Interview

ผศ.ดร.สุพัชริน เขมรัตน์

ผศ.ดร.สุพัชริน เขมรัตน์
ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร
คณะสหเวชศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการพัฒนากีฬา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นักจิตวิทยากีฬา CGA

“จ๋า เคยบอกพ่อกับแม่ว่า ชีวิตนี้ทำอะไรก็ได้ แต่จะขอไม่เป็นครูกับพยาบาลเด็ดขาดค่ะ”…!

อาจารย์จ๋า ดร.สุพัชริน เขมรัตน์ กล่าวถึงความตั้งใจในวัยเด็ก โดยไม่คาดคิดว่า ความสำเร็จของชีวิตในเวลาต่อมา จะต้องผูกพันกับเส้นทางของวิชาชีพทั้งสอง…

คุณพ่อของอาจารย์จ๋า เป็นครูสอนพลศึกษา หลังจากเลิกสอนตอนเย็นก็จะอยู่ฝึกซ้อมกีฬาต่อจนค่ำมืด ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกๆ เหมือนครอบครัวอื่น ส่วนคุณแม่เป็นพยาบาล ปัญหาเรื่องเวลายิ่งหนักกว่าอีก ต้องอยู่เวร เข้างานไม่เป็นเวลา..

“คุณแม่ไม่ได้ทำงานบ้านขาดตกบกพร่องเลย ท่านทำงานหนักมาก เหนื่อยมาก เกินกว่าที่เราจะรับได้ จนคิดว่า 2 อาชีพนี้ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่นอน”..
อ.จ๋า เคยฝันอยากไปโน่นเป็นนี่เยอะมาก เช่นอยากเป็น สัตวแพทย์ ผู้ใหญ่ก็จะมาบอกว่า รักสัตว์ทุกตัว รักทุกชนิดรึเปล่า จะมาเลือกรักแค่ หมา แมว หรือสัตว์ที่ดูน่ารักไม่ได้นะ “ฟังแล้วก็คงไม่ใช่เราแน่ๆ”… อ.จ๋า เล่าไปขำไป ที่ตัวเองมีความคิดแบบเด็กๆ

แม้จะเป็นเด็กเรียน แต่ก็มีวิชาที่ไม่ถนัดอย่างแรงคือ เคมี ถึงขนาดตอน ม.5 ตั้งใจไปสอบเทียบ ม.6 เพื่อที่จะไม่ต้องเจอกับวิชาคู่ปรับอีกรอบ พอสอบเทียบได้ ก็สมัครสอบเอ็นทร้านซ์

“อยากเรียนใกล้บ้าน” คือคำตอบที่มาเป็นอันดับแรก เมื่อสอบติด วิทยาลัยพยาบาลสุพรรณบุรี อ.จ๋า ก็คิดแบบเด็กๆ ว่า เรียนใกล้บ้านไว้ก่อน ส่วนเรื่องความชอบยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ “จ๋า ชอบเรียนหนังสือ มีความสุข ให้เรียนอะไรก็เรียน” แต่การเป็นเด็กสอบเทียบ ไม่ได้เรียน ม.6 แล้วไปอยู่กับเพื่อนๆ ที่มีพื้นฐานมากกว่า ทำให้เป็นเรื่องสาหัสพอสมควรตอนเรียน ปี 1 จนต้องเรียนแบบประคองตัว ผลการเรียนออกมาก็ดีใช้ได้ แต่เพื่อนๆ ไม่ค่อยเชื่อใจเท่าไหร่จนได้เห็นผลสอบ เพราะ อ.จ๋า เป็นเด็กหลังห้อง ขนาดตอนปี 3 ได้รับรางวัลเรียนดีรุ่นแรก ตอนอาจารย์ประกาศชื่อ ยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองได้รับ นึกว่าถูกเรียกเรื่องอื่น จนเพื่อนต้องสะกิดให้รู้ตัว ทำเอาหลายคนประหลาดใจ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย ที่ลูกเรียนได้เกียรตินิยม…

