โลกสวย
โลกสวย
ผมเกิดมาในยุคที่สงคราม ในประเทศเราสงบลงนานแล้ว เท่าที่จำความได้ ภาพสงครามในทีวีที่เห็นนั้นอยู่ช่วงข่าวต่างประเทศ เป็นภาพจากประเทศอื่นไกลตัว จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ประเทศเหล่านั้น อยู่ส่วนไหนในแผนที่ ได้เห็นภาพ ยิงกันทุกวันตายทุกวัน แต่ก็ไม่ได้สนใจมากรู้สึกว่าประเทศเหล่านั้นยังล้าหลังมาก เดี๋ยวพอได้เรียนรู้ก็คงเลิกรบกันไปเอง ในวัยเด็กของผม ตำราเรียน ประวัติศาสตร์ สารคดี ต่างๆได้จนบันทึกเรื่องราวร้ายๆที่ผ่านมา และเผยแพร่ตอกย้ำให้คนได้รู้ว่าสงครามคือสิ่งเลวร้าย มีแต่สูญเสีย และมันโง่มากหากจะยังก่อสงครามกันขึ้นมาอีก พอผมขึ้นมัธยม ก็มี นโยบายสวยหรู พร้อมคำพูดติดหูคือ “เปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสนามการค้า” ในตอนนั้นทุกคนตื่นเต้นไปกับการ พัฒนาการค้า และเศรษฐกิจ
เรื่องของอาวุธและสงครามกลายเป็นเรื่องของความล้าหลัง อยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ จนวันที่ผมต้องไปเรียน รักษาดินแดน ผมรู้สึกต่อต้านและไม่เห็นด้วยเลยเพราะไม่เข้าใจว่าเราจะไปรบกับใครอีก พยายามจะหลีกเลี่ยง (ไม่ได้กลัวลำบาก แต่สมัยวัยรุ่นใครไปเรียน รด. นี่จะตัวดำหัวเกรียนสิวเขรอะขี้เหร่มาก กลัวจีบสาวไม่ติดมากกว่า ยุคนั้นหนุ่มตี๋มาแรงด้วย) แต่ในที่สุดก็เรียนจนจบ ปี3 แบบรู้สึกว่ามันก็ไม่เลวร้ายสักเท่าไหร่ (เพราะแม้จะหัวเกรียนตัวดำสิวเต็มหน้า แฟนก็ไม่ทิ้ง กัน) ไม่รู้ว่าผมโลกสวยไปเองหรือเปล่า ทุกอย่างที่ผมเรียนรู้จากในโรงเรียนและสื่อต่างๆ ในตอนนั้นคือ มนุษย์โลกได้เรียนรู้และ ก้าวข้าม สงครามไปแล้ว เราได้เข้าสู่ยุคอินเตอร์เนทแล้ว (ณ ตอนนั้น modem สำหรับต่อ อินเทอร์เนทความเร็วสูงสุด 56K.) แม้แต่การมีเรื่องชกต่อยกันในโรงเรียน ถึงขั้นปากแตก แล้วก็ยังมาจับมือ สงบศึก กลับมาเป็นเพื่อนกันอีก
สมัยเรียนหนังสือคิดมาตลอดว่า สงคราม ความขัดแย้ง ความวุ่นวายในบ้านเมืองคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะ ทุกคนมีการศึกษาที่ดี รู้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันเลวร้าย และมนุษย์ได้คิดออกแบบ ศาสนา ระบบการปกครอง กฏหมาย วัฒนะธรรม เพื่อป้องกันเหตุการณ์ เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เราถูกปลูกฝังให้คิด ดีทำดี มองโลกในแง่บวกเสมอ แน่นอน ในสถาบันศึกษาต้องปลูกฝังเรื่องดีๆ เหล่านี้แต่ มันสามารถแก้ไขและป้องกันได้จริงหรือ ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ได้เรียนรู้และมีหลักฐาน มาพิสูจน์ ทฤษฎีว่า จริงๆแล้ว “กฏมีไว้แหก” เพราะไม่ว่ากฏระเบียบ สังคมจะดีแค่ไหนแต่มนุษย์ก็สามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงเพื่อประโยช์นส่วนตัวจนได้ บางคนก็โกงเนียนๆทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บางคนก็โกงกันหน้าด้านๆ
