม้กระทั่งการล้างจาน ยังต้องเรียนรู้ เช่นเวลาล้างหม้อที่มีด้ามก็ต้องจับให้หันเข้าหาตัว เพื่อจะได้มีแรงขัดพวกกะทิออกหมด แล้วพอลูกค้าเริ่มเข้าร้านเยอะๆ จานใบเล็กๆ ที่ยังไม่ต้องรีบใช้ก็ไม่ต้องล้าง เก็บเอาไว้ก่อน ให้ไปล้างประเภทที่จำเป็นตามลำดับความสำคัญ ทำจนเริ่มพูดคล่องก็ออกมาเสิร์ฟ รับออร์เดอร์ได้ สักพักก็ขยับขึ้นมาเป็นผู้จัดการวัน มีหน้าที่ต้องไปก่อนเวลา คอยถอดเทปจากเครื่องตอบรับ ฟังเสียงลูกค้าที่โทรมาจองล่วงหน้า แล้วก็จัดโต๊ะรอ เสิร์ฟบ้างนิดหน่อย เพราะต้องคอยทำบิล เก็บเงิน แต่เราไม่ได้ทำหน้าที่ทุกวัน จะสลับกันกับเพื่อน วันไหนเขาทำ เราก็ไปเสิร์ฟ ทำงานนี้อยู่ยาวจนกระทั่งกลับ

ประสบการณ์งานเสริม : เคยลองไปเก็บพืชผัก วันแรก ตีห้ารถตู้มารับ ไปส่งเราที่ฟาร์ม หนาวสุดๆ เขากำลังพรวนดินที่จะปลูก ให้เราคอยเดินตามเก็บวัชพืช เก็บเศษหญ้า ได้ค่าแรงแบบเหมาเป็นวัน ก็ผ่านไปได้ด้วยดี พอวันที่สอง พาไปทำงานที่ฟาร์มถั่วลันเตา วันนี้เขาจะจ่ายเงินตามน้ำหนักถั่วที่เก็บได้ เราก็คิดในใจว่าจะเก็บให้หมด เพื่อได้น้ำหนักเยอะๆ แต่พอตอนเลิกเขาเปิดถุงมาตรวจสอบ ปรากฎว่าโดนตำหนิอย่างแรง เพราะเราเก็บไม่เป็น ใช้ไม่ได้ โดนสั่งเลยว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้ว นั่นทำให้ผมเคยทำงานในฟาร์มแค่สองวันก็เลิก

กีฬาก็เล่น : เคยเป็นนักกีฬาแบดมินตันโรงเรียน พอไปอยู่ออสเตรเลีย บรรยากาศมันเอื้ออำนวยต่อการเล่นกีฬามาก ทำให้ได้เล่นหลายอย่าง เจ็ตสกี ก็เล่นจนมีเป็นของตัวเองพร้อมอุปกรณ์ครบ กอล์ฟก็ได้เล่น อะไรที่เขาเล่นกันก็เล่นด้วยหมด จนมาปวดหลังเพราะทำงาน แบกของหนัก ขนเครื่องแกงที่ร้านอาหาร จนหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทำให้เล่นอะไรหนักๆ ไม่ได้อีก แล้วก็ห่างหายกีฬาไปเลย ตอนหลังมาบรรเทาอาการด้วยการเล่นโยคะ ทำให้ยืดระยะการกดทับออกไปได้ ไม่เจ็บปวด แต่ถ้ากลับไปเล่นกีฬาที่กระทบกระเทือนอีก ก็จะเจ็บอีก

ใกล้ชิดศิลปิน : ผมทำงานที่ ร้านพาทีไทย เจ้าของคือคุณแทน ปัณฑุรอัมพร แห่งวง เอ้าท์ไซเดอร์ เจ้าของเพลง ทิ้ง ซึ่งสนิทและนับถือกันเป็นพี่น้องมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นเริ่มทำดนตรีพอดี ผมก็ตีกลองเป็นเพราะเคยเรียนตอนเด็ก ก็ไปสนุกสนานที่โน่น คุณแทน อยู่ออสเตรเลียนานจนภาษาไทยเริ่มอ่อนแอ ตอนแต่งเพลงผมก็อยู่ด้วย ช่วยกันเกลาเนื้อหา ตอนทำมิวสิควีดีโอ ผมก็ได้ใช้วิชาที่เรียนมาช่วย หาโลเคชั่นให้เข้ากับสตอรี่บอร์ด ตอนวงเอ้าท์ไซเดอร์มาทัวร์ที่ประเทศไทย ผมก็มาด้วย แล้วยังเคยเปิดค่ายเพลง คิดว่าจะทำเทป ช่วงนั้นยังใกล้ชิดกับศิลปินค่อนข้างเยอะ แต่พอดียุคสมัยเปลี่ยน จึงต้องหยุดโครงการไว้ก่อน

อยากเข้าวงการบันเทิง : เรียนจบเอกรายการโทรทัศน์ ไฟแรงมาก อยากจะกลับมาพลิกวงการทีวีเมืองไทย เลยไปสมัครงานกับรายการทีวีดังๆ หลายแห่ง เพราะผมนำเกมส์โชว์ ประเภท คำถาม คำตอบ แล้วเอาผู้ชมจากทางบ้านมาเล่น ขณะที่บ้านเรายังมีแต่ดารา ซึ่งยุคนั้นกำลังนิยมในออสเตรเลียไปเสนอ แต่ทุกคนปฏิเสธกันหมด, พอบันเทิงไม่ได้ ก็หันไปทางรายการข่าว จะทำรายการแบบเจาะลึก นำเสนอตรงไปตรงมา แต่ทุกคนก็บอกว่า ทำแบบนี้ ตายแน่ จนไม่มีใครเอาเราเลย

หางานจนได้ : กลับมาเปิดหนังสือพิมพ์หางาน พี่สาวก็แนะนำว่า ให้เลือกงานทางด้านการขาย เพราะจะทำให้รู้กับคนเยอะ พอได้เรียกตัวให้ไปสัมภาษณ์ ก็ไม่รอให้เขาสัมภาษณ์ แต่เรากลับสัมภาษณ์เขาซะเอง คุยกันครบ 3 ภาษาเลย จีน ไทย อังกฤษ ความโชคดีคือเจ้านายเป็นเด็กอเมริกา จึงเข้าใจเรา ไม่งั้นเราคงถูกไล่ออกมาแน่ๆ ในที่สุดเขาก็รับเข้างาน

ทำแค่ปีเดียวแต่คุ้มค่า : เจ้านายถามว่าจะทำงานที่นี่นานแค่ไหน ผมตอบว่า จะอยู่แค่ปีเดียว เจ้านายบอกว่า ถ้าเป็นที่อื่น พูดตรงๆ แบบนี้เขาไม่รับหรอก แต่ผมกลับรู้สึกดีกว่าที่จะพูดกันตรงๆ แล้วก็อยู่แค่ปีเดียวจริงๆ แต่เป็นหนึ่งปีที่คุ้มค่ามาก ได้ทำงานทุกแผนก ว่างเมื่อไหร่อาสาไปช่วยคนอื่นหมด เป็นนิสัยที่ถูกสอนมาว่า ให้อยากรู้อยากเห็น อยากช่วยเหลือ ผมทำงานเกินเวลาตลอด พอครบปี เจ้านายไม่ให้ออก แต่ผมก็ออก

เป็นเจ้านายตัวเองครั้งแรกในชีวิต : ผมรับงานสองแห่งพร้อมๆ กัน เป็นงานติดวอลเปเปอร์ งานแรกของเพื่อนพี่สาวไม่มีปัญหา ทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เรียบร้อยดี แต่อีกแห่งกลับตรงกันข้าม ที่รับทำเพราะช่วงนั้นอยากได้งาน แต่งานเสร็จก็ยังเก็บเงินไม่ได้ ผมผิดหวังในความตั้งใจที่ทุ่มเทกับงานที่ทำให้ รู้สึกว่า เราง่าย แต่ทำไมกลายเป็น เราโง่ ทำไมเราถึงโดนหลอกตั้งแต่งานแรก ผมไปบอกกับป๊า ท่านก็โทรกลับไปคุยกับคนที่จ้าง บอกว่า เงินที่คุณติดลูกชายผม มันไม่ได้มากสำหรับครอบครัวเรา แต่คุณกำลังจะทำให้เด็กคนนึงต้องเสียกำลังใจนะ ป๊าพูดสอนทางโทรศัพท์จนเขายอมจ่าย แต่ผมรู้สึกว่าพอแล้วกับงานแบบนี้ ขอกลับเมลเบิร์นดีกว่า กะไปอยู่ที่นั่นเลย พอเจอเฮียแทน เขาถามว่า จะมาอยู่เลย หรือแค่ชั่วคราว ตอนนั้นยังมีความลังเล เฮียจึงบอกว่า ถ้าคำตอบยังไม่ชัดเจน ให้กลับไปเลย

ได้ธุรกิจผ้าม่านจากความบังเอิญ : กลับมาก็เตรียมจะทำธุรกิจน้ำดื่ม ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย ซึ่งบ้านเรายังไม่มี เตรียมการไว้หมดแล้ว แต่พอดีเพื่อนจะเปิดธุรกิจผ้าม่าน ขอให้ไปด้วย เพราะบริษัทที่จะติดต่ออยู่ใกล้กับบ้านผม ก็ไปนั่งคุยกับเจ้าของ วันต่อมาเพื่อนบอกว่า เขาคนเดียวทำไม่ได้ บริษัทไม่ยอม ต้องให้ผมไปเข้าหุ้นด้วย ขอให้ผมไปช่วยจัดตั้งบริษัทให้หน่อย เสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป แต่ในที่สุดผมก็ทำธุรกิจผ้าม่านมาจนถึงวันนี้