“เราเล่น คุย สนุกกับเพื่อน ไม่ได้ทำตัวขนาดหนอนหนังสือ หรือเคร่งเครียดกับการเรียน เวลาจะถามตอบเรื่องวิชาความรู้ จ๋า ก็มักจะโดนมองข้ามอยู่เป็นประจำ ไม่มีใครเชื่อว่าจะเรียนเก่ง แต่จ๋าเรียนแบบมีความสุข ถึงแม้แรกเริ่มจะคิดว่าไม่ใช่ พอเรียนไปก็รู้สึกดี เป็นวิชาชีพที่ผูกพัน มีคุณค่า สิ่งเดียวที่เคยทำให้ไม่ชอบก็คือ เห็นคุณแม่ ทำงานหนักมาก กินนอนไม่เป็นเวลา จนเกิดรู้สึกต่อต้าน และคิดว่าตัวเองคงเสียสละได้ไม่เท่ากับแม่ ในที่สุดก็สอบใบประกอบวิชาชีพของสภาวิชาชีพพยาบาลได้ นั่นคือความภาคภูมิใจในสายอาชีพ”…

โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย จนรู้สึกหดหู่ คนปกติถ้าไม่มีหน้าที่คงไม่ค่อยไม่ใครไปกันเท่าไหร่.. “ถ้าอยากอยู่ในโรงพยาบาลอย่างมีความสุข ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีความสดชื่น เบิกบาน มีข่าวดี ห้องคลอด คือพื้นที่หนึ่งที่เป็นแบบนี้ ทำให้จ๋าชอบทำงานในห้องคลอด ฝึกมาค่อนข้างนานตอนปี 4 ปกติแล้วพยาบาลจบใหม่จะไม่ค่อยชอบงานในนี้ แต่จ๋ากลับชอบ เป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกอยากไปทำงาน”

“จ๋าอยากเรียนต่อ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องต่อคิวตามลำดับ ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน แล้วยังต้องใช้ทุนเรียนอีก บังเอิญว่าคุณพ่อบอกว่ามีสาขาวิทยาศาสตร์ทางการกีฬาเปิดภาคพิเศษ สนใจจะเรียนหรือไม่ ตอนนั้นก็คิดว่า นี่เราจะต้องไปประกอบอาชีพทางฝั่งคุณพ่อที่เราไม่ค่อยชอบอีกแล้วหรือ แต่เพราะความอยากเรียน ก็ไปสมัครเรียนปริญญาโทภาคพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมกับการทำงานอยู่เวรขึ้นวอร์ดไปด้วย เหนื่อยมาก แต่ก็ยินดี รู้สึกด้วยซ้ำว่าไม่ได้หนักมาก เมื่อเทียบกับพลังงานที่เรามีอยู่ ได้ทำทุกอย่างแบบมีความสุข

จนมีอยู่ครั้งที่เรียนเสร็จขับรถกลับตอนค่ำ และต้องไปขึ้นเวรดึกตอนเที่ยงคืน เข้าไปทำคลอดแล้วทำเข็มปักมือตัวเอง”..

“ตอนนั้นสะดุ้งเลย คิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัญชาติญาณ ก็ต้องทำงานต่อไปให้เสร็จ และเมื่อสอบถามก็พบว่าคนไข้ไม่ได้ฝากท้องตั้งแต่เริ่ม ทำให้เกิดความเครียดเพิ่มไปอีก เราก็รีบทดสอบตามกระบวนการต่างๆ เพื่อหาคำตอบ จนผ่านพ้นวิกฤติเรื่องความวิตกกังวลไปได้”

“จากเหตุการณ์นั้นรู้เลยว่า เราเหนื่อยเกินไป ที่จะต้องทำทั้งงาน ทั้งเรียน จนลืมไปว่า อาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ยังดีที่เหตุเกิดขึ้นกับตัวเราเอง ไม่ใช่เราไปทำให้คนอื่นเดือนร้อน แต่นั่นก็เป็นประเด็นที่ทำให้ต้องเริ่มหันมาดูว่า ร่างกายคนเรามีขีดจำกัด”..

“ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เราไม่ทิ้งโอกาสที่ผ่านเข้ามา พอเรียนไปได้สักพัก ก็ทราบว่ามีทุนของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) โครงการพัฒนาอาจารย์สาขาขาดแคลน ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน วิทยาศาสตร์การกีฬา นับเป็นหนึ่งในสาขาขาดแคลนด้วย เมื่อมีโอกาสเข้ามา พิจารณาดูแล้วว่าน่าสนใจ แต่ติดเงื่อนไข คือ ต้องเป็นบุคคลภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่ข้าราชการ แล้วจะให้ทุนเรียนภายในประเทศจนจบปริญญาเอก และให้กลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ระบุไว้ เพื่อต่อยอดความรู้อีกด้วย ตอนนั้นตัดสินใจยากมาก เพราะการเข้ารับราชการ เป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันของครอบครัวเรา แต่คุณพ่อก็ให้การสนับสนุน ยอมใช้ทุนให้ เพื่อจะได้ออกมาเรียนอย่างเดียว”