สมัยเรียนหนังสือ ผมอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลที่ ต้องสอบแข่งขันแย่งกันเข้า แต่ก็มีระบบฝากเข้าเรียนด้วย ในห้องเรียน จึงมีทั้งเด็กดีเรียนเก่งและเด็กที่ค่อนข้างเกเรรวมกัน ซึ่งผมว่าเป็นข้อดีที่ เด็กดีก็ได้รู้จักรู้ทันสิ่งเลวร้าย ส่วนเด็กเกเรก็ยังมีเพื่อนดีๆช่วยกันดึงไว้ ไม่ให้พากันลงเหวทั้งห้องเรียน ส่วนผมอยู่ตรงกลางค่อนมาทางเกเร แต่ไม่ทำเรื่องเลวร้าย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการแหก กฏระเบียบจนต้อง วิ่งหนีอาจารย์ฝ่ายปกครองบ่อยๆ ถ้าพูดให้ดีหน่อย มันคือ วิชาเอาตัวรอด คือรู้วิธีคิดอย่าง โจร แต่จะทำอย่างโจรหรือไม่นั้นอยู่ที่คุณธรรมของแต่ละคน ผมเคยคุยกับเพื่อนเร็วๆนี้เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง ความวุ่นวายต่างๆ ผมลองคิดอย่างโจรและเล่าให้ฟัง ว่าถ้าผมเป็นโจรที่คิดร้ายต่อบ้านเมืองผมจะทำแบบนี้ เพื่อนกลับหาว่าผมบ้าคิดมากเกินไป ใครมันจะเลวขนาด เรื่องแบบนั้นมีแต่ในหนังเท่านั้น และนี่เองที่ผมคิดว่าเป็นจุดอ่อนของคนดีข้อนึงคือ มองโลกในแง่บวกมากเกินไป และไปมองกันที่ระบบ มากกว่า ตัวบุคคล เพราะคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของปัญหา แล้วคนก็คิดระบบมาแก้ไขปัญหา แต่ระบบไม่ว่าจะดีแค่ไหน มนุษย์ก็สามารถหาวิธีโกงมันได้ถึงแม้ไม่มีช่องโหว่ในระบบ ก็สามารถโกงมันแบบหน้าด้านๆได้
ผมศึกษาเรื่องการเมืองมาแม้อาจจะไม่นานเท่าผู้อ่านหลายท่าน แต่เฉพาะในช่วง 10 ปีนี้ก็ได้ผ่านเหตุการณ์ สำคัญหลายๆเหตุการณ์ และได้เห็นว่า คนนี่แหละตัวปัญหา โดยเฉพาะผู้นำ หลายๆครั้งเราไปโทษระบบ โทษกฏหมาย แต่จากประสพการณ์ ตรงของผมที่เคย จัดตั้งนิติบุคคล หมู่บ้านซึ่งเป็น ระบบประชาธิปไตย เล็กๆ โดยผมทำงานให้เจ้าของหมู่บ้านเมื่อขายจบก็จะส่งมอบส่วนกลางให้ลูกบ้านดูแลกันต่อ เพียงแค่นี้ก็ ได้เห็นแล้วว่า ชะตากรรม ของหมู่บ้านนั้น ขึ้นอยู่กับผู้นำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เสียงดังโวยวาย มีฐานเสียง สามารถกล่อมลูกบ้านได้ แต่พอได้อำนาจ ยังไม่ทันจดทะเบียนนิติบุคคล ก็หลงกับอำนาจใช้มันจนชาวบ้านลุกขึ้นมาร้อง จนการจดนิติบุคคลรอบแรก พังไม่เป็นท่า แถมยังมีเรื่องการ โกงกิน และโทษกันไปโทษกันมา แทงข้างหลังกันจนไม่น่าเชื่อว่า แต่ละคนจะเขี้ยวเล็บเยอะขนาดนี้ ในฐานะคนกลาง ที่สร้างหมู่บ้านมาตั้งแต่ต้นก็ อดสงสารและเสียดายคนในหมู่บ้านไม่ได้ คงได้แต่หวังว่าจะมีคนดีอยู่ในกลุ่มผู้นำนั่นและแข็งแรงพอที่จะคานอำนาจไว้
