Interview

พลเชฏฐ์ สิริสารินท์

พลเชฏฐ์ สิริสารินท์
บริษัท คลีน อัลติเมท จำกัด
เจนัว โฮเทล
“ยังหายใจได้ ยังมีชีวิตอยู่ นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว”

เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่สมัย พลเอกชาติชาย ยุคนั้นเรียกว่า ผ่านวิกฤติทางธุรกิจมาครบ สงครามซัดดัม พฤษภาทมิฬ ฟองสบู่ ต้มยำกุ้ง

เด็กฝั่งธน : ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ขึ้นไป เกิดที่ต่างจังหวัดกันหมด ผมโชคดีได้มาเกิดที่กรุงเทพฯ เติบโตมาแถวฝั่งธนฯ สมัยก่อนยังมีแต่สวน ต้นไม้ ท้องร่อง

โตในธนาคาร : คุณแม่ทำงานธนาคารกสิกร ที่สีลม สมัยก่อนอยู่ฝ่ายการธนาคาร เลิกงานค่อนข้างดึก ช่วงเด็กๆ ผมจึงต้องเรียนใกล้กับที่ทำงานคุณแม่ที่สุด จึงเข้าโรงเรียน ปวโรราฬวิทยา ทุกเย็นคุณแม่จะให้คนมารับ แล้วไปนอนรอที่ธนาคาร แม่เสร็จงานเมื่อไหร่ก็อุ้มขึ้นรถกลับบ้าน บางครั้งช่วงสิ้นเดือนต้องอยู่ปิดงบเกือบสว่าง เรียกว่าผมชินกับการนอนในแบงค์จนโต

เด็กอัสสัม : พอโตขึ้นก็เข้าเรียนที่อัสสัมชัญ บางรัก อยู่จนถึงชั้น ม.ศ.3 และความที่ตัวเองชอบเรื่องโลดโผน ชอบเล่นกีฬา เที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง มีเพื่อนเยอะ ทำให้ผลการเรียนไม่ค่อยดีนัก ต้องไปสอบเข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนบดินทร์เดชา ลาดพร้าว เข้าเรียนเป็นรุ่น 11 สมัยนั้นยังถือว่าเป็นเขตชานเมืองอยู่เลย

ห้องสุดท้ายสายศิลป์ : สอบเข้าโรงเรียนบดินทร์ฯ ได้เป็นห้องสุดท้ายของโปรแกรมศิลป์ ทำให้มีเพื่อนสนิทกันเยอะมาก อยู่แล้วมีความสุข เน้นเฮฮากันทั้งห้อง ไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่ เช้ามาให้ทัน แล้วแอบไปทำกิจกรรมนอกหลักสูตรกันบ้าง (หัวเราะ) บ่ายก็ต้องกลับมาให้ทันก่อนโรงเรียนเลิก กีฬาจริงๆ ส่วนใหญ่จะเล่นกันวันหยุด แต่ยอมรับว่า กีฬา ถ้าจะเล่นจริงจัง ต้องมีวินัย ต้องฟิต ต้องซ้อม ต้องมีพละกำลัง ซึ่งเราเล่นกันแบบสนุกสนาน ยังไม่มีเรื่องนี้กันเลย

ไปตามกระแส แต่เอาตัวรอด : การวางแผนการเรียนนั้น ควรจะเริ่มตั้งแต่ ม.ต้น พอ ม.ปลายยิ่งต้องโฟกัส ว่าชีวิตจะไปทางไหน เพราะต้องเลือกสาขาว่าจะสายวิทย์หรือศิลป์ แต่สำหรับกลุ่มเด็กที่ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียน ต้องยอมรับว่า เวลานั้นไม่มีใครมาชี้แนะอะไรมากมาย ก็เป็นไปตามกระแส ไม่ได้มองอนาคตมากนัก ไม่ได้วางแผนอย่างดี เราอาจจะตัดสินผิดพลาดได้ง่าย ชีวิตก็จะลำบากหน่อย ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ ติดเรื่องห่วงเล่น แต่ยังดีที่พอเอาตัวรอดได้ พอจบจากบดินทร์ฯ ก็สอบเข้าหอการค้า เข้าเรียนคณะบริหาร เลือกเรียนบริหารการเงิน พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ก็ตั้งใจจะปรับชีวิตให้ดีขึ้น แต่พอไปเจอกับสังคมใหญ่ๆ ก็กลายเป็นไหลไปตามกระแสอีก แล้วยิ่งไม่มีใครบังคับ จะทำอะไรก็ได้

