อมยิ้มริมกรีน

วิถีไทย..หัวเราะมิออก ร่ำไห้มิได้

ทุกสถาบันศึกษาเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์ทุกคน พยากรณ์ไว้ชัดเจนว่า พ.ศ.2563 ปีหน้า จะเป็นปีแห่งความวิกฤติอันหนักหน่วงยิ่ง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ยักษ์ตะวันตก สหรัฐอเมริกา และ ยักษ์ตะวันออก จีน ทำสงครามการค้า ตอบโต้กันรุนแรงระหว่าง อันพลอยทำให้ หญ้าแพรก ประเทศเล็กประเทศน้อยพลอยแหลกลาญไปด้วย

ประเทศไทยเราก็ ไม่พ้นกับการ ”เท” กงล้อสัจธรรมหมุนลงต่ำครั้งนี้ 

ว่ากันว่า ประเทศจะพบพานความสาหัสสากรรจ์ ยิ่งกว่า ยุค”ต้มยำกุ้ง”ในปี2540 เสียอีก

มันเป็นภาวะที่มาถึง “จุดเปลี่ยน” ที่ อุตสาหกรรม ธุรกิจ อาชีพ ส่ารพัด ที่เป็นโครงสร้างการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทำงาน ไม่มี sun rise – sun set แล้ว แต่ เป็น อวสาน the end จบสิ้นกันไป อันไม่ต่างกับ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ที่ไม่อาจอยู่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของโลกใหม่

ปลายปีนี้ ก็เห็นๆ การปิดตัว ของอุตสาหกรรมรายใหญ่ รายย่อย จำต้องลอยแพคนงาน อุตสาหกรรมในครัวเรือน sme ที่เคยเป็น กุศโลบาย สร้างความเข้มแข็งชุมชน ไปถึงระดับรากหญ้า ของรัฐบาลหลายยุค ถึงวันนี้ เจ๊งระนาว ผู้ลงทุน มีหนี้สินอีนุงตุงนังหนักเข้าไปอีก

นี่แค่”โหมโรง” ตกงานปลายปีเรือนพัน แต่ทั้งปีหน้า จะปิดตัวระนาว คนโรงงานจะตกงานเรือนหลายๆแสน แตะที่หลักล้าน นักศึกษาทั่วประเทศจบปีหน้า เป็นแสนคน ก็ดูท่าจะไม่มีงานทำ

แม้ธนาคาร ธนกิจ จะประกาศปาวๆ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อกระตุ้นการลงทุน…แต่ ขอโทษ..ประกาศได้ แต่ไม่ให้หรอก

ทุกวันนี้ ธนกิจก็แบกรับหนี้ NPL ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ปล่อยเงินกู้อีก ในภาวะเศรษฐกิจล้มล่มสลาย ก็เท่ากับว่า เสี่ยงกับแบกรับหนี้สูญ อีกเป็นสิบเท่ากว่าที่เคยเป็นมา จะเสี่ยงไปทำไม

ตัวธนาคารเองก็เถอะ ปิดสาขา เลย์ออฟพนักงาน ให้เออรี่รีไทร์ในทุกระดับ ปี2563 ปีหน้า จะยิ่งเห็นชัดเจน

พนักงานธนาคารยัง ตกงานอีกพะเรอแน่นอน..แล้วนับประสาอะไรกับคนอาชีพอื่นในสังคมเมืองกรุง

เมืองไทยเรา ทุกรัฐบาลแหละครับ เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ นโยบายหลักก็คือ จำต้องขับเคลื่อน แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง การทำมาหากินของประชากร ให้มีกินมีใช้  ทุกพรรคการเมืองหาเสียง ก็ต้องหาเสียงในเรื่องนี้

ใครเป็นรัฐบาล ก็แบกรับการแก้ไขปัญหานี้ไป นายกรัฐมนตรี เป็น”แกนอำนาจ” จะให้ทำอย่างไร ในการขจัดปัญหาแกท้องประชาชนก็ว่า ด้วยการทำงานของทีมเศรษฐกิจ (ในยุคนี้ คือ งานแบกรับบนบ่าของ ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์)

มันเป็นเรื่องที่น่าตระหนักเหลือเกินนะครับ ว่า อะไรจะเกิดขึ้นในปีหน้า? เมื่อเศรษฐกิจล่มเจ๊งเป็นเบือ

ธุรกิจทุกระดับเจ๊ง ขาดทุนยับ  คนตกงาน ตั้งแต่ผู้จัดการธนกิจใหญ่ๆ บริษัทเอกชนที่เคยรุ่งเรือง อันต้องโรยรา ลงไปถึง ใช้แรงงานระดับรากหญ้า มีเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนถึงเป็นล้าน แน่นอนหลายอาชีพ จบสิ้นวิถีทำมาหากินที่ทำมาทั้งชีวิต จำต้องหาหนทางใหม่ในการดำรงชีวิตให้ได้

มันต้องเป็น “สามัญสำนึก” โดยตรงของบรรดานักการเมืองน้อยใหญ่ในสภา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