นวัตกรรมพลิกชีวิต : วันนี้ผมหันมาทำเรื่อง นวัตกรรม ตอนแรกแค่แตะๆ แต่หลังจากศึกษาเรื่อง Zinc หรือ สังกะสี  พบว่ามีประโยชน์มาก สรรพคุณหลากหลาย ทำให้ผมทุ่มเทชีวิตทั้งหมดทำงานนี้ เพราะมีประโยชน์มากกับชีวิตจริงๆ เช่น เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงเอนไซม์ ซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ซึ่งพวกเรากิน Zinc ในรูปแบบต่างๆ กันอยู่แล้ว

D Pillow : เปลี่ยนโลกแห่งการนอน เพราะการนอนสำคัญที่สุด คุณต้องนอนอยู่บนที่ที่ดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ผมจึงพยายามทำความฝันนี้ให้เป็นความจริง ทำให้คนรู้จักนวัตกรรม Zinc Oxide ทำให้คนเข้าใจว่า Zinc มีประโยชน์ยังไง และเส้นใยที่มี Zinc เป็นส่วนผสม ยังช่วยป้องกันเชื้อรา ป้องกันไรฝุ่น ป้องกันเชื้อโรคแบคทีเรีย สรรพคุณทั้งหมดนี้ผมอ้างอิงจากการค้นคว้าและงานวิจัยที่เชื่อถือได้ มีหลักฐานอย่างชัดเจน ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายๆ

ไว้ใจได้ : คุณเชื่อผม ไว้ใจผม แค่เรื่องเดียวก็พอ ว่าผมนำ Zinc ไปใส่ในผลิตภัณฑ์จริง เป็นการผสาน Nano Zinc Oxide เข้าไปในเส้นใย ทำให้ไม่หลุดลอก ไม่สลายไปในการซักปกติตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนเรื่องสรรพคุณอื่นๆ เป็นข้อมูลสาธารณะไปค้นหากันเองได้เลย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความจริง

ผลิตภัณฑ์ของคนไทย : ผมยังมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ผู้คนรู้จักกับคุณสมบัติของ Zinc Oxide และทำให้รู้ว่าคนไทยได้ค้นพบกรรมวิธีที่จะผสานเส้นใยกับ Zinc Oxide ได้สำเร็จเป็นเจ้าแรกและคนไทยถือลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง เราจึงมีความภาคภูมิใจที่เป็นสินค้าที่ผลิตได้เองในประเทศ ถ้าไม่ทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ผมก็อาจจะเลิกทำธุรกิจไปแล้ว เพราะมีความสุขกับการทำบุญมากกว่า

ชอบทำบุญ : ทำมาเยอะมาก ทำมาตลอด หลายหลายรูปแบบ แต่ไม่เคยหวังผลใดๆ ผมไม่รู้หรอกว่า บุญกุศลหน้าตาเป็นยังไง รู้อย่างเดียวว่า ทำแล้วสุขใจ เคยมีคนถามเหมือนกันว่า ทำไมคนที่ทำบุญมากมายก่ายกอง แล้วยังประสบปัญหาชีวิตได้ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังเจอปัญหาสารพัด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกัน มันคนละเรื่อง ผมไม่รู้วันตาย ถ้ารู้อาจจะไม่เป็นคนแบบนี้ก็ได้ แต่ผมแยกแยะว่า ตายไปแล้วอะไรเอาไปได้ อะไรเอาไปไม่ได้ ผมฝึกมรณานุสติทุกวัน เพราะรู้ว่าจิตดวงสุดท้ายสำคัญอย่างไร เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย เพราะจิตสุดท้ายของคนเรา จะอยู่ที่ไม่กี่วินาทีก่อนจะจากไป ผมพูดติดตลกอยู่เสมอว่า ถ้าผมกำลังจะตาย ยมทูตให้นึกความดี ถามถึงบุญที่เราทำว่ามีอะไรบ้าง ผมจะบอกให้เตรียมสมุดมาจดได้เลย มันเยอะมาก เพราะชีวิตที่ผ่านมาผมให้มาตลอด

คำสอนพ่อ : ในชีวิตนี้ ผมจำได้ขึ้นใจกับคำสอนที่ป๊าพร่ำสอนเราตั้งแต่จำความได้ นั่นคือ อย่าเอาเปรียบคน อย่าเอาเรื่องเข้าบ้าน ผมเชื่อว่าเป็นคำสอนสั้นๆ แต่สองประโยคนี้ ก็ครอบจักรวาลแล้ว ใครเอาเปรียบเราได้ไม่ว่า ผมยินดี แต่เราอย่าไปเอาเปรียบใคร, เวลาไปไหน หรือคิดจะทำอะไร ถ้าจะเกิดปัญหา แล้วเรื่องนั้นจะตามกลับเข้าบ้านด้วย ก็ต้องหยุด ไม่ทำเด็ดขาด คิดแค่นี้ความวุ่นวายในชีวิตก็หายไปเยอะแล้วครับ