ความรักในอดีต
เรื่องของความรักในชีวิต ครูไก่เนี่ยมีอยู่ไม่มากมายก่ายกองอะไรนักหรอก ด้วยความต้องออกจากบ้านมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย คือ 6 ขวบปีก็มาแล้วเมืองหลวง จะอยู่กับครอบครัวจริงๆ เท่าที่จำได้ก็ราวๆ 3 ปีมั้ง พอเข้ามาอยู่บ้านอยู่เมืองที่กรุงเทพฯชีวิตที่ควรจะได้รับความอบอุ่นเหมือนเด็กคนอื่นก็จบลงครับ ปีนึงๆอาจจะได้กลับบ้านราวๆ 15 วัน ชีวิตที่ต้องอยู่กับคนอื่นจะพูดจะจาอะไรก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตน คำพูดหยาบคายถือว่าผิดกฎของบ้านเป็นที่สุดใครด่าทอใครด้วยคำหยาบคายก็จะโดนเจ้าของบ้านเรียกไปอบรมแบบยาวๆ (ร่ายยาว) ก็ว่าได้…
เมื่อเราอยู่ห่างจากพ่อ-แม่รวมถึงพี่น้องก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ การจะรักใครชอบในอะไรสักอย่างจะไม่ค่อยเกิดขึ้นง่ายๆ ยามใดที่คิดถึงใครสักคนในครอบครัวมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นให้ใครเห็น แต่จะเก็บไว้ข้างในใจส่วนมากจะมาตามฝันว่าเจอคนนั้นคนนี้แค่นี้ก็ดีใจจะแย่แล้วในยามตื่น แต่พอเราเริ่มทำงานกลับพบว่าเรามีความรักและฝังใจกับกีฬาโดยเฉพาะเทนนิส ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมเมื่อครั้งที่ครูไก่เป็นวัยรุ่น จำได้ว่าสมัยนั้นไม้เทนนิสที่เป็นไม้ก็ยังไม่ไปไหน แต่กลับมีวัสดุที่เป็นเหล็กเริ่มเข้ามาแทนที่บ้างแล้ว ส่วนเราก็ได้แต่มองกับมองเท่านั้นเอง…
แต่พอมีโอกาสได้เล่นกับเขาบ้างมันจึงกลายเป็นความรักต่อกีฬาชนิดนี้แบบ “เป็นบ้าเป็นหลัง” กล่าวคือ เช้าสายบ่ายเย็นหรือตอนนอนเจ้าอาวุธคู่กายมักอยู่ติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งก็แน่นอนหากจะเทียบกับคนอื่นที่เขาเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เราคงจะไปเทียบเคียงกับเขาได้ แต่พอฝึกมากแข่งมากเราก็พอไปวัดไปวาได้ เมื่อจบการศึกษา “เจ้าเทนนิส”ก็ยังคงเป็นอาชีพที่ใช้ทำมาหากินอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ก็อย่างที่บอก “ครูไก่อยู่กับตัวเองมานาน” ดังนั้นอะไรที่เชื่อว่าเรา “ทำได้” จะเพียงทำจนจบส่วนจะได้มรรคได้ผลอย่างไรค่อยว่ากันทีหลัง…
ในขณะที่ออกตะเวนแข่งขันเทนนิสไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เราก็มีงานสอนแล้วก็เทรนเด็กๆควบคู่กันไป คงจะเรียกว่า “ทั้งบ้าสอนแล้วก็บ้าแข่ง”ไปในเวลาเดียวกัน ในการแข่งขันในหลายครั้งที่มีเพียงเงินติดกระเป๋าไปพอไม่อดตายที่เหลือก็ไปหาเอาในการแข่งขัน บางทีขาดทุนไม่มีแม้เงินค่ารถกลับก็อาสาเป็น “ผู้ตัดสิน” หาเงินกลับก็มี นานๆ เข้าเริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นจนกลายเป็น “ความรักและหลงใหล” เรียกว่า “จ่าย100สอน1000” แบบนั้น
มีบางช่วงขนาดทุ่มเทในการสอน “ฟรี” เป็นปีๆ เพราะอยากให้ลูกศิษย์ลูกหาได้แชมป์เป็นพอ ก็อย่างที่ทุ่มเทถ้วยรางวัลมีมากขนาดต้องเอาไปไว้ใต้เตียงนอนก็มี เอาไปบริจาคก็มาก บางทีก็โดนทางต้นสังกัด “เหล่” เอาเหมือนกันก็เพราะเราหนีงานได้เงินแน่ๆไปทำงานฟรีๆ แบบนี้ก็สมควรแหละครับ แต่ก็อย่างที่เล่ามาก็คือ “ใจมันรักในการสอนแบบหัวปักหัวปำ” ยิ่งช่วงนั้นก็สูญเสียทั้งพ่อและแม่แบบหัวปีท้ายปี งานสอนคือสิ่งเดียวที่เหลือ แล้วมันก็เป็นยาขนานเอกก็ว่าได้…
ครูไก่ ลำพอง ดวงล้อมจันทร์