ไปเปิดหูเปิดตาที่ เฉินตู
ไปเปิดหูเปิดตาที่ “เฉินตู”
ว่ากันไปแล้วการที่คนเราไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียบ้างมันก็ดีเหมือนกัน นอกจากความสุขอันเนื่องจากการเดินทางกับเพื่อนฝูงแล้ว การวางแผนที่จะทำให้คณะ”หนุกหนาน”ในยามคับขันดูจะเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อย ว่าแต่เรื่องคับขันหรือวุ่นวายมันคือเรื่องอะไรกันเล่า…แล้วจะเล่าให้ฟังในลำดับต่อไปนะ
เฉินตูเป็นเมืองที่มีความเจริญ และพัฒนาอยู่ในแนวหน้าของประเทศนี้ สาวน้อยที่ทำหน้าที่ “ไกด์นำเที่ยว”บอกว่า”เฉินตูมีประชากรหนาแน่นที่สุดในจีน” จากจำนวนประชากร “1,400ล้านคน” ลองคิดดูคร่าวๆหากจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างใน”จีน” ขอกำไรแค่50สตางค์ต่อคนจากจำนวน 1,400ล้านคน โอยแค่คิดก็เป็นลมดีกว่า แค่เฉินตูเมืองเดียว 16ล้านคนเข้าไปแล้ว…
ครูไก่เดินทางจากสนามบิน”สุวรรณภูมิ”สู่เฉินตูโดย”การบินไทย”แน่นอนที่สุดสายการบินแห่งชาติ “ครูไก่”มิมีข้อตำหนิอะไรแม้แต่น้อย เพราะการเดินทางโดยเครื่องบินย่อมดีกว่า”เรือสำเภา”แน่อน คนของการบินแห่งชาติดูแลครูไก่และ”คณะ”ประหนึ่งเป็นคนพิเศษทั้งๆที่เราบินในชั้น “ประหยัด”เท่านั้น อย่างไรเสียเราเป็นผู้ฝากทุกอย่างไว้ในมือใครสักคนโดยเฉพาะ”ชีวิต” อะไรที่จะได้มาบนเครื่องถือเป็น “เครื่องเคียง”เท่านั้นเอง…
เราใช้เวลาเดินทางราว3ชั่งโมงครึ่ง เครื่องโบอิ้ง”777″ก็แตะพื้นสนามบินแห่งเมือง”เฉินตู” สนามบินแห่งนี้อยู่ในวงแหวนที่4 ต่อ5ของเมือง แต่อนิจจาสนามบินเป็นเพียงสนามบินที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายเลยสักนิด ตัวอาคารก็”ธรรมดา”แต่เท่าที่เห็น”เมือง”ที่ผมเห็นมันน่าจะเป็น”มหานคร”เสียมากกว่า เพราะเท่าที่ดูจากมุมสูง”กรุงเทพฯ”ของเราดูแล้วเล็กไปถนัดใจ…
สาวน้อนนาม”เชอร์รี่”ได้เข้ามาต้อนรับคณะเรา จากสำเนียงการพูด”ภาษาไทย”ของเธอ”ไม่ธรรมดา”ชัดเจนแตกฉานทั้งสำบัดสำนวน”นักเลง”ชัดๆ นี่แหละหน้าที่ของครูไก่ที่จะเห็นไกด์คนนี้เป็น”สมันน้อย”ให้เรา”ต้อน”มันยากเสียแล้ว ดังนั้น”แผนจะต้องปรับกันใหม่ เพื่อความสำราญของคณะ ทันทีที่เราขึ้นรถบัสที่ให้บริการ “เชอร์รี่” ไกด์ของเราแจกแจงลักษณะเมืองตลอดจนความเป็นมาเป็นไปของ”เฉินตู”ได้ชัดเจนจริงๆ…
ช่วงเวลาที่เราเดินทางออกนอก”เมืองเฉินตู” โอ้แม่จ้าวจากวงแหวนรอบนอกชั้น4ต้องผ่านจากฝั่งหนึ่งสู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง นี่หรือ”เมือง”อาคารทั้งที่เป็นย่าน”ธุรกิจ”และ”ที่พักอาศัย”ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านยิ่งนัก บ้านเมืองถูกจัดให้อยู่เป็นที่เป็นทาง “ขยะ”หรือสิ่งที่ไม่เจริญหูเจริญตาหาไม่พบเจอเอาเสียเลย…
ช่วงที่รถผ่านย่าน”การขายรถยนต์” เชื่อเขาเลยผมเห็น”PORSCHE”จอดอยู่เป็น”ฝูง”ในโชว์รูม นอกนั้นยังมีรถยี่ห้อดังๆทั้งในยุโรปและอเมริกาอีกมากมาย ส่วนถนน”8เลนส์”ที่เราเดินทางไปมันทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา นอกจากนั้นแล้ว”ถนนยกระดับ”ที่ตัดไปมามีอยู่มากมาย ดูเหมือนมันกำลังรอเมืองที่จะขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จากเมืองเราสู่แหล่งท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อนามว่า”หุบเขาหวงหลง”ว่ากันว่าดินแดนแถบนี้เป็นเหมือน”สวรรค์”บนดินโดยแท้ แต่ที่น่ากลัวก็เห็นจะเป็นเรื่องของการเดินทางเสียมากกว่า เพราะจาก”เฉินตู”สู่หวงหลง ต้องใช้เวลาในการเดินทางกว่า “10ชั่วโมง” เราออกจาก”สุวรรณภูมิ”ก็10โมง เดินทางอีก3ชั่วโมงกว่า…คิดไปคิดมาก็บ่ายกว่าๆเข้าไปแล้ว
เฉินตูเร็วกว่ารุงเทพฯ1ชั่วโมง ใช่เลยเราถึงเฉินตูบ่ายแก่ๆ ดังนั้นการเดินทาง10ชั่วโมงกับระยะทาง800 กว่าโล มันก็ต้องมีการนอนค้างอ้างแรมกลางทางกันแน่นอน แต่800 กว่ากิโลเมตรทำไมเดินทางกันตั้ง10กว่าชั่วโมง มันจะอะไรกันหนักกันหนา…ใจเย็นครับแล้วผมจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป…จำได้หรือไม่ว่าเป้าหมายในการท่องเที่ยวนั้นมันอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า”4,500เมตร” การจะไปถึงจุดหมายจะต้องนั่งรถผ่านเทือกเขา, หมู่บ้านที่แปลกตามากมาย ส่วนถนนที่เดินทางไปก็เป็นเพยง”ถนน2เลนส์”ไปกลับ บางช่วงแม่น้ำก็อยู่ทางซ้ายหรือบางคราวก็มาอยู่ทางขวา…
ไม่ผิดหรอกครับถนนสายนี้ติดเลียบไปกับแม่น้ำที่ไหลมาจากยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี แล้วก็ที่ซึ่งคณะเราจะไปกันนั้น “มันเคยถล่มลงมา” จากแผ่นดินไหวเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง…เราคงจำกันได้ครั้งนั้น”เฉินตู”เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย แล้วมันน่ากลัวอย่างไรฉบับหน้าจะกลับมาเล่าให้ฟัง…ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดเพราะการเที่ยวครานี้เฉียด”ตาย”เพียงแค่”ครึ่งชั่วโมง”เท่านั้น พบกันคราหน้านะครับ…
ครูไก่