Interview

กัปตัน จักรพงษ์ ภูมิสุวรรณ์

กัปตัน จักรพงษ์ ภูมิสุวรรณ์
WEASEL COFFEE
“ความมุ่งมั่นเอาชนะได้ทุกสิ่ง”

‘เรื่องราวในชีวิต ถึงแม้บางครั้ง จะดูว่าเป็นเรื่องจะเหลือเชื่อ แต่ผมเชื่อในเรื่อง “ความมุ่งมั่น” และ “ไม่ยอมแพ้” อยู่เสมอ ถ้ามีความเชื่อแบบนั้น ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าในท้ายที่สุด แม้บางเรื่องอาจจะไม่สมหวัง แต่ถ้าทำเต็มที่แล้ว ก็ไม่มี อะไรต้องเสียดาย’

เด็กสายศิลป์ : ผมจบจากสามเสนวิทยาลัย เป็นคนตามใจจิตวิญญาณของตัวเอง จึงเลือกเรียนสายศิลป์ ไม่เคยเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข แบบสายวิทย์ ระหว่างเรียนเล่นกีฬาหลายอย่าง เป็นนักเทนนิสโรงเรียน และเล่นแบดมินตัน บาสฯ วอลเลย์ เคยอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียน เล่นคาลิเน็ตกับ alto saxophone, จบม.6 ช่วงเอนทรานซ์ แทนที่จะติวหนังสือ กลับไปอยู่เกาะเสม็ด กับเพื่อนรุ่นพี่ 2 อาทิตย์ ซึ่งสมัยนั้นยังดิบมาก  สอบได้อันดับ 5 ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ตอนเด็กเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ขี้อาย แต่ชอบผจญภัย อาจดูเนิร์ด ๆ บ้าเรียน ชอบอ่านหนังสือ ทำกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมกลางแจ้ง กีฬาทางน้ำ เดินป่า ผจญภัย โบกรถ และกีฬา เคยเล่นเทนนิส ซอร์ฟบอล ถึงระดับมหาวิทยาลัย อยู่ชมรมโฟโต้ ออกค่ายอาสา ช่วยผู้ประสบภัยพายุไต้ฝุ่นที่พิปูน นครศรีธรรมราช และพายุเกย์ที่ชุมพร ยังมีทำคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ เป็นนักร้องนำ เป็นประธานเอกฯ โดยรวม ๆ แล้วทำแทบทุกอย่าง เป็นคนมีกิจกรรมเยอะมากจริง ๆ และชอบเครื่องบินมาก แบบเด็กผู้ชายทั่วไป มีความฝันอยากเป็นนักบิน อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แต่ไม่เคยบอกใครเลย

พนักงานต้อนรับ : หลังเรียนจบ ว่างอยู่1เดือนเป็นช่วงพฤษภาทมิฬพอดี ผมไปร่วมด้วยเกือบทุกวัน วันที่สลายการชุมนุม นั่งอยู่แถวหน้าจนถึงเช้า, 1 มิถุนายน 2535 เริ่มทำงานที่ ฝ่ายก่อสร้างพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นโครงการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 8 แบบสูบน้ำกลับ (reversible pump turbine) และปรับปรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่1และ2 และสร้างเขื่อนขนาดเล็กท้ายเขื่อนภูมิพล เพื่อดูดน้ำกลับอ่างเขื่อนในเวลากลางคืน ที่นี่ ผมได้หัดเล่นกอล์ฟเป็นครั้งแรก แล้วเล่นต่อเนื่องมาอีก 10 กว่าปี มาติดที่แฮนดี้แคป 11 จึงหยุดเล่น อยู่เขื่อนฯ ได้ปีเศษ สอบเป็นสจ๊วตการบินไทยได้ บินต่างประเทศไฟลต์แรก ไปกาฐมาณฑุ เนปาล ได้เปิดโลกกว้าง เห็นโน่น เห็นนี่ สนุกตื่นเต้นมาก ไฟลท์นั้นคือเที่ยวบินเปลี่ยนชีวิต ระหว่างเครื่องรอกลับกรุงเทพ ต้องเปลี่ยนตู้อาหาร บริการผู้โดยสารขากลับ มองไปที่นั่งในชั้นธุรกิจ เห็นกัปตันกำลังทานข้าว นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ รู้สึกว่า เป็นนักบินนี่มันสบายจริง ๆ จึงบอกกับพี่หยุ่น สจ๊วตรุ่นพี่ที่บินด้วยกันว่า “ผมจะไปสอบเป็นนักบิน” พี่เค้าหัวเราะใหญ่ จนผ่านมาแล้วหลายปี พี่เขายังจำคำพูดของผมในครัววันนั้นได้ และแซวกันมาจนถึงทุกวันนี้