แต่คุณภาพนักการเมือง สภาการเมืองของไทย เป็น สาละวันเตี้ยลงๆ ไปเรื่อยๆ ไม่มีจังหวะ สาละวันลุกขึ้น เลย

เข้าสภา เพื่อ “ด่ากัน” แบบไร้สาระ อีโก้ข่มขู่กัน  บางรายจับคู่ยังกับมวยน้ำลาย ถุยใส่กันไปวันๆ บ้างก็ใช้สภาเป็นเวทีบ้าน้ำลาย ค่อนแคะแดกดัน หยิบทุกเม็ดมาเป็นประเด็น เพื่อจิกด่านายกรัฐมนตรี แบบพล่ามเอามันส์

เวลาวันๆ ผ่านไป แต่การทำงานของ บรรดานักการเมืองผู้ทรงเกียรติในสภา ที่ถ่ายทอดสดให้ชาวบ้านดู..ชาวบ้านก็ได้แต่ส่ายหน้า

ช่างไร้แก่นสาร ไร้วุฒิภาวะ พาไปสู่ความเสื่อมศรัทธา จนถึงขั้น น่าสมเพชจริงๆ คุณภาพนักการเมืองไทย มีแค่นี้หรือ?

แล้วกูจะเลือกไป ทำไมนิ?

ให้รัฐบาล คสช. ลุงตู่ทำงานไปแบบประชาธิปไตย มีกฎหมาย ม.44 ฟันฉับๆ ชาวบ้านยัง ได้น้ำได้เนื้อ มากกว่า น้ำลายนักการเมือง

มันถึงเวลาสำนึกแล้วว่า หน้าที่ ส.ส. ไม่ว่าใคร โดยเฉพาะฝ่ายค้าน อย่ามัวแต่ด่ารัฐบาลในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ภาวะวิกฤติคนตกงาน ว่าเป็น ความผิดของรัฐบาล.

ด่าด้วยลมปากเอามันส์ในสภา ถ่ายทอดสด ถือว่าทำหน้าที่แล้ว กระดิกเท้าเล่น..ไม่ใช่นาครับ

เคยคิดไหมว่า เป็นความเดือดร้อนของตนไหม กับ ชะตากรรมของ ประชากรที่เตรียมตกงานเป็นแสนเป็นล้านในปีหน้า

กี่คนต่อกี่คนในแสน ในล้านนั้น  เป็นคนจังหวัดที่คุณเป็น ส.ส. เป็นคะแนนเสียงให้คุณเข้าสภามา

จะช่วยเหลือ พวกเขาเหล่านั้นอย่างไร? มีเงินยังชีพ มีงานพอประทังให้ทำ

ถ้าหากกลับบ้านเกิด  ไปทำกินที่บ้าน ประหยัดค่าครองชีพ หาทางทำงานในเมืองใหญ่ ไม่มีแล้ว

จะได้รับการช่วยเหลือแบบไหนอย่างไร..อันมีประสิทธิภาพเพียงพอให้ พวกเขาอยู่ได้

ตรงนี้ เป็นหน้าที่ของ ส.ส. นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทุกคน ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แต่เป็น ”คนของประชาชน”ที่ต้องช่วยชาวบ้านถิ่นตัวเองเมื่อวาระแห่งความยากลำบาก 

ทุกอย่างอยู่ที่ be prepare ตั้งมั่น ด้วยรู้ว่า เป็นปัญหาใหญ่หลวงของประชากรของประเทศ ที่ต้องช่วยกัน รัฐบาลก็สนับสนุน งบประมาณ ในโครงการที่เป็นไปได้ องค์กรข้าราชการก็เตรียมตัวรับปฏิบัติ

ถึงเวลาไหม ที่ กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย จัดการ “ลงทะเบียน คนตกงาน พ.ศ.2563” เสียแต่วันนี้

รัฐบาล “ไฟเขียว” กำหนดให้ ส.ส. ผู้แทนราษฎรจังหวัดนั้นๆ นั่นแหละ เป็น ประธานดำเนินการในเขตุของตนไปเลย

มันคือวิถี.. ยามมีวิกฤติ จะเกิดสถานการณ์ ที่สร้างวีรบุรุษ

ใครเก่ง ใครไม่เก่ง ใครจริงใจทำงานเพื่อพี่น้องชาวบ้านในถิ่น ก็จะได้เห็นกันครั้งนี้แหละ

ส.ส.เขตุจะได้ทำงานโชว์ฝีมือสุดๆ ตรงเป้าหมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สร้างชื่อสร้างเครดิตให้กับตัวเองของชาวบ้าน

คนทำงานเก่ง คนทำงานจริงเพื่อพี่น้องประชาชนเท่านั้น ที่ชาวบ้านจะศรัทธา เลือกตั้งเข้ามาอีก

ไอ้พวก เข้าสภาเป็น ส.ส.ได้ ทำงานไม่เป็น ดีแต่ปาก ปาวๆ ไปเรื่อย ใช้เวลาไปกับ ความเป็นเจ้าคารี้สีคารม ศรีธนญชัย วันๆเอาแต่พล่ามอุดมการณ์ มันจะได้หมดไปจากสภา

ประเทศฉิบหายไม่ว่า แต่ประชาธิปไตย ต้องมาก่อน ประชาชนถึงอยู่เย็นเป็นสุข

ก็เห็นๆ หนทางปีหน้า เศรษฐกิจล่มสลาย คนตกงานเป็นแสนถึงล้าน สู่ภาวะแสนสาหัส

หุบปากเรื่องอุดมการไว้ก่อน ช่วยเหลือปัญหาปากท้องชาวบ้านก่อนดีไหน 

เมื่อก่อนนี้ รู้สึก สมเพช ส.ส.ประเทศอื่น ที่ทะเลาะกัน เอาเกือกฟาดกบาลกัน ด่ากันตีกันเทอะเทอะ..เดี๋ยวนี้ รู้สึกอย่างนั้นว่า..ประเทศกู ก็มีเรื่องน่าทุเรศในสภาเช่นนั้น

หรือ ก็ไม่เข้าใจ โปรเจตก์ความเอิกเกริก จากไอเดียทีมเศรษฐกิจ “แจกเงิน” ให้ประชาชน เรียกตะแนนนิยม ให้เงินหมุนไปถึงรากหญ้า ของรัฐบาล

ตั้งแต่เที่ยวทั่วไทย  “ชิม ช้อป ใช้” เปิดเพิ่มหลายเฟส  เปิด แอปพลิเคชั่น ให้ชาวบ้าน ลุ้นสิทธิ์ ยังกับออกหวยปิงปอง

ล่าสุดมานี้ แจกเงินค่าดาวน์ซื้อบ้าน ห้าหมื่นบาท!

กระตุ้น ให้ คนซื้อบ้าน กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ “ยืนตาย” ขายออกได้ ถือว่าเป็น การแก้ไขให้เฟืองเศรษฐิจหมุน

นัยว่า..เทเงินจากคลังไป เป็นหมื่น แสนล้าน ก็ผ่านมือคนไทย ไปสู่คนไทยรากหญ้า ต่างจังหวัด เอง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เหมือน เอาอาหารปลาไปโปรยหน้าท่าน้ำวัดเลยครับ

คนที่จะได้สิทธิ์ รัฐบาลช่วยเงินดาวน์ห้าหมื่น ต้องผ่านการอนุมัติสินเชื่อธนาคารก่อน ถึงขอได้ นั่นหมายความว่า คนนั่น ต้องมีพื้นฐานการเงิน มีรายได้มั่นคง ไม่งั้นธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อแน่ๆ

แล้วรัฐยังจะช่วย คนที่ผ่านเครดิตการเงินซื้อบ้าน ห้าหมื่นบาทอีก

ไม่แฟร์ครับ ไม่แฟร์กับคนที่จนกว่า ไม่แฟร์กับพลเมืองดี คนที่จ่ายภาษีอากรทุกเดือนๆ ทุกปี เป็นห่านให้ถอนขนอยู่นั่น แล้วรัฐบาลเอาเงินงบประมาณไป ถลุง อย่างนี้ อ้างว่า กระตุ้นเศรษฐกิจ

คิดหน่อยมั้ยครับ  “กุนซือสมองเพชร” แมคไกเวอร์ ดร.สมคิด ว่า ปีหน้าพ.ศ.2563 จะมีคนตกงานเรือนแสน ตลอดทั้งปี

รัฐบาลจะ be prepare ตั้งมั่น เตรียมแผนใหญ่ระดับวาระแห่งชาติ ประการใด เพื่อ ผ่อนหนักเป็นเบา สะเดาะเคราะห์วิกฤตินี้กับคนตกงานเป็นล้านนั้น

ไม่ใช่ปีหน้า มาแล้วค่อยคิดทำ

เอาเงินที่ถลุงจ่ายแจกชาวบ้านฟรีๆ โปรยอาหารปลาหน้าวัด น่ะ ตุนเอาไว้เป็น “เสื้อชูชีพ” สำหรับ คนตกงานเรือนล้าน ในปีหน้า 2563..ไม่ดีกว่าหรือ?

เสื้อชูชีพในเรือน่ะ..เขาเตรียมให้ผู้โดยสารใส่ให้พร้อม ข้างหน้า กัปตันเรือเห็น มรสุมลมไต้ฝุ่นมาลิบๆแล้ว..ใส่เตรียมไว้ เพื่อช่วยให้รอด

รอพายุมาถึง ซัดเรือโครมคราม เอียงกระเทเร่ ค่อยคิดแจก เสื้อชูชีพ..พอดีตายห่ากันยกลำ

หรือเรือเหล็ก ลำนี้ของลุงตู่ มีแต่ห้องปาร์ตี้ แจกเงิน กินเล่น เต้นฟรี..รำวงสามัคคี สนุกสนานเพื่อลืมทุกข์อย่างเดียว

ไม่จำเป็นต้องมี เสื้อชูชีพ?

เป็นคนไทย ยามนี้ ร้องไห้มิได้ หัวเราะมิออก จริงๆ

ยอดทอง