ไม่ว่าการเมืองเล็ก หรือการเมืองใหญ่ ผมคิดว่ามันมีพื้นฐานเดียวกันคือ คนที่เป็นผู้นำจะเป็นผู้กำหนดทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองแบบไหนก็ตาม ดั่ง พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” ส่งเสริมคนดีนั้นไม่ยาก แต่การควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจนี่ยากมาก ผมไม่แน่ใจว่าหากคิดเป็น เปอร์เซนต์ในโลกนี้มีคนดีกับคนเลวอย่างละกี่เปอร์เซนต์ เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดอยู่ในประเภทไหน แต่เดาๆเอาว่าคนเลวอย่างน้อยก็น่าจะครึ่งนึง
ช่วงหลังเวลาผมคาดเดาเกมการเมือง ผมใช้วิธีมองที่ผู้มีอำนาจ ณ เวลานั้น ว่าเป็นคน ดี หรือคนเลวแค่ไหน มีความกล้า ฉลาดและเข้มแข็งแค่ไหน มองคนให้ออกนั้นบางทีก็มองยาก แต่บางทีก็มองออกได้ง่ายๆ สำหรับผมแล้วในกรณีอ่านคนไม่ออก ก็จะจัดให้เป็นคนเลวซะเลยส่วนใหญ่ไม่ค่อยพลาดเพราะคนดีจะอ่านง่าย แล้วสมมุติตัวเองว่าเป็นคนๆนั้นมีอำนาจและอยู่ในสถานะการณ์แบบนั้น แล้วคิดอย่างโจร คือ คิดให้เลวที่สุดเท่าที่จะทำได้และผลออกมาก็จะค่อนข้างตรงแบบพอไปเป็นหมอเดาได้ หลายๆคนเดาสถานะการณ์ไม่ออกเพราะ ถูกปลูกฝังให้คิดดีทำดี และมองภาพซับซ้อนเกินไป แต่หาก ได้ลองคิดอย่างโจรดูบ้าง ก็จะได้มุมมองใหม่ๆอ่านเกมได้ออก เพราะคนกำหนดเกมมันมีอยู่ไม่กี่คน
ช่วงนี้ข่าวการเมืองโดยเฉพาะข่าวต่างประเทศเข้มข้นยิ่งกว่าหนัง hollywood แม้จะวงใหญ่ระดับโลก มันก็ยังเป็นเรื่อง ของคนกับผลประโยช์น เรื่อง อื่นๆเป็นเพียงข้ออ้าง ลองสมมติตัวเองว่าเป็นผู้เขียนบทหนังดูแล้ว แทนตัวเองเป็นผู้นำที่เลวที่สุด คิดบนพื้นฐานความโลภ ความอิจฉา ความเกลียด เอาผลประโยช์นตัวเองเป็นที่ตั้ง โกงทุกโอกาส ตอแหลมันได้ทุกเรื่องอย่างไม่อายฆ่าคนบริสุทธิ์ได้เพื่อผลประโยช์น หากคิดว่ามันมีแต่ในหนังก็ลองคิดดูว่า ผมคิดได้ คนเขียนบทหนังคิดได้ โจรก็ต้องคิดได้ ใครไม่เคยทำแปลว่าคุณเป็นคนดีมากๆ แต่ก็ลองคิดดูเล่นๆบ้างก็ได้โดยเฉพาะผู้นำที่ดีบางท่าน ผมรู้สึกว่าบางครั้งท่านก็ดี๊ดี เกินไปจนไม่ทันเกม อยากให้ท่านลอง คิดเลวแต่ทำดี ดูบ้างเราจะได้ทันเกมและถ่วงดุลโลกนี้ได้บ้าง ผมคิดว่าคงไม่ได้ชี้ช่องให้โจรเพราะโจรหลายคนคิดได้และฉลาดกว่าผมอยู่แล้ว แต่ท่านผู้อ่านหากลองทำตามก็อย่าทำกันบ่อยๆนะครับเพราะมันเป็นวิชามาร เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก