ส่องสกุล สมิตะเกษตริน
ผู้จัดการฝ่าย
บริษัทในกลุ่ม ทีซีซีแอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย)
“ตอนเด็ก แทบไม่มีตุ๊กตาเลยค่ะ ไม่เคยร่ำร้องอยากได้ เพราะเวลาส่วนใหญ่จะไปวิ่งเล่นกับพี่ชาย น้องชาย” คุณกุ้ง (ส่องสกุล สมิตะเกษตริน) ผู้หญิงเก่งแขกรับเชิญฉบับนี้ ย้อนอดีตเมื่อวันวานว่า ตัวจริงของเธอนั้นไม่อ่อนหวานเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่น จนคุณแม่เป็นห่วง
“คุณแม่อยากให้เราเป็นเด็กผู้หญิงบ้าง พอดีคุณป้าสอนรำอยู่ที่โรงเรียนนาฏศิลป์สัมพันธ์ พอวันอาทิตย์ ก็ไปฝากกับคุณป้าไว้ เพื่อหัดรำละคร ไม่งั้นถ้าอยู่บ้านทั้งวันก็ได้แต่เล่นซนเหมือนเด็กผู้ชาย”
คุณกุ้ง เป็นเด็กเรียนเก่งของโรงเรียนราชินี สอบได้ที่หนึ่งเป็นประจำ
“เก่งแบบ เรียนไปหลับไปค่ะ จนครูสงสัยว่าทำไมสอบได้ที่หนึ่ง” เธอเล่าพร้อมกับขำตัวเองไปด้วย
“พี่ชายกุ้งเขาเรียนชั้นสูงกว่า ทำให้มีหนังสือเรียนส่งต่อมาให้น้อง ส่วนใหญ่ก็ใช้เหมือนๆ กัน ทำให้เราได้อ่านก่อนล่วงหน้า กุ้งชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ขนาดตอนเด็กๆ ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนและยังอ่านหนังสือไม่ออก ก็รื้อชั้นหนังสือคุณย่ามาเปิดดูรูป จนผู้ใหญ่เวียนหัวว่าไม่เคยอยู่นิ่ง”
พอจบมัธยมต้นจากราชินี ต่อมัธยมปลายสายวิทย์ฯ ที่เตรียมอุดม จนได้เข้าเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เอกการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่กลับไม่ได้ทำงานตรงกับสายงานที่เรียนมา เพราะได้งานแรกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
“ทำได้พักใหญ่ราว 4-5 ปี พอได้ประสบการณ์ก็รู้สึกว่า นี่ไม่ได้เป็น Lifetime job ยิ่งในระยะยาวแล้ว น่าจะลงมาทำงานข้างล่างจะดีกว่า” ความรู้สึกนี้จึงทำให้คุณกุ้งตัดสินใจเริ่มงานใหม่เมื่อวัยก่อนสามสิบ พร้อมกับวางแผนเรียนปริญญาโทไปด้วย และได้ใช้ชีวิตการทำงานหมุนเวียนไปตามจังหวะและโอกาส ใช้ชีวิตเป็น Working Women ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งหนึ่งที่เป็นความสุขของชีวิตคุณกุ้ง นอกเหนือจากความก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน ในฐานะผู้หญิงเก่ง นักบริหารผู้มากด้วยประสบการณ์แล้ว เธอยังเป็นผู้ที่มีความรักและหลงใหล ในวิถีความเป็นไทย โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งกาย
ตั้งแต่คุณกุ้งลาออกจากงานบริการของสายการบิน และเริ่มกลับมาทำงานบริษัท ทำให้มีโอกาสเดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ บางครั้งได้เห็นผ้าท้องถิ่น ดูแล้วสวยดี รู้สึกชอบ เห็นว่าชิ้นไหนถูกใจก็ซื้อไว้ จนมีผ้าไทยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดความคิดว่า เมื่อเราไปไหน ก็ควรมีผ้าพื้นถิ่นของที่นั่น แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีความรู้เรื่องผ้า ซื้อเพราะสัญชาติญาณล้วนๆ เลยค่ะ จนกระทั่งเริ่มเข้ากลุ่มนุ่งซิ่นก็สวยได้ และชมรมสานใจสายใยผ้าซิ่น เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ถึงได้เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับผ้าไทยของเรามากขึ้น”
คุณกุ้งเริ่มนุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วและอยากใส่ เช่นเสื้อยืดและเชิ้ต ไม่ใช่ใส่กับเสื้อลูกไม้ ออกงานครั้งแรกไปงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้อง ก็ใส่ผ้าซิ่นกับเสื้อตัวโปรดและเข็มขัดเงิน
“คือ… มีความรู้สึกว่าอยากใส่แบบนี้มากกว่า เพราะนี่คือ สไตล์ของเรา” และหลังจากนั้น คุณกุ้ง ก็เริ่มมีผ้าซิ่นในตู้เสื้อผ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนพอๆ กับกางเกงยีนส์

หน้าที่การงานของคุณกุ้งก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นเพราะ ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่อะไร เธอก็จะใส่ใจ และมุ่งมั่น แก้ไขปัญหานั้นอย่างเต็มที่ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จออกมา ซึ่งเรื่องนี้ คุณกุ้ง มีเคล็ด (ไม่) ลับ
“งานคืองาน กุ้งเต็มที่กับงานเสมอค่ะ เกินร้อยด้วยซ้ำ จนบ่อยครั้งที่เก็บเอาไปฝัน” เธอเล่าพร้อมกับหัวเราะ
“แต่ก็ควรต้องรู้กับคำว่า พอดี เพราะบางครั้ง หากเรามุ่งมั่นเกินไป อาจจะกระทบกับตัวแปรหลายๆอย่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น การผ่อนสั้นผ่อนยาว ถอยบ้าง รุกบ้าง เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการทำงานกับคนกลุ่มใหญ่ แล้วหาจุดพอดีที่สุด ที่ไปด้วยกันได้ทั้งหมด”
“ขณะที่จุดหมายเรามี เป้าหมายเรามี ต้องพยายามไปให้ถึงให้ได้ เราผ่านประสบการณ์มาเยอะแล้ว ควรรู้ว่าจะแก้ปัญหา อุปสรรค ขวากหนาม ทั้งหลายกันยังไง ทักษะในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลรอบข้างในงาน มีความจำเป็นมากจริงๆ” คุณกุ้งให้ข้อคิดเรื่องงานไว้อย่างน่าสนใจ
และเมื่อย้อนกลับมาคุยต่อถึงเรื่องโปรด เธอก็เล่าอย่างต่อเนื่องได้อีกครั้ง
“ส่วนตัวก็มีความคิด มีความต้องการอยู่แล้วว่า ทำอย่างไรถึงจะให้คนไทย หันมาใช้หัตถกรรมไทยให้มากขึ้น จึงได้เปิดเพจ “นุ่งไทยเที่ยวไทย สายแนว” เพื่อบอกว่า ถ้าเรานุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อพื้นเมือง หรือใช้ accessories ที่เป็นหัตถกรรมพื้นเมือง เวลาออกนอกบ้าน เราไม่ต้องอายใคร เป็นเทรนด์ที่ดีด้วยซ้ำ เท่ได้ เก๋ได้ สวยได้”
“กุ้งยังมีกลุ่ม “รักษ์ไทย เที่ยวไทย กับเพื่อนสายแนว” มีพรรคพวกเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ใช่การนุ่งผ้าไทยแบบดั้งเดิม เป็นการประยุกต์ ทำให้คนที่ไม่กล้าใส่ผ้าไทย เกิดความมั่นใจ ใส่ไปไหนต่อไหนได้ แต่การจะให้คนหันมานุ่งห่มผ้าไทย ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ใครมีเสื้อผ้าเดิมอะไรอยู่ มาผสมผสานกับของใหม่ที่กำลังจะเข้ามา เพื่อให้รู้จักกับการ Mix & Match เอง แล้วจะเกิดความสนุกด้วย”
“อย่างกุ้งเอง ถ้าไม่ใช่งานที่เป็นทางการและต้องใส่สูท ชุดทำงานบางครั้งก็ใส่เสื้อคลุมของชนเผ่าแทน อยู่ที่ทำงาน ก็ใส่ผ้าไทย นุ่งผ้าซิ่น เป็นปกติ ไม่ได้ผิดระเบียบอะไร เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ เรานุ่งตามความเหมาะสม กาลเทศะ สบายใจที่จะนุ่ง หรือเวลาออกต่างจังหวัด ตรวจตลาด กางเกงคล่องตัวที่สุด ก็นำเสื้อผ้าไปยุกต์ตามสะดวก เป็นสไตล์ของตัวเองมาหลายสิบปีแล้ว”
“ผ้าไทยใส่กับกางเกงยีนส์ก็ได้ ใส่กับรองเท้าผ้าใบก็ได้ หรือจะหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมด้วยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่กับรองเท้าส้นสูง เสื้อลูกไม้ หิ้วตะกร้า แต่งตัวแบบจัดเต็มจนบางครั้งไม่สามารถใช้งานจริงได้ ซึ่งนั่นเป็นภาพเดิมๆ ที่อาจจะชินตา เราจึงพยายามนำเสนอแนวทางเลือกการแต่งกายด้วยผ้าไทยแบบใหม่นี้ ให้กับคนรุ่นใหม่ที่มียีนส์อยู่เต็มตู้ มีเสื้อยืดเก๋ๆ เสื้อเชิ้ตสวยๆ ก็นำมาใส่ด้วยกันได้ อย่างกุ้งเอง คนเดาทางไม่ออกหรอกว่าวันนี้จะแต่งตัวแบบไหน เพราะผ้าไทยสามารถใส่กับอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ยีนส์ ผ้าใบ จนไปถึงชุดหรูหราออกงานใหญ่”
“เราต้องการให้เงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศ ช่วยเหลือคนที่ผลิตผ้าไทยได้บ้าง แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะต้องเสียสละอะไรกันมากมาย เพราะมันเข้ามาในวิถีของเรา ถือว่าเป็นจุดเริ่มที่ดี บางคนพอเริ่มแล้วติดใจ ก็จะไปหาผ้าไทยไปตัดชุด ตามสไตล์ที่ตัวเองชอบ ที่สำคัญก็คือทุกคนถ่ายรูปเมื่อออกนอกบ้าน เป็นการตอกย้ำความมั่นใจของคนที่เข้ามาดูว่า ชุดต่างๆ เหล่านี้ใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่นุ่งอยู่กับบ้าน อย่างชมรมสานใจสายใยผ้าซิ่น จะมีโพสต์ภาพต่างๆ ของเรา ก็มีเพื่อนๆ เข้ามาไลค์ เข้ามาคอมเม้นต์ หรือกิจกรรมอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นมิตรภาพอีกทางหนึ่งค่ะ”
เมื่อไม่นานมานี้เอง ชมรมสานใจสายใยผ้าซิ่น ได้ชวนให้คุณกุ้งไปฟ้อนในประเพณี ตานก๋วยสลาก ในฐานะนางรำเก่า เริ่มหัดรำตั้งแต่ประถมต้น พอรื้อฟื้นทบทวนความจำนิดหน่อยก็ทำได้สบายมาก พอเสร็จก็มีงานต่อ เป็นการฉลองครบ 1 ปี ของชมรมฯ ซึ่งท้าทายความสามารถมาก เพราะนั่นคือการรำ ฉุยฉายพราหมณ์ ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นหนึ่งในการรำที่ยากที่สุด
“ปกติเป็นคนรำละครอยู่แล้ว สมัยอยู่โรงเรียนราชินี มีพื้นฐานรำละครก็เลยทำกิจกรรมแนวนี้ได้เร็ว ตั้งแต่เริ่มเรียนรำ แม่บท ศรีนวล ฉุยฉาย ต้นวรเชษฐ์ เป็นขั้นเป็นตอน แต่พอโตขึ้นมาก็ว่างเว้นไป พอได้มารำอีกครั้ง ก็อาศัยพื้นฐานเดิม ซึ่ง ฉุยฉายพราหมณ์ เป็นการรำ 12 นาที ที่ทั้งนั่ง ทั้งลุก ข้อเข่าคนอายุห้าสิบกว่าก็คงไม่เหมาะกับกิจกรรมประเภทนี้นักถ้าไม่ได้ทำอยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องเตรียมตัวเป็นเดือน เพราะสภาพร่างกายของเราสมัยนั้นกับสมัยนี้มันต่างกันมาก มีคนบอกว่า ถ้าหนักไปก็ตัดทอนได้ จาก 12 นาที ให้เหลือ 8 นาที ก็ยังได้ แต่เราบอกว่า ไม่ ให้มันรู้กันไปว่า 12 นาทีจะไม่ไหว ซึ่งในที่สุดก็ทำได้”
เมื่อตัวเลขเพิ่มขึ้น จนถึงวัยใกล้เกษียณ เรื่องสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่

“ไม่สนใจไม่ได้หรอกค่ะ” คุณกุ้งจึงดูแลตัวเองทั้งในเรื่องการกินและการออกกำลังกาย “ไม่ถึงกับเล่นกีฬาหนักๆ อาศัยเล่นกอล์ฟ เพราะเป็นผลพลอยได้จากการเคยทำงานในสนามกอล์ฟ ทำให้ ได้เดิน ได้ออกกำลัง ได้สวิง และยังได้อากาศดี รถไม่ติด ไม่เสียเวลาทำงาน ไม่เสียสุขภาพจิต และคุมเรื่องอาหารบ้างตามสมควร”
“กุ้งจะไม่กินอะไรหลัง 20:00 น. และกินอีกครั้ง หลัง 07:00 น. ราว 11 ชั่วโมงที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แล้วช่วงไหนที่ต้องการลด หรือคุมน้ำหนักอย่างเข้มงวดจริงๆ ก็จะขยายเวลาเป็น 18:00 น. ถึง 08:00 น. แต่นอกเหนือจากนี้ก็กินได้เต็มที่ เพราะร่างกายต้องมีเวลาย่อย”
“พยายามไม่ใช้เครื่องทุ่นแรง ไปไหนมาไหนในเมือง ใช้รถไฟฟ้า เพราะสามารถกำหนดเวลาได้ และยังได้เดินอีกเป็นระยะทางพอสมควร เท่ากับได้ออกกำลังกายไปในตัว และช่วงตื่นนอนทุกวัน จะใช้เวลาในการวอร์มอัพ ยืดเหยียดร่างกาย ไม่ต่ำกว่า 15 นาที หลัง ขา แขน สะบัก คล้ายๆ กับโยคะแต่เบากว่า ก่อนนอนก็อาจจะมีบ้าง เพื่อทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายจะหลับสนิท”
ช่วงก่อนเกษียณคุณกุ้งมีกิจกรรมอะไรหลายอย่างให้ทำเยอะแยะมากมาย
“เรารู้สึกชื่นชมในหัตถกรรมไทย เครื่องประดับ เลยไปเรียนทำเครื่องประดับ จากที่เคยซื้อ ก็อยากทำเองด้วย ไปเรียน ไปฝึก หัดทำปิ่นปักผม จากชิ้นแรกที่ออกมาเละเทะ ก็ถือว่าเป็นครูของเรา แล้วค่อยๆ พยายามพัฒนาฝีมือตัวเอง จนถึงชิ้นที่ 10 ซึ่งก็สวยงามพร้อมจะรับออร์เดอร์ได้แล้ว(หัวเราะ) เป็นงานอดิเรก ที่ได้ฝึกสมาธิ วันหยุดก็มีกิจกรรมทำ”
“อายุขนาดนี้ เป็นธรรมชาติว่าคนเราจะถดถอยในเรื่องการควบคุมการใช้อวัยวะต่างๆ การฝึกทำงานฝีมือแบบนี้ช่วยเราได้ ถ้าทำไปเรื่อยๆ ก็เชื่อว่า จะห่างจากโรคความจำเสื่อม โรคพาร์กินสัน ทำให้ร่างกายมีการยืดระยะเวลาในใช้งานให้ออกไป ไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน”
“การได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มีความสุข สนุก ได้ตังค์ยิ่งดี แล้วก็เที่ยว มีเพื่อนฝูงที่ไปเที่ยวด้วยกัน เมื่ออายุมากๆ ก็จะไม่รู้สึกเสียดายเวลา ไม่เสียดายประสบการณ์ เมื่อก่อนเที่ยวโลดโผน ต่างประเทศก็ไปบ่อย เดี๋ยวนี้เที่ยวในเชิงวัฒนธรรมในบ้านเรา กินไป ถ่ายรูปไป กับเพื่อนๆ ที่รู้ใจกัน จัดการเดินทางแบบไม่ให้เหนื่อยมากนัก เตรียมการกันเอง เพื่อให้ตรงใจ ตรงกับความต้องการของเรา”
“ตัวเองโชคดีที่มีเพื่อน เพื่อนรักกันจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน คุยได้ทุกเรื่อง เราไม่ได้คบคนที่ปริมาณ เน้นคุณภาพของคนที่เข้ามาเป็นเพื่อนมากกว่า เพื่อนนักเรียนที่คบกันมายาวนานต่อเนื่องมีอยู่ไม่เกิน 5 คน เราคุยกัน เราเจอกัน บางครั้งเราเครียด มีอะไรเราคุยกับเพื่อน นอกนั้นก็จะเป็นเพื่อนที่ห่างๆ กัน หรือเพื่อนในชมรม ก็จะมีกิจกรรมทำ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่าง”
คุณกุ้งทำกิจกรรมเยอะแยะไปหมด พร้อมกับทำงานหนักควบคู่ไปด้วย เพราะเหตุผลที่เป็นข้อสรุปสำหรับชีวิตของเธอว่า
“เมื่อถึงเวลาเกษียณ ก็จะชัดเจนมากขึ้นว่าเราจะทำอะไร เพื่อเราจะได้มีความสุขที่จะทำด้วย แต่ต้องเป็นการทำเพื่อความสุข สนุกสมกับวัย ไม่ใช่จริงจังเพื่อเลี้ยงชีพ”
“กุ้งเชื่อว่า หลังเกษียณ เราน่าจะเป็นคนแก่ที่มีความสุขคนหนึ่งค่ะ”