ข้อดีอย่างหนึ่งที่ได้รับทันทีเลยก็คือ อ.จ๋า เคยเรียนภาคพิเศษ ปกติเรียนแค่เสาร์อาทิตย์ ซึ่งบางวิชาก็มีการเรียนการสอนวันในวันปกติด้วย พอมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น ก็เข้ามาช่วยทำงานที่ภาคฯ และยังได้เรียนซ้ำแบบสองรอบในแทบจะทุกวิชา ทำให้เป็นข้อดีที่ได้ทำความเข้าใจมากเป็นสองเท่า ส่วนการเรียนปริญญาเอก ต้องเลือกสาขาที่เฉพาะทางมากขึ้น ซึ่งสาขาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขาดแคลนพอดี “จ๋าก็คิดว่าตัวเองมีพื้นฐาน มีความชอบ น่าจะไปได้ในสาขานี้ แล้ว ณ วันนั้น จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย ในประเทศไทยก็มีเปิดสอนที่ มหาวิทยาลัยบูรพา เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

ความรู้ทางด้านพยาบาล มีองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพ แต่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะทาง และเมื่อมาเรียนต่อสาขาวิทยาศาสตร์ทางการกีฬา ก็เหมือนกับกระโดดข้ามมาอีกฝั่งที่มีความรู้มากขึ้น.. “พอเรียนปริญญาเอก เป็นเรื่องทางความคิดล้วนๆ ซึ่งพื้นฐานที่ได้รับมาทั้งหมดเริ่มผสมผสานกันจนกลมกล่อมสำหรับเรา ไม่รู้สึกว่าเรียนแล้วมีความทุกข์ หรือหนัก เป็นความสนุกมากกว่า จนคิดว่าตัวเองคงเกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ”..

อ.จ๋า ทำวิจัยเรื่อง แหล่งความเชื่อมั่นทางกีฬา ที่ส่งผลต่อความวิตกกังวล เนื้อหาสาระสำคัญโดยสรุปก็คือ ทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างนักกีฬาในระดับอุดมศึกษาของต่างประเทศกับไทย โดยใช้วิธีสัมภาษณ์ในเชิงลึก ทำให้พบว่ามีความแตกต่างกันเพิ่มเติมอย่างเห็นได้ชัด เช่น การบาดเจ็บ และ อุปกรณ์สถานที่ ซึ่งต่างชาติไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่กลับมีผลกับนักกีฬาของเรา “ข้อมูลนี้ ทำให้ทราบว่า การดูแลนักกีฬาของไทยจะยึดหลักตามต่างประเทศแค่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องคำนึงถึงตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกับนักกีฬาของบ้านเราอีกด้วย”………

“คุณพ่อชอบเล่นกอล์ฟมาก จ๋าจึงคุ้นเคยกับกิจกรรมของกีฬานี้มาตั้งแต่เด็ก เข้าใจคนที่เล่นกอล์ฟดี แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มามีส่วนร่วมกับการพัฒนากีฬากอล์ฟในเชิงจิตวิทยา จนเมื่อได้พบกับ พี่ๆ ที่ร่วมเรียนปริญญาเอกด้วยกัน ได้มาแชร์ประสบการณ์ในเรื่องจิตวิทยาการกีฬา รวมถึง โปรเชาว์ ซึ่งเป็นทั้งผู้สอนและโค้ชในเรื่องกีฬากอล์ฟ ซึ่งอยากจะเชิญนักจิตวิทยาไปทำงานร่วมกัน แล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น เรื่องจิตวิทยากับกีฬากอล์ฟ ยังเป็นเรื่องไกลตัวมาก ยังไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ พวกเราจึงเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้ทำเรื่องนี้”..

“โปรเชาว์ บอกว่า อยากให้จ๋าไปคุยกับนักกีฬา เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของเขา

เด็กๆ มักจะมีปัญหาตรงที่ ไม่ทราบคำตอบว่า ทำไมวันนี้ตีได้ แต่พรุ่งนี้ตีไม่ได้ แล้วพอตีไม่ได้ก็กลับไปซ้อม ไปแก้วงสวิง ซึ่งมันก็ดีอยู่แล้ว ปัญหาวนเวียนอยู่แบบนี้ เราจึงต้องทำความเข้าใจกับนักกีฬาให้ได้ว่า ปัญหาที่เกิดมันเป็นเรื่องของสภาพจิตใจด้วย ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อม ดังนั้น เมื่อมีปัญหา จะไปแก้ในเรื่องวงสวิงแค่เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ นักกีฬาต้องรู้ด้วยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ที่จะช่วยคุณได้คือใคร”..