นักบิน : พอปักธงว่าจะเป็นนักบินก็เริ่มเข้าไปถามพี่ ๆนักบินที่บินด้วย เรื่องการสอบ ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าเค้ารับวุฒิปริญญาตรี ไม่จำกัดสาขา แบบนี้ผมมีสิทธิ์แล้ว จึงเริ่มอ่านหนังสือสายวิทย์ด้วยตัวเอง แบบไม่รู้เรื่องเลย เพื่อเป็นนักเรียนทุนของการบินไทย ผมสอบผ่านข้อเขียน แต่พอถึงวันตรวจโรค จำต้องสละสิทธิ์ เพราะตรงกับตารางบิน ซึ่งเราเป็นสจ๊วตอยู่ คิดว่าขอทำทีละอย่าง เหลืออีกแค่ไม่กี่อาทิตย์จะพ้นช่วงทดลองงานแล้ว ไม่อยากลาให้เสียประวัติ, มาสมัครสอบอีกครั้ง ในรอบถัดไป ครั้งนี้สอบผ่านทุกขั้นตอนจนถึงสอบสัมภาษณ์ขั้นสุดท้าย กับนักจิตวิทยาจากสแกนดิเนเวีย 3 คน ซึ่งเป็นคนตัดสิน โดยวัดความรู้ ปฏิภาณ ไหวพริบ และความสามารถในการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน หรือความเหมาะสมที่จะเป็นนักบินได้ พอสอบเสร็จมันทำให้ผมไม่มั่นใจเลย เพราะคนอื่นเขาคุยราว 25-40 นาที แต่กับผม ด้วยความที่เป็นเด็กสายศิลป์ เราคุยกัน 1.10 ชั่วโมง เลยคิดว่าเราคงไม่ได้หรอก วันประกาศผลสอบ จึงเลือกที่จะไม่ฟังผล เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้แน่ จึงแลกตารางบินไปบินไฟลท์เชียงใหม่ยาว 3 คืน 4 วัน กะไปสำมะเลเทเมา ไม่อยากรับรู้อะไร

SP : แลกตารางบินไปเชียงใหม่ แบบเศร้าใจไม่บอกใคร และไม่ฟังผลด้วย, ฟ้าลิขิต บินกับพี่โจ๊กนักบินผู้ช่วยเที่ยวนั้น ที่ผมเคยสอบถามเรื่องการสอบนักบิน แกจำผมได้ พี่โจ๊กถามประกาศผลเมื่อไหร่ มันคือประกาศพรุ่งนี้และผมคิดว่าสอบไม่ได้อยู่แล้ว เลยแลกมาไฟลต์นี้ ความน่ารักของพี่เขาก็คือ วันรุ่งขึ้น แกฝากให้แฟนดูผลสอบให้ แล้วดันมีชื่อผมติด 1 ใน 21 จากผู้เข้าสอบสี่พันกว่าคน หลังจากบินไปแม่ฮ่องสอนกันตอนเช้า ตอนบ่ายกัปตันและพี่นักบินมาเจอกันที่โต๊ะสนุ้ก มีมาร์คกี้เอาการ์ดมาให้ กัปตันและพี่นักบินทำเซอร์ไพรส์ “ยินดีด้วย SP Jakrapong” ตอนนั้นยังนึกว่าถูกอำด้วยซ้ำ รู้สึกโกรธว่าโดนบูลลี่ และมันไม่ขำเลยนะ จึงถามพี่ทั้งสองว่า SP คืออะไร เค้าบอกว่า Student Pilot ไง “ออดสอบได้จริง ๆ” พอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง รู้สึกตัวชาไปเลย น้ำตาจะไหล ดีใจมาก รีบโทรบอกแม่เป็นคนแรก สอบได้เป็นนักเรียนทุนการบินไทยแบบมีเงินเดือนให้ด้วย เรียนที่สถาบันการบินพลเรือน หัวหิน 1 ปี  และไปเรียนบินผาดแผลงเบื้องต้น (acrobatic) ที่ Australian Aviation Colleague เมืองอะดิเลด รัฐออสเตรเลียใต้ กลับมาเรียนเบสิคคอร์สที่บริษัทการบินไทย เริ่มต้นด้วยเครื่อง DC-10 -30er ต่อด้วย A310/300-600, B777,  B747-400 จนเป็นกัปตันคนแรกของรุ่นในปี 2007 บินเครื่อง Airbus A 300 – 600 ต่อด้วย Boeing 777 ตั้งแต่ปี2010 ปัจจุบันมีชั่วโมงบินราว สองหมื่นชั่วโมง

