มาอีกแล้ว ฝุ่น
เท่าที่มีชีวิตยืนยาวมาถึงปัจจุบันนี่ ช่วงที่ดูเหมือนจะปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดก็ช่วงนี้แหละ ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี “54” อันเป็นปีที่มนุษย์ครูไก่คนนี้ต้องมีอันที่จะระเห็ดระเหิรจากที่พักแถวๆรามอินทรามาในเมือง ก็ว่ากันถึงความผิดพลาดนั้นมาจากไหนถึงปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่า “เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร”…? หมดจากปีนั้นอีกไม่นาน บรรดานักการเมืองก็ออกมาปั่นหัวประชาชนให้เข้าห่ำหั่นกันโดยมีกรุงเทพฯเป็นสมรภูมิหลัก เห็นว่าจับติดคุกติดตะรางกันหลายคนอยู่ พอมาอีกหน่อยก็เป็นการยึดอำนาจจากการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก็มาจากผลพวงของการทะเลาะกันของนักการเมืองทั้งสองขั้วการเมือง
จากการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาระยะนึงเราก็มีการเลือกตั้งกันมาเมื่อไม่นาน สรุปเราก็มีสิ่งที่อยากได้กันนักหนานั่นคือ “การเมืองการปกครองที่มาจากการเลือกตั้ง”ของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งก็กว่าจะสะเด็ดน้ำเห็นพรรคการเมืองวิ่งกัน “ฝุ่นตลบ” แล้วแบบนี้เราจะนับว่าเป็น “ฝุ่น”ได้หรือเปล่า คำนี้มันเป็นคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเท่านั้นแหละส่วนจะออกมาสายสวยงามหรือสายไม่ได้เรื่องก็ดูเอาเองก็แล้วกัน
แต่ที่อยากจะพูดถึง “ฝุ่น”ในเวลานี้มันคือฝุ่นที่เรียกว่า “ฝุ่นจิ๋ว”ที่กำลังปกคลุมอยู่ในกรุงเทพฯของเรานี่แหละ หรือบางทีก็พบได้ในเมืองใหญ่ที่เป็นหัวเมืองสำคัญๆของประเทศเรา จากรายงานที่ครูไก่พยายามหาว่าเจ้าพวกฝุ่นมันมีที่มาอย่างไร…ที่เขาวิเคราะห์ของทั้งกระทรวงที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง หรือจะเป็นสถานการศึกษาที่เขามีเครื่องไม้เครื่องมือในการวัดค่าฝุ่นเหล่านี้ ก็พอสรุปได้ว่าฝุ่นพวกนี้มาจากการปล่อยไอเสียจากรถยนต์โดยเฉพาะเครื่องดีเซลและมันก็จะมารวมกับค่าฝุ่นละอองที่มีอยู่จากการก่อสร้างอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่ว่าทั้งหมดที่กล่าวมามันคงไม่เกิดขึ้นมากนักถ้ามีลมพัดผ่านตลอดเวลา

ก็อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ช่วงนี้เป็นเวลาของ “ฤดูหนาว”ซึ่งความกดอากาศสูงที่แผ่ลงมาจากประเทศจีนเข้าสู่ภาคเหนือบ้านเรา เมื่อมันมากระทบความชื้นจากทะเลของเราแบบนี้แหละที่จะเกิดเป็นแรงกดอากาศที่เราพบเจอกันอยู่ แต่พอไม่มีลมพัดเข้ามาของทุกอย่างมันก็จะลอยเรี่ยๆพื้นขึ้นไปเหนือกรุงเทพฯมองเห็นเป็นหมอกควันที่เราพบเจอกันอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็มีการายงานถึงขนาดและความหนาแน่นของ “ฝุ่น”เหล่านี้ในบางพื้นที่ของกรุงเทพฯก็ปรากฏว่าทุกพื้นที่จะประกอบไปด้วยที่ซึ่งมีการก่อสร้าง รถติดขัดและอับลม สามประสานนี้อยู่ที่ไหนเป็นอันว่าค่าฝุ่นจิ๋วจะมีค่าเกินมาตรฐานทุกที
ส่วนสถานที่ทำงานของครูไก่ก็มีการวัดเจ้าค่าที่ว่านี่เหมือนกัน ขนาดอยู่ในที่กลางแจ้งมีลมพัด มันยังเป็นสีที่ต้องเฝ้าระวังเหมือนกัน แล้วกีฬาที่สอนมันก็คือ “เทนนิส”เลยไม่อยากจะไปคิดให้มันปวดหัวตราบเท่าที่ยังหายใจ ก็ยอมรับซะว่า “เราทำเรารับ”หมดเรื่อง สู้เอาสมองไปคิดเรื่อง “ฮ่องกง”ดีกว่าว่าเหตุผลใดที่ส่งให้เกาะแห่งนี้มีวันนี้ด้วยรึ…! ได้สองเด้งเลย…หายใจลำบากไม่พอปวดหัวอีกด้วย…สนุกดี
ครูไก่