ผลิกผันเพราะวิกฤติชีวิตพ่อ : ช่วงที่ชีวิตกำลังสนุกสนานมากๆ คุณพ่อป่วยหนัก เป็นมะเร็ง ทำให้ผมต้องหยุดทุกอย่าง หยุดสิ่งที่กำลังจะทำให้ชีวิตผมต้องลำบากหนักขึ้นไปอีก เพื่อมาดูแลคุณพ่อ จนกระทั่งท่านจากไป ผมตัดสินใจบวชให้ท่านหนึ่งพรรษา นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรก ทำให้เราได้มีเวลาตั้งสติ ทบทวนว่าเราจะไปในทางไหน ชีวิตหลังบวช เหมือนกับหนังคนละม้วนกับชีวิตก่อนหน้านี้

เริ่มกลัดกระดุมใหม่ : เมื่อเราเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกไม่ถูก ถึงจะคิดได้ยังไง ก็ใช่ว่าบั้นปลายจะสดใสตลอด เราต้องมาปรับชีวิต แก้ไขสิ่งที่ทำมาจากอดีต ต้องมาตั้งหลักใหม่ ซึ่งคนอื่น อาจจะตั้งหลักกันมาก่อนหน้านานแล้ว เมื่อเราตั้งช้ากว่าคนอื่น ก็ต้องสู้ให้มากหน่อย เราต้องมากลัดกระดุมใหม่ และพัฒนาขึ้น เริ่มเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

เป็นทหาร : ตอนเด็กๆ พ่อแม่ ก็เคยให้ไปเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้าทหาร แต่ผมไม่ชอบอะไรที่เป็นระเบียบ ไม่อยากเป็นทหาร เลยไม่สนใจเรื่องเข้าเรียนทหาร ทำให้พอลาสิกขามาแล้ว ก็ยังต้องดรอปเรียนต่ออีก เพราะต้องไปเป็นทหารเกณฑ์อีกสองปี ทำให้ชีวิตมีเวลาคิดถึงสองรอบ รอบแรกทางธรรมะเมื่อตอนบวช และรอบสองการเป็นทหาร สอนในเรื่องระเบียบวินัย สอนให้รักพวกพ้อง เราอยู่ในโลกคนเดียวไม่มีทางรอด เราต้องมีพวก มีเพื่อน ที่จะคอยค้ำจุน แต่ก็เป็นบทเรียนอีกเหมือนกันว่า เราต้องเลือกที่จะคบ บางพวกพาไปได้ดี แต่บางพวกก็พาไปลำบาก อยู่กับคนที่หลากหลาย ก็ต้องรู้จักวิธีที่จะเอาตัวรอด การมีน้ำใจให้กับคนอื่น เขาก็ย่อมมีน้ำใจตอบกลับมาบ้าง อะไรที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น ก็ต้องรู้จักทำ พอปลดประจำการ ก็มาไล่เรียนเก็บวิชาต่างๆ จนจบหลักสูตรปริญญาตรี แล้วเริ่มทำงาน ซึ่งเราจะช้ากว่าคนอื่น แต่ก็เต็มไปด้วยความตั้งใจ

เข้าวงการอสังหาฯ : พอเรียนจบ ได้พบกับคุณอาท่านหนึ่ง ท่านทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ผมสนใจและชอบงานแนวนี้ ก็ขอไปทำงานด้วย ถึงผมจะจบบริหาร แต่ท่านก็สอนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอสังหาฯ ให้ เราจะบริหารอะไรก็ตาม ต้องรู้ว่าสินค้าเราคืออะไร ต้องไปเรียนรู้ ไปนอนเฝ้า ที่ไซต์งานก่อสร้าง ไปดูตั้งแต่ รปภ. ไปดูคนงานว่าเริ่มงานก่อสร้างกันยังไง ถ้าเราจะขายอะไร ก็ต้องรู้ว่าสินค้ามีความเป็นมายังไง มิเช่นนั้นเราจะขายได้ยาก เพราะไม่ใช่แค่ท่องว่าราคาเท่าไหร่ ดียังไง

