ความลำบากสอนเรา – สุภาภัค สิทธิมงคล
สุภาภัค สิทธิมงคล
“ลอง เบิง” ร้านอาหารอีสาน ฟิวชั่น
“ตั้งแต่จำความได้น้ำข้าวใส่เกลือเป็นสิ่งที่ตัวดิฉันทานมาตั้งแต่เด็กๆ นมที่เด็กคนอื่นๆ ได้ทานกัน ตัวดิฉันไม่เคยได้สัมผัสเลยก็ว่าได้”
ในสมัยก่อนตัวดิฉันต้องย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่ จ.สงขลา เนื่องด้วยคุณพ่อมีอาชีพเป็นชาวประมง และทำอีกหลายอย่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักพากย์ รับจ้าง และอื่นๆ อีก จนในที่สุดคุณพ่อสามารถสอบเข้าราชการได้ ส่วนบ้านพักก็เป็นบ้านพักในเรือนจำ
ตัวดิฉันเป็นลูกสาวคนโต มีหน้าที่คอยช่วยงานคุณแม่ ดูแลงานบ้าน และเลี้ยงน้องๆ ในตอนนั้นคุณแม่มีอาชีพในการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า ทุกเช้าตีสามก็ต้องลุกจากที่นอนมาช่วยคุณแม่ซักผ้า ซึ่งในตอนนั้นน้ำประปาก็ไม่มี ก็ต้องขึ้นไปซักผ้าบนเขา พอเสร็จก็นำผ้าลงมาตากที่บ้านและทำกับข้าวให้น้องๆ ทานจนอิ่มก่อนไปโรงเรียน หลังจากเลิกเรียนก็เช่นกันพอกลับถึงบ้านวางกระเป๋าก็ต้องมาช่วยคุณแม่รีดผ้า ตัวดิฉันทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลานับสิบปีเห็นจะได้
ขณะที่ต้องช่วยคุณแม่ทำงานซักรีดเสื้อผ้า และดูแลน้องๆ ตัวดิฉันก็ยังไปรับจ้างดูแลผู้ป่วย ซึ่งเป็นคุณแม่ของผู้บัญชาการเรือนจำ และการรับจ้างดูแลผู้ป่วยในครั้งนั้นทำให้ชีวิตของดิฉันได้ผกผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากท่านผู้บัญชาการเรือนจำเห็นเราดูแลคุณแม่ของท่านดี จึงได้ชักชวนให้เข้ากรุงเทพมาเลี้ยงเด็ก และท่านก็ได้ส่งเสียให้ดิฉันได้เรียนต่อ ซึ่งระหว่างที่เรียนอยู่นั้นงานที่สามารถทำและเป็นรายได้เสริมก็คือการรับจ้างรีดเสื้อผ้า หรือใครจ้างให้ทำอะไรก็ทำหมดทุกอย่าง จนในที่สุดตัวดิฉันก็สามารถสอบเข้ารับราชการได้
เมื่อเข้ารับราชการเงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ก็จะส่งกลับไปให้ที่บ้าน ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัวของดิฉันก็จะหาจากการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า และการรับจ้างเลี้ยงเด็ก ในด้านของการทำงานก็ยังรู้สึกโชคดีไม่น้อย ในตอนนั้นได้เข้ามาอยู่ในกระทรวงเป็นหน้าห้องของรัฐมนตรีต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้สอน ได้ให้ข้อคิดต่างๆ มากมาย ทั้งในเรื่องการทำงานและการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
หลังจากแต่งงาน ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สังคมสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้ชีวิตคู่ต้องเข้าถึงจิตใจของกันและกันให้มากที่สุด เนื่องด้วยความห่างของวัยหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นครอบครัวเดียวกันพ่อกับลูก พี่กับน้อง หรือเพื่อนกับเพื่อน ต้องเป็นให้ได้ทุกสิ่ง
“ร้านอาหาร “ลองเบิง” คือความฝันของสามี ที่อยากมีร้านอาหาร และกิจการเป็นของตนเอง แต่การทำร้านอาหารนั้นไม่ใช่แต่ขายอาหารเพียงอย่างเดียว เราต้องเข้าถึงจิตใจของพนักงาน มีน้ำใจให้กับเขา รู้ถึงปัญหาของเขา และต้องสามารถแก้ปัญหาให้เขาได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขารักและเคารพในตัวเรา”
“ต้องรู้จักจัดสรรเวลาให้เหมาะสมทั้ง ครอบครัว งานราชการ และร้านอาหาร” เช้าตื่นขึ้นมาเป็นเวลาของครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรกครอบครัวดีมีความสุขจิตใจของเราก็มีความสุข ต่อมาเป็นเวลาของงานราชการ ซึ่งปัจจุบันงานราชการไม่ใช่เช้าชามเย็นชามอย่างที่ใครเข้าใจ ทั้งด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามามากขึ้น บุคลากรมีการตื่นตัว กระตือรือร้นต้องศึกษาหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ และหลังจากนั้นเป็นเวลาของร้านอาหาร “ลองเบิง”
“ความลำบากสอนให้เราแกร่ง ความลำบากสอนให้เราเห็นใจผู้อื่น ความลำบากสอนให้เราไม่ดูถูกคน” เพราะคนทุกคนอยากจะเกิดมาในครอบครัวที่ดีมีกินมีใช้ แต่คนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องรู้จัก “บุญคุณของพ่อแม่” เป็นสิ่งที่นึกถึงเป็นอย่างแรกอยู่เสมอ ถึงตัวเราจะลำบากอย่างไรก็แล้วแต่คนในครอบครัว พี่น้อง คนรอบข้างจะต้องสบายไม่ลำบากเหมือนเรา