โลกที่ต้องก้าวเดินใน พ.ศ. 2556
โลกที่ต้องก้าวเดินใน พ.ศ. 2556
วันเวลาผ่านมารวดเร็วนะครับ มาถึงหลักกิโลเมตร พุทธศักราช 2559 แล้ว
ผ่านเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อย่างเงียบๆ จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีเอาเสียเลย
มากมายหลายบริษัท ไม่มีโบนัสให้รางวัลแห่งการทำงานกับลูกน้องในขวบปีที่ผ่านมา และไม่ขึ้นเงินเดือนสำหรับปีใหม่ที่มาถึง ใครรับไม่ได้ ลาออกจากงานก็ไม่เป็นไร ด้วยชีวิตใครก็ต้องดิ้นรนช่วยตัวเอง คนเก่าออก คนใหม่ก็ไม่เพิ่ม ย่อสัดส่วนทุกอย่างตามสภาพ อยู่กันได้ ยังดีกว่า อยู่กันไม่ได้หมด มันคือสภาพความจริง
มีหลายบริษัทปิดตัวกันเป็นแถบ ที่น่าสะเทือนใจคือ ส่วนใหญ่คือบริษัทที่ดำเนินการมานานนับแต่รุ่นอากง ลุ่ยเตี่ย ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ส่งทอดเป็นมรดกถึงรุ่นหลัง แต่มาถึงยุคนี้เดินต่อไปไม่ได้ ด้วยผลิตภัณฑ์หมดยุคแล้ว ไม่ใช่ความต้องการของคนรุ่นใหม่ หรือไม่อาจปรับตัวให้ทันต่อวิทยาการโลกได้ อะไรก็ตามที่ก้าวไม่ทันโลก ก็ย่อมหยุดไว้กับอดีต ไม่พ้นหลักกิโลเมตรแห่งการเวลาที่เคลื่อนไปข้างหน้า ไม่เคยรอใคร
ที่แน่ๆคือ ธุรกิจสิ่งตีพิมพ์ ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ไปจนถึงหนังสือแมกกาซีนต่างๆ กำลังจะหมดไปในเวลาไม่เกินสองทศวรรษนับแต่นี้
เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่มีมาก่อนหน้านี้กว่าสิบปีมาแล้ว ด้วยโลกยุคใหม่ถูกครอบคลุมด้วยเทคโนโลยี่ดิจิตอล การสื่อสาร การเสพสื่อ ผ่านจอโทรทัศน์ ผ่านจอโทรศัพท์มือถือ มีราคาถูก มีความรวดเร็ว กว้างไกลไพศาล
คนรุ่นใหม่ยุคนี้ไม่หยิบหนังสืออ่าน แต่อ่านจากจอ จะมีเพียงคนรุ่นเก่า อายุสี่สิบอัพ ที่พอจะซื้อหนังสืออ่านด้วยเคยชิน ด้วยความรู้สึกอยากสัมผัสอรรถรสเดิมๆ คนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนน้อยลง ส่วนหนึ่งถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมเทคโนโลยี่สมัยใหม่ คนรุ่นเก่าหมดไป คนรุ่นใหม่ไม่ได้เดินในเส้นทางเดิมๆนั้น หนังสือสิ่งตีพิมพ์จึงเป็นอะไรที่หมดยุค
เป็นปรากฏการณ์ทั้งโลก หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ยุบระบบสิ่งตีพิมพ์ ก้าวไปสู่สื่อดิจิตอล อ่านทางโน๊ตบุ๊ค อี-บุ๊ค จอโทรศัทพ์มือถือกันมาหลายปีแล้ว เขาไปก่อนเราให้เป็นตัวอย่างเห็นๆ จนปรากฏการณ์นี้มาถึงเมืองไทยแล้วในสองสามปีที่ผ่านมา
สื่อไหนย้ายจากลำเรือเก่าที่ผุน้ำรั่วปริ่มจะจมแล้ว สู่เรือลำใหม่ไม่ทัน ก็รังแต่ต้องหยุดที่อดีต
เขียนอย่างนี้ ก็ต้องหันมาดู “ตัวเอง” ทั้งชีวิต ทั้งอาชีพ
คนเขียนหนังสือเป็นอาชีพน่ะ มันคืออาชีพที่ติดตัว ถึงอายุจะมากขึ้นๆทุกที หากถ้าสมองยังดี ความทรงจำดี มีแนวคิดที่สามารถเกาะติดกับโลกยุคใหม่ได้ ก็ยังพอจะมีงานทำไปตลอดชีวิต แต่ความสะเทือนใจยามนี้คือ โหยหา คิดถึง วิถีชีวิตที่มาหากินกับสิ่งตีพิมพ์ มีกองกระดาษหนังสือพิมพ์ กลิ่นหมึกพิมพ์ แท่นพิมพ์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เหมือนสัตว์ใหญ่ร่วมชีวิตร่วมเดินทางมาด้วยกันกว่าครึ่งค่อนชีวิต..กำลังตายและลาจากไปต่อหน้า
หนังสือพิมพ์กอล์ฟไทม์ ปี2559 นี้ เป็นปีครบรอบ 25 ปี
ต้องยกย่อง นับถือ มาดามแจ๋ว สุชาภา ผลชีวิน จริงๆว่าทำได้อย่างไร ผมเคยบอกเธอว่า..แจ๋ว กอล์ฟไทม์นี่คือ ใบปริญญาชีวิตที่ยิ่งกว่าปริญญาเอกอีกนะ หลายใบหลายแขนงด้วย ที่ทำได้ มาไกลถึงขนาดนี้ หนังสือก็แจกฟรีตามสนามกอล์ฟ เธอทำได้อย่างไรไม่รู้ แต่รู้ว่าไม่มีใครทำได้อย่างเธอละกัน มันคือความภาคภูมิใจนะ
เบื้องหน้าก็ที่เห็นๆ คุณนายแจ๋วยิ้มร่าอ่อนหวานเสมอกับทุกคน เบื้องหลัง ไหล่จะแบกหนักอึ้ง เหงื่อจะกระเซ็น จะน้ำตาเร็ด เลือดกบปากก็กลืนไว้ เชิดหน้าเอาไว้ แล้วเดินต่อไป ทีละก้าว ทีละเล่ม จนถึงบัดนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆอ่อนหวานข้างนอก หากเป็น สตรีเหล็ก อยู่ข้างใน ก็มิได้ให้ใครได้เห็นในมุมนั้นหรอก
หนังสือพิมพ์กอล์ฟไทม์นับแต่เล่มแรก จนถึงเล่มปัจจุบัน มิเพียงกระดาษตีพิมพ์ หากแต่บันทึกเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับกีฬากอล์ฟไว้ตามกาลเวลา ทั้งชีวิตกอล์ฟ ชีวิตคน เรื่องราวอันน่าสนุกสนาน ประทับใจ บางที่คนอ่านมีโมโห มีหัวเราะ มีซาบซึ้ง มีความเป็นเพื่อน ที่เชื่อมโยงผ่านตัวหนังสือที่รายร้อยเรียงตัวให้อ่าน ในวันที่พบกัน
เทียบได้จาก เด็กๆนักกอล์ฟเยาวชนตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ จนบัดนี้เติบใหญ่โตเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนมีครอบครัวแล้วด้วย ก็โตกับกับกอล์ฟไทม์
เหล่านี้คืองาน คือชีวิต คืออาชีพของคนกลุ่มหนึ่งของ กอล์ฟไทม์ ที่มี มาดามแจ๋ว สุชาภา ยืนหัวแถวมานาน นับแต่25ปีที่แล้ว วัยสังขารก็ย่อมโรยราตามกาลเวลา แต่ความก่ำของอาชีพมิได้ถดถอยไปเลย
ในกาลข้างหน้า แน่นอนละว่า กอล์ฟไทม์ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนลงเรือลำใหม่ เป็นหัวหนังสือในเว็บไซด์ ต้องคลิกเข้าไปอ่าน มิใช่หยิบพลิกกระดาษอ่าน
แต่จะเมื่อไหร่ ก็เป็นไปตามความพร้อมของกองบรรณาธิการยุคใหม่ ที่ก้าวเดินไปกับโลกยุคใหม่
หากยามนี้ เวลานี้ ยังมีหนังสือพิมพ์กอล์ฟไทม์ ให้สัมผัส ให้อ่าน ก็ซึมซาบละเลียดความรู้สึกจากการอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฉ่ำไปถึงหัวใจนะครับ ด้วยการข้างหน้า คงต้องเพ่งสายตาผ่านจอดิจิตอลแล้ว
ฟิลลิ่ง ความคลาสสิกมันต่างกันเยอะ (สำหรับคนโลกเก่านะครับ คนรุ่นใหม่อาจไม่ทราบฟิลลิ่งเช่นนั้นแล้ว)
เป็นธรรมเนียมนะครับ ที่จะต้องอวยพรกัน ยามที่เวลาหมุนมาถึงปีใหม่อีกรอบหนึ่ง
ไม่ว่าสามร้อยหกสิบกว่าวันของพ.ศ.2559 จะหนักหน่วงปานใด ไหล่ของท่านๆทั้งหลายจะแบกรับสาหัสแค่ไหน ก็ขออวยพรให้ ท่านผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อผ่านพ้นได้แล้ว ก็ไม่หวาดหวั่นอะไรอีกแล้ว หนทางข้างหน้าก็ไม่ยากอีกต่อไปแล้ว ความสุขจะกลับมาอบอวลเหมือนดั่งอดีตอีก
มนุษย์เรามีความหวังและความฝัน เป็นพลังใจเสมอมา ดังนั้นฝันให้บรรเจิด มาความหวังที่แข็งแกร่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินในปีใหม่นี้
แสวงหาความสุขอันเป็นสิริมงคลใส่ตัวเองในช่วงปีใหม่นี้ เพื่อสร้างกำลังใจกับตัวเอง แน่วแน่กับการฟันฝ่าอุปสรรคเบื้องหน้า
บางคนบอกว่า เกมกอล์ฟ ก็เหมือนเกมชีวิต ข้างหน้ามีอุปสรรค ก่อนถึงหลุมบนกรีน แต่ละช็อตก็ล้วนทำเอง ได้เอง เสียเอง ลืมช็อตที่พลาดให้ได้ แล้วตีช็อตต่อไปด้วยใจที่สงบ เพื่อไม่พลาดอีก
พ.ศ.2559 ก็เปรียบเสมือน สนามกอล์ฟชีวิต ที่เลย์เอาต์ยากสุดๆสนามหนึ่ง..อ่านเลย์เอาต์แต่ละหลุมให้ดี สุขุม รอบคอบ มีสมาธิ แล้วตีละช็อตให้ดีที่สุด ถ้าจะไม่ได้กิน ก็อย่าเสีย นะครับ
กอล์ฟไม่ใช่กีฬาที่เมื่อพลาดจะมีแต่ suffer& punished หากเป็นเกมที่ challenge & learn และที่สุด have good times with good friends
Enjoy Your Game ครับ
ยอดชาย ขันธะชวนะ