จะขายอะไร ต้องรู้ลึก : ผมไม่ได้เรียนก่อสร้าง แต่ก็ต้องไปเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มถมดิน ตอกเสาเข็ม เราไม่ได้เรียนวิศวะ ไม่ได้ลงลึกถึงเรื่องเทคนิค ตัวเลข ถึงขนาดต้องคำนวณว่าจะใช้มากน้อยแค่ไหน แต่เราต้องรู้ว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร เขาทำอะไรกันบ้าง เราต้องเข้าใจ เฝ้าติดตามดูทุกระยะ คุณอาสอนว่าให้เราไปดูทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง ต้องไปคอยถามหัวหน้างานแบบเด็กช่างสงสัยว่าเขาทำอะไร ทำยังไง จนบ้านเสร็จเป็นหลังๆ แล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ไปนั่งบริหารโครงการ เริ่มจากการเป็นพนักงานขายบ้าน พอลูกค้ามาถามเราตอบได้หมด จากการที่เราไปดู ไปเฝ้าจนเกิดความเข้าใจ ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาได้ ถึงแม้จะไม่ละเอียดขนาดวิศวกร แต่ก็มากเพียงพอที่จะทำให้ลูกค้าก็ไว้ใจได้

เศรษฐกิจยุคชาติชาย : ช่วงนั้นอาจจะเป็นโชคด้วย เพราะภาวะเศรษฐกิจดีมากในสมัย พลเอกชาติชาย บางโครงการแค่ติดป้ายประกาศก็ขายได้แล้ว สมัยนั้นการขายอสังหาฯ แทบจะไม่ต้องสร้างอะไรเลย พอประสบความสำเร็จ พวกเราก็เกิดความมั่นใจกันสูงมาก ขยายจากเล็กๆ ไปสู่โครงการใหญ่ๆ จากลูกจ้าง ขยับขึ้นไปเป็นผู้บริหาร และก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของโครงการ

วิกฤติซัดดัม : สงครามทำให้ธุรกิจทรุดกันแบบชั่วข้ามคืน ทุกอย่างหยุดชะงัก ลูกค้าหยุดส่งดาวน์ ลูกค้าไม่โอน โครงการขาดสภาพคล่อง กระทบไปถึงผู้รับเหมา ร้านวัสดุ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เราเพิ่งจะเริ่มไต่เต้าจากเล็กๆ ไปหาใหญ่ พอเริ่มใหญ่เราก็ทุ่มไปสุดตัว แล้ววิกฤติจากสงคราม ก็ทำให้เราที่เพิ่งจะก้าวมาเป็นเจ้าของโครงการ ได้รับผลกระทบเต็มๆ จนทุกอย่างต้องหยุดชะงักไประยะหนึ่ง ต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่

วิกฤติซ้ำซ้อน : พอจะเริ่มเดินได้อีกครั้ง ก็เจอกับวิกฤติ พฤษภาทมิฬอีก ก็อาศัยวิธีสู้ไม่ถอยอีก จนจะเริ่มกลับมาดีได้อีก ก็เจอกับฟองสบู่แตก รอบนี้อาการหนักมาก ต้องสู้กันนานกว่าทุกรอบ กว่าจะให้ฟื้นคืนมาได้ ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนคนที่มีร่องรอยแผลเต็มตัวไปหมดจากการต่อสู้ แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตเราแกร่งขึ้น ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะตอนเกิดวิกฤติ ลูกชายคนแรกเพิ่งคลอด นั่นทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต้องสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสักแค่ไหน

ล้มจนรู้ : เนื่องจากเราล้มบ่อย เราพลาดบ่อย มาจากการทำธุรกิจที่โตมาจากเล็กๆ เจอวิกฤติมาหลายรอบ ถึงตอนนี้ก็เริ่มชะลอเรื่องอสังหาฯ คิดเองว่าเราจะไม่ทำตลาดแข่งกับบริษัทใหญ่ๆ เราจึงมองหาช่องทางการตลาดที่พอจะไปได้ อาจจะมีเม็ดเงินน้อยกว่า แต่ก็หมุนเวียนเร็ว นั่นจะทำให้เราคล่องตัวกว่า เราจึงเริ่มหันมาจับธุรกิจโรงแรมบ้าง โดยพยายามหาจุดขายที่ทำให้เราแตกต่างกว่าคนอื่น โดยอาศัยประสบการณ์ของตัวเองในการปรับปรุงทั้งเรื่องสถานที่และการบริการ เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้า เขาต้องการอะไร เราก็ให้สิ่งนั้น เช่น ความสะอาด ความสงบเงียบ ปลอดภัย

ได้ผลิตภัณฑ์จากงาน : พอมาทำโรงแรม แล้วเน้นเรื่องความสะอาด จึงต้องไปศึกษาเรียนรู้ สุดท้ายเราก็ได้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสะอาดตามมาด้วย นั่นคือผงซักฟอก คลีน ซึ่งเรามีความมั่นใจในคุณภาพมาก เริ่มจากการแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ทดลองใช้จนมั่นใจ และขยายธุรกิจออกไป จนขณะนี้เริ่มมีการส่งออกไปบ้างแล้ว

หาความรู้เพิ่มตลอด : เนื่องจากชดเชยชีวิตในวัยเด็ก ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนมากนัก พออายุเยอะขึ้นก็อยากไปเรียนบ้าง ได้ไปในกลุ่มเอสเอ็มอี หรือทราบว่าที่ไหนมีหลักสูตรอะไรก็เข้าไป กลุ่มอสังหาฯ เป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปศึกษานวัตกรรมใหม่ๆ ได้เจอสังคมใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่ ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องตามโลกให้ทัน ผมได้เข้าไปอบรมในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ next real ได้ความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพวกเพื่อนฝูง มีความรักความสามัคคีแบบพี่น้อง และที่สำคัญผมชอบเล่นกีฬากอล์ฟ จึงได้ช่วยกันก่อตั้งชมรมกอล์ฟขึ้นมาตั้งแต่รุ่นที่ 1 ปัจจุบันมีถึงรุ่นที่ 9 แล้ว มีสมาชิกรวมแล้วร้อยกว่าท่าน

กีฬานานาชนิด : ผมเล่นสนุกเกอร์ตั้งแต่เป็นนักเรียน แอบหนีไปเล่นกันบ่อยๆ แล้ววิถีชีวิตช่วงหนึ่งก็ได้เป็นเจ้าของกิจการโต๊ะสนุกเกอร์ นักสนุกเกอร์มองว่า กินใครก็ไม่อร่อยเท่ากับเจ้าของโต๊ะ ผมจึงถูกท้าให้ลงแข่งอยู่เรื่อยๆ แล้วแต่ละคนที่เข้ามา เขาก็ต้องมั่นใจแล้วว่าชนะเราได้ ผมก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ก็ในมุมของการตลาด ยอมเสียในขอบเขตที่เสียได้ แต่ทำให้มีคนเข้ามาที่โต๊ะกันเยอะ กิจการก็อยู่ได้ เปิดอยู่ยาวพอสมควร จนเจ้าของพื้นที่ขอคืนถึงได้เลิก

โบว์ลิ่ง เทนนิส : คุณพ่อเคยเป็นประธานชมรมโบว์ลิ่งของกสิกร ผมก็ตามไปนอนเฝ้า ทำให้คุ้นเคยกับโบว์ลิ่งตั้งแต่เด็ก แต่ผมเริ่มเล่นช้า ก่อนคุณพ่อป่วย ผมเคยเล่นจนถึงได้คัดตัวระดับเยาวชน ได้เล่นจนมีคนรู้จัก แต่พอคุณพ่อเสียผมก็ไม่ได้เล่นเยอะเหมือนเดิม มาหยุดเลยก็เมื่อทำธุรกิจ ส่วนเทนนิส ตอนเด็กๆ ช่วงเรียนอัสสัมฯ เคยไปหัดเทนนิส เรียนพื้นฐาน หัดเล่นอยู่กับลอนเทนนิสสมาคมเป็นปี จนเบสิคแน่น จำได้เลยว่า อาจารย์ณรงค์ แดงสะอาด เป็นผู้สอน มาเลิกตอนย้ายไปเรียนที่บดินทร์ฯ

กอล์ฟ : เมื่อก่อนกอล์ฟยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็เข้ามาตอนที่ทำธุรกิจอสังหาฯ ต้องไปดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เล่นกอล์ฟ แล้วตอนนั้นผมยังเล่นไม่เป็นเลย ก็เดินเข้าไปสนามไดร์ฟ ขอเรียนกับโปร เรียนแค่ครั้งสองครั้ง ผู้ใหญ่มาชวนไปเล่นที่เขาชะโงก ก็ไปออกรอบเลย 18 หลุม เล่นจบแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือต้องจับไก่ หยิบลูกไปตีหลุมหน้า พอเริ่มมีสภาพคล่องดีขึ้น มีเวลามากขึ้น เลยไปซื้อเมมเบอร์สนามกอล์ฟ จากนั้นก็ตีทุกวันเลย อาศัยตีเยอะ เพราะไม่ได้เรียน เบสิคเลยไม่ค่อยมี เล่นกันก๊วนแรกทุกวัน เสร็จราวสิบโมงก็เข้าไปทำงานต่อทั้งวัน เป็นแบบนี้อยู่หลายปี สกอร์ก็ดีขึ้น ราวแปดสิบปลายๆ ถึงเก้าสิบ แต่ก็ไม่ต่ำลงมากไปกว่านี้ได้เพราะพื้นฐานไม่ได้ แต่ก็ทำให้เล่นกอล์ฟสนุกขึ้น เล่นกับคนอื่นได้

เล่นกีฬาต้องมีเบสิค : ถ้ามีเบสิค ไม่ว่าจะเล่นกีฬาอะไร ผลงานจะไม่ต่างกันมาก ต่อให้ไม่ได้เล่นไปนานๆ กลับมาเล่น ก็เล่นได้ เทนนิสต่อให้ไม่ได้เล่นเลย พอให้ลงไปเล่นปรับตัวแค่แป๊ปเดียว ก็ตีได้ แต่พอเป็นกอล์ฟ ซึ่งผมไม่มีเบสิคที่ดี ขนาดหลุมนี้ตีออกไปดีๆ หลุมถัดไปตีไม่ได้เลย ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

โชค วาสนา : เมื่อมีความมุมานะแล้ว ยังต้องมีวาสนา จังหวะชีวิตที่ดี ด้วยประสบการณ์ของเราเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความตั้งใจกับจังหวะเวลา โชคไม่ดีที่ทุกครั้งเมื่อจะขึ้นไปหาความสำเร็จ ก็จะมีเหตุการณ์ที่เราเองไม่อาจจะควบคุมได้เกิดขึ้น ธุรกิจไม่ได้ล้มเพราะเราหรือบริษัท แต่เป็นเพราะสถานการณ์

โอกาส : ไม่ได้มีบ่อย ถ้ามีเข้ามาแล้วก็ต้องไขว่คว้าไว้ ถ้าปล่อยไปก็ไม่รู้ว่าจะมาอีกเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่านั่นคือจังหวะที่ดีของเราหรือเปล่า ดังนั้น อย่ารอ ต้องรีบทำ

อย่าปฏิเสธ : อย่าพูดว่าทำไม่ได้ เพราะไม่งั้น คุณจะต้องพูดว่าไม่ทั้งชีวิต คุณต้องคิดว่า ทำได้ แล้วคิดต่อว่า ทำยังไง ถึงจะทำได้ แต่อย่าปฏิเสธทันที จงคิดก่อนว่าจะทำยังไง ถึงจะทำได้ ถ้าไม่คิด ไม่ทำ ก็ไม่มีวันทำได้

อดทน : เมื่อประสบกับความผิดหวัง แรกๆ อาจจะยังรับไม่ได้ แต่เราก็ต้องอดทน แล้วต้องไม่ถอย และผมคิดว่า ความโชคดีอย่างหนึ่งคือ จังหวะที่เกิดวิกฤติชีวิต ผมก็โชคดีในความโชคร้าย ผมมีลูกชายพอดี ทำให้ผมรู้เลยว่า ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ ถ้าผมไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ชีวิตอาจจะเตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ต้องอยู่ ต้องสู้ ต้องอดทน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ลูกผู้ชายถอยไม่ได้

ไม่เคยอยู่นิ่ง : ชีวิตผมต้องมีอะไรทำตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางด้านงานที่ทำไม่เคยหยุดนิ่ง หรือจะเป็นกีฬาที่ชอบ ถึงจะเล่นเก่งบ้างไม่เก่งบ้าง แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตต้องเคลื่อนไหวไปตลอด ความสุขของชีวิต : เรายังหายใจได้ ยังมีชีวิตอยู่ นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เพราะนั่นแสดงว่าเรายังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก ได้ทำงาน ได้สร้างผลงาน สานฝันของเราให้เป็นจริงได้ แต่จะดีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเราซึ่งอาจจะอาศัยโชควาสนาบ้าง และการได้เห็นครอบครัว เห็นลูกๆ เติบโตขึ้นไปได้ เห็นเขาประสบความสำเร็จ ได้เห็นธุรกิจของเราเดินหน้าได้ อยากกินได้กิน อยากเที่ยวได้เที่ยว อยากซื้อได้ซื้อ ได้เห็นครอบครัวมีความอบอุ่นอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขที่สุดแล้วครับ