อ.ว.ท.ม.
อ.ว.ท.ม.
มีประเทศที่เป็นมหาอำนาจแทบจะทุกสาขาอาชีพที่มนุษย์โลกพึงมี จากประเทศที่เพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้มาเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเขาเป็นผู้นำแทบจะทุกอย่างของลมหายใจเข้าออก อะไรก็ตามที่เขากระแอมกระไอขนาด “เบาสุดๆ” โลกทั้งโลกก็แทบจะหยุดหมุนเพื่อรับฟัง แล้วเราเองก็มีข่าวที่ส่งต่อกันมาว่า “เขาวิจารณ์” การศึกษาของเราแบบชนิดไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น ส่วนเรื่องนี้จะเป็นข่าวลวงหรือข่าวจริงมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย…ลองอ่านกันดูนะครับ…
“จีนวิจารณ์การศึกษาของไทย”
จีนรักไทยจริงใจ..วิจารณ์การศึกษาของไทยแบบตรงๆ…อ่านแล้วเศร้าจัง การศึกษาไทยในมุมมองของจีนห่วยสุดๆ ตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ลองคิดแล้วมองเด็กๆของเราว่ามันตรงดีมั้ย
1. สถานทูต “จีน” เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบบการศึกษาบ้านเราเน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้วไม่มีงานทำ ความรู้กระจอกสักแต่ให้มีใบปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ นักวิทยาศาสตร์การวิจัยแทบจะเป็นศูนย์ Guanmu อดีตเอกอัครราชทูตจีนบอกว่า 25 ปีที่ผ่านมาไทยผลิตยางยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์หรือสิ่งประดิษฐ์อะไรเองไม่เป็นสร้างหรือคิดอะไรไม่ได้เลย
2. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ กิจกรรมเน้นเต้นลีดโชว์ หล่อสวยแต่ “โง่” ไม่มีการฝึกอะไรที่เป็นประโยชน์ เด็กขอเงินพ่อแม่เที่ยวกลางคืนไปวันๆ โชว์วัตถุนิยมว่า “กูขับรถอะไร” สังคมวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีอยู่แต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่ 10% ในขณะที่เด็กอเมริกา พวก MIT Stanford หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอมพยายามหางานทำฝึกงาน UN World Bank, JP Morgan หรือมาค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในไทย
3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะเต็มบ้าน คือหางานอะไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย “ผมจะทำธุรกิจ” คือมันคิดอะไรไม่ออก นอกจากขายของแล้วก็ยังมีทุจริตผันงบ กระทรวงศึกษาให้ทุนกู้ยืมเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ “สุดท้ายก็หนี้สูญ” เพราะเด็กบ้านนอกได้เข้ากรุงฯ สักว่าได้ “ปริญญา” ประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปีหนึ่งหมดเงินภาษีประเทศชาติไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่เคยถูกตรวจสอบ
4. ภาษาอังกฤษห่วยแตกขั้นเทพ จริงๆ อาจารย์จุฬาฯ ส่วนใหญ่ก็ลอกบทความฝรั่งมาแปลๆ ไม่มีความคิดอะไรที่ใหม่ๆ หาน้อยคนที่จบระดับโลกไปดู CV เอาเอง จบมหาวิทยาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เต็มไปหมดเอาแค่โรงเรียนในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียงสะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูกได้อย่างไร แล้วโรงเรียนที่ อ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตกขนาดไหนคิดดูกันเอาเอง
5. ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ “ภาษาไทยตัวเอง” ไม่มีความสามารถแข่งขันอะไรในระดับโลก โลกทัศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทยรายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างสรรค์คุณค่าความรู้อะไรทั้งนั้น หรือคนนั้นท้องกับคนนี้ จากที่ไปทำงานมาหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย นักเรียนไทย “โคตรขี้เกียจ” ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกันกี่เล่ม?
รัฐบาลไหนจะคิดแก้ไขบ้างหนอ ขี้เกียจ, ปริญญาซื้อหาได้ จบแล้วได้กลายเป็นคนโง่ขึ้นไปอีกคน เพราะมีใบประกาศมีทิฐิเพิ่ม หมิ่นเงินน้อย ทำอะไรไม่เป็น คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆไม่ได้ เบียดเบียนครอบครัวประเทศชาติ เป็นภาระเป็นปัญหาสังคมและไร้คุณภาพ อ้างตกงานที่แท้ขาดความรู้ความสามารถ ทุกอย่างชอบจะซื้อจะกินจะอยู่แบบสบาย ขาดการศึกษากล่อมเกลาจิตใจ ไม่มีความอดทนต่อสู้ เป็นคนงอมืองอเท้า อาศัยสมองคนอื่นไปวันๆ โตแบบแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่มีทีมเวิร์ค เริ่มแต่แย่งสมบัติของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ต่อไปบ้านเมืองจะวุ่นวายเพราะคนในชาติคิดสร้างไม่เป็น หมดสมบัติชาติผลาญหมด ผลาญทรัพยากรวัวควายไร่นาป่าไม้แร่ธาตุ หมดแล้วจะกลับมาอยู่แบบเดิมก็ไม่ได้ จบ ป.โท ป.เอก ทำไร่ทำนาไม่ได้หากินเองไม่ได้ อนาคตเป็นทาสเขา แล้วพอเด็กขาดคุณภาพก็เป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพ พอชราก็เป็นภาระของประเทศชาติแน่นอน มีใบประกาศใบปริญญา แต่สังคมโลกไม่ยอมรับก็สูญเปล่า ต้องรีบแก้ไขเรื่องเหล่านี้ด่วน และเร่งพัฒนาสังคมอีกด้วย
เป็นไงครับกับคำวิจารณ์แบบนี้ “รับได้หรือเปล่า” เรื่องแบบนี้ความจริงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกเราเป็นแบบนี้จริงๆ เขาพูดตรงจุดที่เป็นจุดสลบของเด็กไทยจริงๆ เพราะเด็กเดี๋ยวนี้มีความ “ขี้เกียจ” เป็นอาหารหลักจะคิดจะทำอะไรก็ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ คือแบบว่า อ.ว.ท.ม. ถึงจะซื้อรถในสมัยนั้น… ครูไก่พบเห็นเด็กมามากมายนัก…เคยสอนพ่อแม่ล่วงเลยมาปัจจุบันเป็นปู่ย่าไปกันหมดแล้ว มันก็จริงอย่างที่ข้อความเขา “วิพากษ์” เด็กของเรา เด็กดีมีอยู่เหมือนกันแต่น้อยมาก แล้วคำว่า “ชาติ” จะอยู่อย่างไรในภายภาคหน้า แล้วแบบนี้ “อ.ว.ท.ม.” คงจะมาจากคำว่า “เอาไว้ทำไม” (ความขี้เกียจ) เนี่ยะ
ครูไก่ ลำพอง ดวงล้อมจันทร์