“ในเรื่องจิตวิทยา มีทั้ง ซ่อม และ สร้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วงานของจ๋าจะเป็นการ ซ่อม โอกาสสร้างค่อนข้างน้อย เพราะบ้านเราไม่ค่อยได้มีการปูพื้นฐานแบบนี้กันมาก่อน เราอยากจะสร้างมากกว่า ดูแลกันตั้งแต่เด็กๆ ใสๆ ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อน ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ที่เริ่มเข้ามาหาจะเป็นนักกีฬาสมัครเล่น เป็นเด็กที่มีอายุน้อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”..

การพัฒนานักกีฬา ต้องคำนึงถึงหลายๆ ด้านควบคู่กันไป ทั้ง ทักษะ ฟิตเนส และ จิตวิทยา แต่ในอดีตเรามักจะเห็นความสำคัญในเรื่องจิตใจค่อนข้างน้อย ซึ่งจริงๆ แล้วต้องควบคู่กันไปทั้งหมด อย่างนักกอล์ฟก็ต้องมีพร้อมทั้ง วงสวิง ความแข็งแกร่ง และ จิตใจ

ความท้าทายในการทำงานอย่างหนึ่งของ ดร.จ๋า คือ การซ่อม เพราะเป็นการทำงานกับโปรกอล์ฟ ที่เขามีปัญหา ลงแข่งแล้วตกรอบทุกรายการ จนครอบครัวเริ่มลำบาก ผู้สนับสนุนเริ่มจะถอน “เขามาหาเราโดยไม่รู้จักกันมาก่อน มาเล่าปัญหาให้ฟังว่า ซ้อมดีแต่ตีไม่ได้ นั่นแสดงว่า ฝีมือมีแน่ๆ และหลังจากที่ได้พบกัน ค้นหาปัญหาที่แท้จริง เป็นการให้คำปรึกษาอย่างมีเป้าหมายเฉพาะ เราทำให้เขาพร้อมที่จะคิด แล้วเขาก็จะคิดได้ หลังจากนั้น ผลงานก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็มีกรณีศึกษาเข้ามามากมาย ไม่เฉพาะแค่กอล์ฟเท่านั้น ยังมีเทนนิส หรือกีฬาอื่นๆ ก็นำไปประยุกต์ใช้ได้ด้วยเช่นกัน”…

นอกจากชีวิตการทำงานที่ประสบความสำเร็จแล้ว ดร.จ๋า ยังให้ความสำคัญยิ่งกว่ากับ ครอบครัว โดยมีน้องไซคี ลูกสาวที่สุดแสนจะน่ารัก เป็นโซ่ทองคล้องใจระหว่าง ดร.จ๋า กับ โปรเชาว์..

“เวลาเป็นสิ่งมีค่า ในเมื่อทุกคนมีเวลาเท่ากัน ถ้าเราอยากทำให้ชีวิตดี ก็ต้องทุ่มเทให้มากขึ้น บริหารจัดการเวลาให้ดี บางทีก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานมากกว่าคนอื่น จ๋า อยากเลี้ยงลูกเอง ดูแลเอง ทำอาหารให้ ไปส่งโรงเรียน เราไม่มีแม่บ้าน ไม่มีพี่เลี้ยง ก็ต้องตื่นให้เช้าขึ้น เพื่อมีเวลาพอทำสิ่งเหล่านี้ งานบ้านทุกคนช่วยกันทำ”

“เมื่อเราเลี้ยงลูก ก็ต้องให้ความรัก ให้ความเข้าใจ ให้วินัย ให้เวลา จ๋าเชื่อว่า ถ้าเราทำได้ครบ ลูกเราก็จะสมบูรณ์ ถ้าเขามีความสุข เขาก็อยากจะทำในสิ่งนั้น นั่นคือการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น แล้วเราก็จะเข้าใจ ก็จะรู้เหตุและผลของเขา เพื่อจะได้สอนเขาได้ ทำให้เขาคิดเป็น, วินัย เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เราจะให้วินัยที่เหมาะกับวัย เป็นสิ่งที่เขาทำได้ ต้องสอนให้รู้จักได้รับบทเรียน, เวลา ถ้ามีให้เขา เราก็จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยกันตลอด”…

“เมื่ออยู่ด้วยกัน ย่อมเกิดการเรียนรู้ แล้วเรื่องใดเป็นหน้าที่ของใคร ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของผู้นั้น เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ”.