รางวัลความสำเร็จ : ผมมีหลักการในชีวิตอยู่ว่า ถ้าประสบความสำเร็จ “ต้องให้รางวัลตัวเอง”วันที่เป็นกัปตันไฟลต์แรก บินไป ฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น พอกลับมารู้สึกว่า โลกนี้เปลี่ยนเป็นอีกใบนึงเลย ทั้งที่เราก็คือคนเดิม ขับรถกลับบ้านนึกขึ้นได้ว่า ต้องให้รางวัลตัวเอง รีบโทรหารุ่นน้องนักบินที่รู้จักขี่ฮาร์เลย์ เขาบอกว่าพี่มาช้าไปแค่วันเดียว เพิ่งขายไปเมื่อวาน ผมบอกให้เอารถกลับมา จากสนามบินเปลี่ยนเส้นทางขับตรงไปบ้านรุ่นน้อง ไปดูรถเดี๋ยวนั้น ซื้อวันนั้นเลย ทั้งที่ยังขับไม่เป็น เป็นฮาร์เลย์ฯ รุ่น Fatboy 2004  แต่ผมไม่เคยขี่บิ้กไบค์มาก่อน ต้องมาเรียนรู้เองใหม่หมด คนอื่นอาจขี่แบบสวย ๆ แต่ผมทำอะไรจริงจัง 2-3 เดือนแรก ขี่ไปหมื่นกว่ากิโล ใกล้ไกล กลางวัน กลางคืน ใช้ตลอด ขี่ได้ปีเศษ ไมล์ขึ้นไป 35,000 กม. ขี่สะเทือนจนเจ็บหลัง ออกเดินทางมีทริปยาว ๆ ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะไปภาคเหนือ ช่วงน้ำท่วมใหญ่ เริ่มขี่ต่างประเทศ ลาว ภูฏาน ลูซอน ฟิลิปปินส์ และรอบฮอกไกโด จนถึงทริปสำคัญที่คิดว่าสุด แต่ที่แท้มันคือจุดเริ่มต้น

ลำลูกกา – วลาดิฯ : ปี 2015 ผมขี่จาก ลำลูกกา ไปจนถึง เมืองวลาดิวอสต็อก (Vladivostok) ในรัสเซีย เป็นทริปที่แปลกมากประกอบด้วย 7 นักขี่จาก 7 ประเทศและเป็นการเดินทางครั้งแรกโดยทางบก ของคนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังตะวันออกไกลในรัสเซีย เริ่มออกจากเชียงของ ผ่านลาว ด่านบ่อเต็น ข้ามประเทศจีนทั้งประเทศ  โดยใช้เส้นทางผ่านเทือกเขาฝั่งตะวันตก ผ่านสิบสองปันนา คุณหมิง แชงกรีล่า หงหยวน ที่ราบสูงทิเบต 1,000 กม. ทางตะวันตกของเฉิงตู จนกระทั่งออกจากจีนมองโกเลียใน ผ่านทะเลทรายโกบี ข้ามประเทศมองโกเลีย เข้ารัสเซียผ่าน Ulan Ude ทะเลสาบไบคาล ไซบีเรีย แล้วขี่ยาวไปตะวันออกสุด ที่เมืองท่าวลาดิวอสต็อก ในภูมิภาคตะวันออกไกล ของรัสเซีย

ค้นพบตัวเอง : ขณะเดินทางอยู่ใน มองโกเลีย บรรยากาศเหมือนสมัยเจงกิสข่าน เมื่อ 2 พันปีที่แล้วเลย ไม่มีต้นไม้ ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีผู้คน เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา และ “ไม่มีถนน” จริง แต่เป็น track บนทุ่งหญ้า จะวิ่งไปทางไหน ทำอะไรตรงไหนก็ได้ มองโกเลียใหญ่กว่าประเทศไทย 10 เท่า แต่มีพลเมืองแค่ 3 ล้านคน เป็นประเทศที่ความหนาแน่นต่อพลเมืองน้อยที่สุดในโลก ขณะเดินทางจะไม่เจอไม่เจอใครเลย ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีรถสวน อยู่หลาย ๆชั่วโมง เหมือนได้อยู่คนเดียวบนโลก ที่นี่เอง ผมค้นพบตัวเองว่าเป็นที่ ที่ผมชอบมากที่สุด มันคือความสันโดษ โดดเดี่ยว มันมีความสุขอยู่ในใจ จนไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม

ไปต่ออีกนิด : คณะเราน่าจะสิ้นสุดการเดินทางที่ วลาดิวอสต็อก แต่ผมกับเพื่อนอีก 2 คน ขอไปต่อให้ถึง Khasan เมืองชายแดนร่วม ของยักษ์ใหญ่คอมมิวนิสต์สามประเทศ รัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ ขณะที่เพื่อนอีก 4 คน ขอรอในเมือง เราขี่ไปเรื่อย ๆ บนถนนลูกรัง ตั้งใจไปให้สุดถนน จนมีป้ายเตือนเป็นภาษารัสเซีย ว่าเป็นเขตหวงห้าม ตั้งแต่ตรงนี้ไปใครที่เข้าไปต้องมีใบอนุญาต แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยากเห็นเกาหลีเหนือด้วยตาเปล่า ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัว มีแต่ความอยากรู้อยากเห็น ถึงเมืองคาซาน เราไปจอดริมทางรถไฟ ที่เชื่อมระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ ตรงนี้เป็นจุดพรมแดนเชื่อม 3 ประเทศ แบบไม่มีรั้วกั้นและไม่มีใครอยู่เลย เราขี่ไปจนสุดถนน เป็นค่ายทหารรัสเซีย คุยกับทหารยามรัสเซีย จริง ๆ เหมือนเขาจะปล่อยให้เรามีโอกาสขับกลับ แต่ในความอยากรู้อยากเห็น ผมอยากอยู่ต่อ นัยว่าอยากมีเรื่อง เพราะนี่มันศตวรรษที่ 21 แล้ว ดูซิว่ามันจะเป็นยังไง อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอทหารมาจริง ๆ ผมหน้าซีดเลย ขับรถจี๊ปมา 2 คัน ทหาร 6 – 7 คน เชิญตัวให้ไปคุยกันในค่าย

