คอลัมน์ในอดีต

ความรัก คือ ชีวิต (3)

ความรัก คือ ชีวิต (3)

ตะวันบ่ายคล้อย เจ้าคณะตำบลหรือขาวบ้านเรียก ยาครู จะขึ้นเทศน์ เรื่อง เราเกิดมาทำไม มีผู้สูงอายุเริ่มทยอยกันมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันเต็มศาลาวัด

“การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตวัน มีอุบาสก 5 คน เป็นเพื่อนกัน มานั่งฟังธรรม ทั้ง 5 คนต่างมีกิริยาอาการต่างๆกัน คนหนึ่งนั่งหลับ คนหนึ่งนั่งเอานิ้วเขียนพื้นดินเล่น คนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้ คนหนึ่งนั่งแหงนมองดูท้องฟ้า มีเพียงคนเดียวที่นั่งฟังด้วยอาการสงบ

พระอานนท์กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมอุบาสกเหล่านี้จึงแสดงกิริยาเช่นนั้น” พระพุทธเจ้าจึงเล่าอดีตชาติของอุบาสกแต่ละคนว่า

อุบาสกที่นั่งหลับ เคยเกิดเป็นงูแล้วหลายร้อยชาติ เขาหลับมาหลายร้อยชาติก็ยังไม่อิ่ม แม้แต่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ธรรมะก็ไม่เข้าหู ยังหลับอย่างนั้น

อุบาสกที่เอานิ้วเขียนพื้นดิน เคยเกิดเป็นไส้เดือนมาหลายร้อยชาติ นั่งเอานิ้วเขียนบนพื้นดินอยู่อย่างนั้นด้วยอำนาจความประพฤติที่ตัวเคยทำมา ก็ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

อุบาสกที่นั่งเขย่าต้นไม้อยู่นั้น เกิดเป็นลิงมาแล้วหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้ก็ยังเขย่าต้นไม้อยู่ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

อุบาสกที่แหงนมองท้องฟ้านั้น เคยเกิดเป็นพราหมณ์บอกฤกษ์ด้วยอาการดูดาวมาหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้ก็ยังคงนั่งมองดูท้องฟ้าอยู่ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้า

อุบาสกที่นั่งฟังธรรมอย่างสงบด้วยความเคารพ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ศึกษาธรรมะและปรัชญา ค้นคว้าหาความจริงมาหลายร้อยชาติ มาบัดนี้ได้พบพระพุทธเจ้า ตั้งใจฟังธรรมด้วยดี จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน”

เมื่อเทศน์จบ ยาครู ก็ให้ศีลให้พร ก็ได้เวลานำเปีย ใบบัว และแก้ว เวียนรอบเมรุ เสียงมโหรีบรรเลง ทำให้บรรยากาศตอนนั้นดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน ไม่มีเสียงพูด บรรยากาศเงียบ พระอาทิตย์ไม่ฉายแสง อากาศครึ้มคล้ายฝนจะตกลงมา ลมพัดเย็น แขกเหรื่อชาวบ้านมาสมทบเพิ่มมากขึ้น จนได้เวลาพระและประธานทอดผ้าบังสุกุล และวางดอกไม้จันทน์ เสียงดนตรียังบรรเลงเพลงธรณีกรรแสง และพญาโศก สลับไปมา ทุกคนต่างนิ่งไว้อาลัยพร้อมเพรียงกัน ถึงเวลาประชุมเพลิงจริงมีเสียงร่ำไห้กันต่อๆ

จุกกลั้นน้ำตาสุดอาลัยรัก “ไปดีเถอะนะ สุคติ แล้วเราพบกันในภพหน้านะเปีย”

เสียงกริ่งบอกสัญญาณ เสียงสะอื้นของเจ้หมวยดังยิ่งขึ้น เมื่อเห็นควันพวยพุ่งขึ้นบนยอดเมรุ

เสียงฟ้าร้องคำรามดังสนั่นทั่วบริเวณ แสงสลับสีเขียวส้มแดง ฟ้าแปลบปลาบจนชาวบ้านแขกเหรื่อต้องแหงนมองดูบนท้องฟ้า ไม่มีเม็ดฝน…พระอาทิตย์ที่หลบก้อนเมฆอยู่ ค่อยๆคืบคลานออกมาฉายแสงสว่าง ไม่มีความร้อนแรง เป็นดวงกลมขาวเสมือนดวงจันทร์ที่กำลังส่องแสงในเวลาค่ำคืน นำความอัศจรรย์ให้กับสายตาของชาวบ้านแขกเหรื่อที่มาในงาน จุกยืนมองควันที่พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า “พบกันชาติหน้านะลูกๆและเมียของฉัน”…

เสียงดนตรีบรรเลงเพลงกรรแสง
พี่หมดแรงอ่อนล้าพาใจหาย
ลูกและเมียของพี่ที่แนบกาย
มาหนีหายด่วนพรากลาจากจร
วันนี้มีเพียงเราเท่านั้นหรือ
อะไรคือสัจธรรมคำพร่ำสอน
สุดจะรัก สุดจะหา สุดอาวรณ์
เคยแนบนอนห่วงหาสุดอาลัย
พี่ยังยืนอยู่คนเดียวเปลี่ยวหนักหนา
มองซ้ายขวาริมน้ำโขง โค้งไปไหน
พาลูกเมียของพี่หนีจากไป
สุดแสนไกล สุดขอบฟ้า คว้าไม่ทัน
มีเพียงเรากับดวงดาวที่เศร้าหมอง
เรไรร้องร่ำไห้ไฉนนั่น
แสงริบหรี่เกือบดับกับแสงจันทร์
คืนวันนั้นต่างวันนี้พี่เฝ้าคอย
เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งดังซัดซ่า
มันยิ่งพาพ่อใจหายคล้ายลูกน้อย
มาตอกย้ำซ้ำบนทรายให้เป็นรอย
เท้าน้อยน้อยยังคงอยู่คู่พื้นทราย
วันเดือนดับ ลับฟ้า ลาก่อนลูก
แม่เจ้าผูกสัมพันธ์นั้นมั่นหมาย
พ่อสัญญาจะรักเจ้ามิเสื่อมคลาย
โลกมลายความรักเราเท่าฟ้าเอย

ลาก่อน…
ลูกเมียอันเป็นที่รัก

มณีจันทร์ฉาย