โดนจับ ปรับทัศนคติ : ผมพยายามติดต่อไกด์ แต่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทหารบอกว่าแบบยิ้ม ๆ ว่า ในค่ายมีสัญญาณใช้ได้ ให้ผมกับเพื่อนขี่ตามเข้าไป เราก็รู้ว่าโดนหลอก แต่ก็ต้องเข้าไป ระหว่างที่โดนกักตัว ผมขอผู้บัญชาการในพื้นที่ยศพันตรี ผู้เคยผ่านสงครามในอัฟกานิสถานและเคยประจำอยู่ที่คาซัคสถาน ดูเกาหลีเหนือ ผมอยากเห็นด้วยตาสักครั้ง แรก ๆ เขาไม่ยอม เพราะผู้พันกลัวเราถูกยิงโดยสไนเปอร์ แต่เราตื้อ ๆ ๆ เอาจนได้ ขอดูแค่แว่บเดียวก็ยังดี ในที่สุด ผู้พันบอกโอเคให้ 1 นาทีพอนะ จนผมได้ยืนบนบังเกอร์สูงราว 3 เมตรริมแม่น้ำ Tumen ฝั่งรัสเซีย มองข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือด้วยตาเปล่า ยังจำภาพนั้นได้ติดตา, ระหว่างถูกกักตัว เรานั่งอยู่บนม้านั่งหน้าโกดัง มีทหารรัสเซียถือปืนยืนคุมอยู่ข้าง ๆ ราว เกือบ 3 ชม. เขาติดต่อมอสโคว์ เพื่อหาข้อมูลว่าเราเป็นใครมาจากไหน มีใบอนุญาตถูกต้องหรือเปล่า ผู้พันบอกเราว่า ในค่ายมีสุนัขสงครามอยู่ 69 ตัว “พวกนายจะหนีก็ได้นะ” หลังจากเช็คข้อมูลแล้ว เรากลับมาที่รถ พบว่าข้าวของโดนรื้อค้น และโดนขอให้ลบภาพถ่ายและวิดีโอที่เราบันทึกไว้ ก่อนออกจากค่าย ผมขอผู้พัน ดูเกาหลีเหนืออีกครั้ง เป็นครั้งที่สอง ผู้พันอนุญาตแบบเซ็ง ๆ คราวนี้ยืนอยู่ตรงนั้นราวแค่ 15 วินาที แล้วให้เราขี่รถตามไปรถจี๊ปนายพันไปอีกค่าย เพื่อไปปรับทัศนคติ ดูวิดีโอภาษารัสเซียว่าทำไมเราถึงเข้ามาที่นี่ไม่ได้ มีการสัมภาษณ์ บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยทหารรัสเซีย ตักเตือน และทำเรื่องให้เอกสารไปเสียค่าปรับที่ ธนาคารของรัฐ ในวลาดิวอสต็อก จนตอนเย็นถึงถูกปล่อยตัว วันนั้นทั้งวัน เราไม่ได้กินอะไรกันเลย แต่ความตื่นเต้นทำให้ไม่หิวเช่นกัน วันรุ่งขึ้นผมอยากจะขี่ไปฝั่งชายแดนจีนอีก แต่เพื่อน ๆ บอกไม่ไปด้วยแล้ว ผมก็ไปคนเดียว เส้นทางราดยางดี แต่ไปแค่หน้าด่านแล้ววนกลับ ไม่หาเรื่องอีก, ทริป ลำลูกกา – วลาดิวอสต๊อค 38 วัน 13,000 กว่ากิโล ที่ตอนนั้นคิดว่าสุดแล้ว แต่กลายจุดเริ่มต้น ของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก

รีบทำ ก่อนทำไม่ได้ : นั่งดื่มไวน์กับภรรยา คุยกันว่า “ชีวิตคนเราไม่แน่นอน” บางคนเพิ่งเจอกันวันก่อน วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว ปะป๊ามีอะไรอยากทำ “ต้องรีบทำนะ” ผมรีบตอบเลยว่า “มี”… “อยากไปขี่มอเตอร์ไซด์รอบโลก” ภรรยาตอบเลยว่า “Go! Papa Go!” แม้คำพูดตอนนั้น อาจเป็นเพราะบรรยากาศของการดื่มด้วย แต่ผม “เอาจริงและทำจริง” เพราะอยู่เบื้องลึกในจิตใจเรานานแล้ว แต่ไม่เคยพูด ที่ผ่านมาเจียมเนื้อเจียมตัวมาตลอด เด็กบ้านนอกจากต่างจังหวัด คนชั้นล่างอย่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้ ผ่านมาหลาย 10 ปี ตอนนี้โอกาส มาถึงแล้ว, พอเกิดความตั้งใจขึ้น ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครหรือสิ่งใด มาหยุดหรือห้ามผมได้เลย ตอนนั้นไม่ได้ฟังเสียงค้านอะไรเลย ยอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต เพื่อให้การเดินทางรอบโลกครั้งนี้เกิดขึ้นให้จงได้

ติดค้างในใจ : ครอบครัวเราลำบาก พ่อแม่มีลูกหลายคน พอเราโตขึ้นมา ได้ทำงานแบบนี้ ถือว่ารอดแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นชีวิตก็น่าจะมีเส้นทางอื่นบ้าง และคิดอยู่ในใจลึก ๆ มาตลอดว่า “อยากเดินทางรอบโลก” แต่ไม่กล้าบอกใคร, สมัยเรียนมหา’ลัย ได้พบกับอาจารย์ชาวอังกฤษ ที่เคยเเล่นเรือไปตามหมู่เกาะต่าง ๆ ในแคริบเบียน และแล่นเรือใบข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกท่านเอาแผนที่มากาง ชี้เส้นทางให้ดู คุยกันสนุก ผมชอบมาก บอกกับตัวเองว่าอยากทำอะไรแบบนี้บ้าง

ไม่มีอะไรหยุดได้ : กว่าจะเริ่มเดินทางได้ เตรียมการอยู่ 2 ปี เพื่อภารกิจพิชิตฝัน ตามแผนที่วางเพื่อขอสปอนเซอร์ จะเดินทาง 7 ทวีป ผ่าน 77 ประเทศทั่วโลก ระยะทางรวมกว่า 130,000 กม. ผมมีงานประจำเป็นกัปตัน การบินไทยอยู่ ก็ขอลาออก ไปล่าฝัน แต่ผู้ใหญ่ไม่ให้ออก เหตุผลคือนักบินเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า สร้างขึ้นมายาก กว่าจะสร้างขึ้นมาได้ บริษัทเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ผมไปสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทฯ ให้กับประเทศชาติ เมื่อเสร็จภารกิจค่อยกลับมาทำงานให้บริษัทฯต่อ จึงได้รับอนุญาตผ่านบอร์ดบริหารให้ลาได้ โดยไม่รับเงินเดือนเป็นเวลา 2 ปี ท่ามกลางข้อครหาในบริษัท เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น, ช่วงเตรียมตัวหาสปอนเซอร์ ผมร่อนอีเมล์หลายฉบับ แต่ไม่มีใครตอบรับ กำหนดวันเดินทางไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2016 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2018 จะออกเดินทางออกจากประเทศไทย แต่มีเงินทุนยังไม่พอสำหรับการเดินทางรอบโลก และต้องมีเงินประกันอีกราว 7 แสนบาท เพื่อทำ “Carnet de Passages en Douane” ที่มาเลเซีย เป็นเอกสารศุลกากรระหว่างประเทศ เพื่อให้นำรถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษี รอจนกระทั่งช่วงเดือนท้าย ๆ ถึงได้รับการตอบรับจาก ยามาฮ่า ให้เข้าไปคุยรายละเอียด และได้รับการสนับสนุน ผู้บริหารบอกว่ายอม เพราะ “เห็นสายตาอันมุ่งมั่น” ของผม เดือนมกราคม 2018 ก่อนออกเดินทาง ผมไปบวช ที่วัดป่าสุขโต เพื่อบุญกุศล สมาธิและเสริมสร้างกำลังใจ  กระทั่ง 25 กุมภาพันธ์ เริ่มออกจากบ้าน และ 1 มีนาคม 2018 ออกจากประเทศไทย ที่ด่านสะเดา ได้ทำตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า 2 ปีทุกประการ

รอวันสานต่อ : ผมใช้เวลาเดินทาง 2 ปี 1 เดือน เดินทางได้ครึ่งโลก ผ่าน 32 ประเทศใน 6 ทวีป ระยะทาง 87,000 กม.เศษ ปัจจุบันรถยังคงจอดอยู่ที่สถานเอกอัครทูตไทย ณ.กรุงไนโรบี เคนย่า ผมบันทึกเรียงราวและภาพถ่ายไว้ในเพจ “กัปตันมอเตอร์ไซด์”  หรือ “captainmotorcycle2018” ในเฟสบุ๊ค ยูทูปและอินสตราแกม เดินทางยังไม่จบ แต่พบกับวิกฤติโควิดซะก่อน ตอนนั้นไปถึงประเทศเคนย่าเย็นวันศุกร์ พอเช้าวันจันทร์คุณซ้ง จากสถานทูตไทยในไนโรบี โทรมาบอกว่า “กัปตันเคนย่าประกาศปิดประเทศพุธนี้ จะเอายังไง?” ผมรีบจองตั๋ว บินออกจากเคนย่าวันรุ่งขึ้นทันที เพราะหากออกไม่ทัน ก็ไม่รู้ว่าจะติดอยู่นานแค่ไหน ผมกลับมาถึงไทยวันที่ 19 มีนาคม ไทยปิดประเทศ 21 มีนาคม ถือเป็นความโชคดีที่ตัดสินใจเร็ว มิฉะนั้นอาจต้องติดอยู่ที่ Kenya 2 ปี, ถึงตอนนี้ รถจอดอยู่ที่สถานทูตไทยในเคนย่า 5 ปีแล้ว และภารกิจนี้ เรื่องราวเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลให้ลงตัว ผมยังต้องสานต่ออย่างแน่นอน ตั้งใจทำแล้ว 10 ปีไม่มีคำว่าสาย เพราะการเดินทาง คือสันทนาการ ไม่ใช่อาชีพ ผมไม่ได้เดินทางเพื่อชื่อเสียง หรือมีตัวตน ฉะนั้นจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ คิดไว้ว่าเมื่อพร้อมทั้งด้านการเงินและเวลาแล้วค่อยไป วันที่ออกเดินทางลูกอายุ 3 เดือน ยังไม่รู้เรื่อง ตอนนี้น้องอิงฟ้า อายุ 8 ขวบแล้ว ผมก็กลับมาดูแล เมื่อสร้างรากฐานให้ครอบครัวดีแล้ว ถึงจะกลับไปทำตามจิตวิญญาณของตัวเองต่อ จึงต้องวางแผนทุกเรื่องให้ดีก่อน

WEASEL COFFEE : ผมเป็นคนชอบดื่ม “กาแฟชะมด” แต่หาได้ยาก อยากดื่มแต่ละครั้งต้องขับรถไปไกล ก็เลยทำร้านกาแฟเองซะเลย โดยมีเมนูกาแฟชะมดเป็นซิกเนอเจอร์ของร้าน “WEASEL COFFEE x เย็นยิ่ง Cafe & Play Space – กาแฟชะมด และบ่อทรายเล็ก” ร้านอยู่ต้นถนนมาลัยแมน นครปฐม ติดกับปั๊มบางจาก เรามีพื้นที่กว้างขวางไว้รองรับ จะนั่งเล่นจิบกาแฟ หรือนั่งทำงานจริงจังก็ได้ สามารถมาทำกิจกรรมได้ทั้งครอบครัว

สวนทุเรียนในฝัน : เดิมทีคุณแม่วางแผนว่า จะใช้สวนทุกเรียนส่งลูกเรียนในอนาคต เป็นสวนเก่ามีหลายร้อยต้น หมอนทอง ชะนี กบ เบญจพรรณ ฯลฯ ที่ จ.ชุมพร ชื่อฟาร์มสุขมาลี แต่ให้คนอื่นเช่า คนเช่าเข้ามาตักตวงอย่างเดียว จนเหลือแค่ไม่กี่สิบต้น เสียดายมาก ด้วยความชอบ ผมจึงอาสามาทำต่อ แต่ละครั้งต้องขับรถไปสวนเกือบ 500 กิโล ช่วง 4 – 5 ปี ที่ผ่านมา ขับรถขึ้นลงไปแล้วกว่า 2 แสน กม. ทั้งที่ขาดทุนทุกปี เเต่ด้วยความตั้งใจว่า อยากทำทุเรียนอร่อย ๆ เหมือนสมัยรุ่นปู่ย่าตายาย ที่คนไทยยังไม่รู้จักสารเคมี ให้คนไทยกิน เมื่อได้ทำเพื่อคนอื่น ทำให้ผมมีแรงเดินทาง ทุเรียนที่ออกมาอร่อยมาก กลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อเนียนละมุนครีมมี่แบบธรรมชาติ ใครได้กินก็ติดใจ ไปทานที่ไหน ก็ไม่อร่อยเหมือนที่นี่, พอเข้ามาในวงการทุเรียน พบว่ามีการใช้สารเคมีเยอะมาก ทำเป็นอุตสาหกรรม มีการฉีดสารเคมีมากมาย จนแทบไม่เหลือคุณค่าทางสังคม ผมจึงตั้งใจมาทำแนว “ส่งเสริมอัตลักษณ์” ให้เห็นคุณค่าของทุเรียนจริง ๆ อยากให้คนไทยได้กินทุเรียนอร่อย ๆ แท้ ๆ แบบธรรมชาติ จะรู้ว่ามันแตกต่างกัน ทั้งรสชาตินุ่มนวล กลิ่นไม่ฉุน รสสัมผัสไม่มีเส้น ผมใช้วิธีธรรมชาติทั้งหมดเลย ทำให้ผลผลิตมีไม่มากนัก

ไม่ง่าย แต่ทำ : ผมเชื่อว่า ชีวิตนี้ “ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ” วันนึงคุณอยากจะมีทุเรียนอร่อย ๆ ที่เขากินแล้วอยากกลับมากินอีก ก็ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ทำไป อย่าท้อ ถึงตอนนี้ยังมองไม่เห็นอนาคตชัดเจน แม้ต้นทุนกับราคาขายยังจะไม่สอดคล้องกัน ขาดทุนแค่ไหนก็ทำเพราะอยากทำทุเรียนอร่อย ๆ ให้คนไทยกิน ให้คนรู้จัก นี่เป็นความสุขที่ได้ทำมากกว่าเรื่องเงิน เป็นชีวิตในฝันของคนเกษียณ แต่พอเราไปทำแล้วพบว่า ชีวิตแบบนั้นไม่มีจริง ใครที่คิดว่า ลาออกจากงานประจำ ไปปลูกผัก เป็นเกษตรกร มันอยู่ไม่ได้ เพราะเราไม่เคยจับจอบ จับเสียม ตากแดด ยกปุ๋ย ไม่รู้ว่าเทคนิคในการปลูกต้นไม้ให้งอกงามจะทำยังไง มันเป็นงานที่เหนื่อยและใช้เวลามาก กว่าจะเห็นผล ผมต้องใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่หลายเดือนกว่าจะเข้าใจว่าทุเรียนต้องการอะไร ผมทำไม่เหมือนใคร แหวกแนวคนอื่น เพราะทำทุกอย่างแบบธรรมชาติ ใครผ่านไปผ่านมาก็หัวเราะ บอกว่าไม่รอดหรอก ปลูกมา 5 ปี ต้นโตแค่นิดเดียว คนอื่นเขาใส่ปุ๋ยเคมีโตถึงไหนกันแล้ว ผมยังแบ่งไม่ออก ระหว่างขายราคาสูง ๆ เพื่อให้อยู่ได้ กับให้เพื่อนเรากินในราคาที่เขาจ่ายไหว คำนวณดูคร่าว ๆ ต้องขายกิโลละ 1,500 บาท ถึงจะพออยู่ได้ แต่ทุกวันนี้ขายกิโลละ 250 ขาดทุนหลักแสนทุกปี ผมอยากให้ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย ถึงตอนนี้ยังไม่พร้อม หวังว่าสักวันจะมีผลผลิตดี ๆ ออกมาขาย แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร มีความสุขกับพรรคพวกเราที่ได้ กินทุเรียน “อร่อย ๆ” ก็คุ้มแล้ว

สุขภาพดี 14 ครั้ง : ผมวิดพื้น 14 ครั้ง เป็นประจำทุกวันที่นึกได้ ก่อนอาบน้ำ เคยทำมากกว่านี้แล้วเจ็บ ต้องหยุดพักไปหลายวัน ก็ค่อย ๆ ปรับจนรู้สึกว่าพอดีกับร่างกาย สามารถทำได้ต่อเนื่อง แต่พอไม่ทำก็เหมือนต้องกลับไปเริ่มใหม่, และ ซิทอัพ ยกเข่าขึ้น นับ 1 – 60 ทำทุกวันเช่นกัน เพราะช่วยพยุงกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง และชอบกินอาหารที่ปรุงน้อย หรือกินคลีน เป็นความชอบส่วนตัว กลายเป็นเรื่องที่ทำให้เราแข็งแรง ไม่กินอาหารแปรรูป ไม่ติดใจในรสชาติ กินอะไรก็ไม่ต้องปรุง ยินดีกินแค่ไข่ต้มกับผักเปล่า ๆ เน้นดูแลให้ได้โปรตีนเพียงพอในแต่ละวัน แต่ต้องรู้ก่อนว่า เราต้องการโปรตีนวันละกี่กรัม จึงต้องมีโปรตีนอื่น ๆ มาเสริมให้ครบ

สุญญตา : โชคดีที่เคยบวชกับ พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกข์พลาราม ท่านสอนเรื่อง “สุญญตา” ทุกอย่างคือความว่างเปล่า ทุกอย่างอยู่ที่เรา การทำบุญที่ดีที่สุด คือการวิปัสสนา ผมจึงชอบทำสมาธิ ทำทุกครั้งที่นึกขึ้นได้และมีโอกาส วิธีง่าย ๆ คือ นับถอยหลัง จาก 100 – 1 หรือบางครั้งกำหนดลมหายใจแบบอาณาปาณสติ จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องไปกำหนดอะไรมากมาย แค่มีสติจดจ่อกับการนับ มีสมาธิ เรื่องอื่น ๆ เรื่องดี ๆ ก็ตามมาเองครับ