รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล
รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล
อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
“ปัญหาคือแบบฝึกหัด อุปสรรคคือความท้าทาย”
“ชีวิตถึงจะดูเหมือนราบเรียบ แต่…ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ แต่…“ไม่เคยไม่ได้” เพราะแม้จะยากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้ท้อ จนให้คอนเซ็ปต์ตัวเองไว้เลยว่า “ชีวิตต้องสู้” ถึงจะหนักหน่อย แต่ทุกปัญหามีทางออกเสมอค่ะ”
เด็กแปดริ้ว : พ่อแม่ทำงานที่แขวงการทางฉะเชิงเทรา คุณพ่ออยากมีทายาทเป็นลูกชาย แต่ลูก 4 คนแรก เป็นผู้หญิงทั้งหมด เราเป็นลูกคนโต จนในที่สุดก็มีลูกชายเป็นน้องสุดท้องคนที่ 5 ตั้งแต่ยุคสมัยรณรงค์ให้มีลูกไม่ควรเกิน 3 คน, ครอบครัวเราฐานะปานกลาง ทำให้ต้องอดออมกันมาก ๆ ตัวเองพยายามแบ่งเบาภาระของครอบครัว อาจไม่ได้ออกไปทำงานหารายได้พิเศษ แต่ก็ช่วยงานบ้านทุกอย่าง
คุรุทายาท : ที่จริงสนใจอยากเรียนทางนิติศาสตร์ แต่เนื่องจากพี่น้องเยอะ ก็ไม่ติดยึด เรียนอะไรก็ได้ที่จบมาแล้วได้ทำงานเลย และมีทุนการศึกษา, ณ เวลานั้น ช่วง ม.6 มีโครงการ “คุรุทายาท” ตอนนั้นไม่คิดเยอะ คิดแค่ว่า ทำอย่างไรจะช่วยครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด อยากให้น้องมีโอกาสได้เรียนด้วย วิทยาลัยฯ อยู่ใกล้บ้าน ขี่มอเตอร์ไซด์ไปแค่ 2 กม. เรียนเสร็จรีบกลับมาทำงานบ้าน พ่อแม่ก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ เพราะอยากให้รับราชการ ถึงจะไม่ได้รักสายนี้ตั้งแต่ต้น แล้วเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่โลดโผน โดยมีจุดมุ่งหมายว่า “เรียนแล้วมีงานทำ” จึงตัดสินใจเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา ได้รับทุนตลอดจนจบ, ถึงจะเริ่มจากไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจให้ไปเรียนมากนัก ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนหัวดี แต่มี “ความพยายาม” รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ ต้องเรียนควบคู่ไปกับการเล่นกีฬา และต้องทำให้ดีที่สุด
นักกีฬา : ช่วงเรียน สนใจเรื่องกีฬา เล่นได้หลากหลาย อยากลอง ทั้ง ฟุตบอลหญิง ตะกร้อ ฯลฯ พอจบมัธยมก็เลิกไป, แต่ปิงปองพอดีมีต้นทุนมาก่อน เคยเล่นตั้งแต่สมัยประถม โรงเรียนมีโต๊ะ ได้ลองไปตีระหว่างรอรถมารับกลับบ้าน พอเรียน ม.1 ปิงปอง เป็นวิชาบังคับ ซึ่งชอบอยู่แล้ว เล่นจนติดทีมโรงเรียน, ตอน ม.4 เคยเป็นตัวแทนนักกีฬา เขต 2 ไปแข่งที่เชียงราย และเล่นต่อมาเรื่อย ๆ เรียน ป.ตรี เริ่มชอบแบดมินตัน เป็นกีฬาใช้แขนเหมือนกัน แล้วมีช่วงนึงสนใจเทนนิสด้วย จนโค้ชบอกว่า การเล่นปิงปองไปกับเทนนิสไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เลือกเล่นปิงปองและแบดฯ จนมีคนแนะนำให้ไปคัดตัวเป็นนักกีฬาแบดฯ แต่ไม่ไป เพราะมีต้นทุนค่าอุปกรณ์สูง และได้เป็นตัวแทนไปแข่งปิงปองในกีฬาราชภัฏฯ ซึ่งเวลานั้น มีอยู่ 36 แห่ง ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ
ครูประถม : โครงการคุรุทายาท รอให้พวกเราเรียนจบ แล้วจัดสอบร่วมกันทั้งหมด เพื่อเลือกว่าจะได้ไปบรรจุที่ไหน โดยนำตำแหน่งว่างจากทั่วประเทศมาจัดอันดับ ใครได้คะแนนดีกว่า ก็ได้เลือกตามลำดับที่ว่า ส่วนตัวเองได้จังหวะพอดี กลับไปบรรจุที่แปดริ้ว เป็นครูในสังกัด เดิมเรียกว่า สปช. (สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ) แต่ไปอยู่ชายขอบ ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง สมัยก่อน ยังเป็นถนนลูกรัง มีรถโดยสารแค่วันละสองเที่ยว ครั้งแรกเริ่มสอน ระดับ ป.2 ทุกวิชา ต่อมาได้ปรับเป็น โรงเรียนขยายโอกาส มีถึง ม.3 ก็ได้ไปช่วยสอนบ้าง
จุดเปลี่ยนชีวิต : ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์สอนมาว่า ถ้ามีโอกาส “อย่าหยุดเรียน” เพราะวิชาชีพนี้ ต้องพัฒนาตัวเอง ในรูปแบบ “มีเครื่องการันตี” ด้วย ระหว่างทำงานจึงเรียนต่อระดับปริญญาโทควบคู่ไปด้วย โดยใช้เวลาช่วงวันหยุดเข้ามาเรียน ม.ประสานมิตร ทุกวันศุกร์ ต้องให้คุณพ่อขับรถจากตัวเมืองไปรับ เพื่อให้ทันเวลาไปเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นแบบนี้จนเรียนจบ และหลังจากทำงานเป็นครูระดับประถมศึกษา ประมาณ 5 – 6 ปี อาจารย์ที่เคยแนะนำให้เรียนเมื่อมีโอกาส ท่านได้มาเป็นอธิการบดีที่ราชภัฏธนบุรี แจ้งข่าวว่า สถาบันฯ เปิดรับโอนอาจารย์ในสาขาจิตวิทยา ให้ลองมาสอบ พอดีเราเรียนปริญญาโท จิตวิทยาและการแนะแนว เป็นจังหวะและโอกาส ทำให้ได้มาสอบ และโอนมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน

ประถม – อุดมศึกษา : สอนเด็กประถม กับ เด็กระดับอุดมศึกษา แตกต่างกันมาก, อาจารย์ที่อยู่คณะครุศาสตร์ มีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี ขณะที่เราเข้ามาตอนอายุ 26 – 27 เกือบจะเป็นรุ่นลูกท่าน ต้องปรับตัว เรียนรู้ พอได้ประสบการณ์การสอน ผู้บริหารส่งให้ไปอยู่ สำนักกิจการนักศึกษา ด้วยเหตุที่เห็นว่าอดีตเคยเป็นนักกีฬา รวมถึงจบมาทางด้านจิตวิทยาแนะแนว จะได้ไปช่วยงานในส่วนนั้น ทำงานเรื่องการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมของนักศึกษา เป็นทั้งครูแนะแนว และเป็นโค้ชปิงปอง
งานสายบริหาร : ประมาณปี 2546 ท่านคณบดีคณะครุศาสตร์ ชักชวนให้มาเป็นรองคณบดี ทางด้านกิจการนักศึกษา เริ่มทำงานด้านบริหาร หลักสูตร เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อย ๆ แบบไม่มีข้ามขั้นอะไรเลย เคยประธานหลักสูตร, รองคณบดีสองสมัย จนมีจังหวะได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ อยากให้เดินสายบริหารทางคณบดีบ้าง จนได้รับการสนับสนุน ผลักดันให้เป็น คณบดีคณะครุศาสตร์ 2 วาระ 8 ปี และยังได้รับความอนุเคราะห์ จากท่านอธิการบดี ชวนมาทำ รองฯ วิชาการ 1 วาระ พอเมื่อท่านฯ ครบวาระ คณะผู้บริหารได้มีการสรรหาอธิการบดี ถือว่าเป็นจังหวะและดวง ทำให้ได้มีโอกาสมาทำหน้าที่ และอยู่ในช่วงรักษาการ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2567 จนได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568
ราชภัฏธนบุรี : ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยู่ตลอด คือ เราอยู่กันแบบพี่น้อง ยึดเรื่องความซื่อสัตย์ คุณธรรม จริยธรรม ในส่วนนี้น่าจะเป็น เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่แท้จริงของธนบุรีฯ ทำให้เราอยู่กันแบบค่อนข้างอบอุ่น ไม่ว่าสายสอนหรือสายสนับสนุน รวมถึงพนักงานจากภายนอก เช่น แม่บ้าน พี่ ๆ รักษาความปลอดภัย ฯลฯ ทุกคนต่างเป็นฟันเฟืองที่มีความสำคัญต่อกลจักรทั้งหมด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร แล้ววัฒนธรรมนี้ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ยังคงอยู่ มีความยั่งยืน ส่วนในเชิงของการพัฒนารูปแบบ ในเรื่องของการบริหารจัดการ การจัดการเรียน การสอน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน มีการพัฒนาทั้งทางกายภาพและบรรยากาศ ณ ปัจจุบันสิ่งที่ธนบุรีฯ ต้องให้ความสำคัญ คงเป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การรีแบรนดิ้ง เพื่อให้เป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากคนรุ่นใหม่ ๆ
รากเหง้าความเป็นครู : คลุกคลีอยู่กับสายการศึกษาค่อนข้างเยอะ ทำให้ได้เห็นความมีน้ำใจ ความขยัน ความอดทน ของพวกเรา อันเป็นจุดขาย ถึงแม้ธนบุรีฯ จะเล็ก แต่รากเหง้าของเราเป็นวิทยาลัยครู ในด้านการศึกษาเราไม่แพ้ใคร แล้วในความเล็กก็ทำให้เกิดความอบอุ่น มีความใกล้ชิดทั้งระหว่างคณาจารย์และลูกศิษย์ ตลอดจนพนักงาน ขณะเดียวกัน จากรากเหง้า ก็พัฒนา จนมีคณะอื่น ๆ ที่พยายามตอบโจทย์ความต้องการในสังคม อันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เนื่องจากราชภัฏฯ เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อตอบโจทย์ของชุมชนและท้องถิ่นจริง ๆ อีกทั้ง สมุทรปราการ เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญ การสร้างหลักสูตรต่าง ๆ จึงต้องสอดคล้องกับพื้นที่ เพื่อทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นอย่างกลมกลืน ไม่ให้เกิดความแปลกแยก และยังเกิดการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืนอีกด้วย
2 in 1 : ที่ธนบุรี มีขนาดค่อนข้างเล็ก พื้นที่เพียง 5 ไร่กว่า ๆ จนเมื่อต้นปี 2540 ได้รับพื้นที่ใน จ.สมุทรปราการ จากกรมธนารักษ์ 268 ไร่ จึงมีการเปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ เติบโต มีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งในส่วนของสถานที่และบุคลากร โดยกระทรวงอุดมศึกษาให้นิยามว่า ราชภัฏธนบุรีทั้งสองแห่ง เป็น “พื้นที่เดียวกัน” แต่มีสองพื้นที่ จึงมีความพิเศษ จนหลายแห่งก็พยายามมาศึกษาวิธีการทำงานของเรา อย่างเช่น สายพละศึกษา เรียนที่สมุทรปราการตั้งแต่เริ่มจนจบ เพราะสถานที่มีความพร้อมในการปฏิบัติกิจกรรม หรือการเรียนบางส่วนที่ต้องอาศัยความพร้อมในเรื่องห้องปฏิบัติการ ก็มีรถบริการคอยรับส่ง พร้อมที่จะเดินทางได้ทั้งสองที่ และยังเป็นการทำให้นักศึกษาได้รู้ถึงว่าจุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่นี่ เราพยายามปรับให้รับรู้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่ไหนคุณภาพไม่ได้แตกต่างกัน เป็นคนของราชภัฏธนบุรีเหมือนกัน

วิกฤติสร้างโอกาส : ช่วงโควิด เราช่วยสนับสนุนการรักษาผู้ป่วย โดยใช้พื้นที่ให้เป็นโรงพยาบาลสนาม ตอนนั้นเรายังทำได้แค่นี้ เพราะยังไม่มีสาขาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ และจากการช่วยได้แค่พื้นที่ ก็เป็นโอกาส เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของประเทศ ในเรื่องความขาดแคลนพยาบาล โดยเราไม่ได้ตั้งใจจะผลิตบุคลากรเป็นจำนวนมาก เพราะอยากช่วยสนับสนุนในเรื่องชุมชนท้องถิ่น แต่อยากให้การผลิตของเรา “มีคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ” จึงได้เริ่มพัฒนาหลักสูตร ประกอบกับการเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2565 จนกระทั่งได้ก่อตั้งเป็นคณะพยาบาล โดยทางสภาการพยาบาล ได้มาประเมินเรา และให้เปิดรับรุ่นแรก 40 คน ในปี 2568 ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้ละทิ้ง เรายังผลิตทางสายสังคมศาสตร์ มีวิทย์ฯ บ้าง เกษตรฯ บ้าง ซึ่งทางโน้นจะโดดเด่นในเรื่องประมง เราก็เข้าไปร่วม เรามีพันธมิตรที่ดี อย่าง “มูลนิธิพระดาบส” เข้าไปร่วมมือและเชื่อมโยง รวมถึง “รามาจักรี” เพราะเราอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยพัฒนาในเรื่องชุมชนของสมุทรปราการ
ครอบครัวเดียวกัน : ชีวิตมีความสุขกับครอบครัวทั้งสองแห่ง ครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้อง และครอบครัวที่นี่ ซึ่งให้โอกาส ให้ความสุข ส่งผลให้มีการเชื่อมโยง ยังมีพี่น้องอีกเยอะที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อน กระแสสังคมตอนนี้มีความต้องการพัฒนาในระดับอุดมศึกษา ขณะที่จำนวนผู้เรียนลดลง, ท่ามกลางกระแสการยุบ การควบรวม ต้องคอยฟังข่าวสาร แล้วจะแปรเปลี่ยนอย่างไรเพื่อทำให้สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน เพราะนี่คือ “ครอบครัวเดียวกัน”, เมื่อก้าวเข้ามา ไม่ว่าจะในสถานะไหน ถ้าเป็นนักศึกษา เราดูแลเหมือนลูกหลาน มีความเชื่อมโยงกับผู้ปกครอง เมื่อรับลูกเขามาแล้ว ต้องดูแลยิ่งกว่าลูกของเรา, เราต้องดูแลทุกคนในครอบครัวใหญ่นี้ ให้มีความรู้สึกว่า สุขด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน เรากำลังพัฒนาทุกอย่าง เพื่อตอบโจทย์กับสิ่งที่เป็นความต้องการของสังคม อยากให้มองที่นี่ว่า เป็นส่วนหนึ่งในกลจักรของการขับเคลื่อนสำหรับ “ชุมชนท้องถิ่น” จริง ๆ
เริ่มจากตัวเอง : คนทำงานร่วมกับเรา เหมือนเป็นพี่เป็นน้อง สิ่งที่กระทบกับเขา ย่อมกระทบกับเราด้วย ในทางตรงข้าม ถ้ามากระทบกับเรา เขาคงสัมผัสได้ว่า เราก็มีความทุกข์ กระทบกับเขาด้วยเช่นกัน พวกเราจึง สุข ทุกข์ ไปด้วยกัน, ณ ตรงนี้ มาช่วยกันดีกว่า แต่จุดเริ่ม “ต้องเกิดจากตัวเราก่อน” ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อสะท้อนในเรื่องความคิด ทัศนคติ การปฏิบัติ จนทุกคนสัมผัสได้ว่า “ต้องช่วยกัน”
กาย – จิต : ก็เหมือนคนทั่วไป ย่อมมีเรื่องมากระทบบ้าง ถ้ารู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา จะก่อให้เกิดความทุกข์ ตามมาด้วยสภาพร่างกายที่ย่ำแย่, ต้องปรับเปลี่ยนความคิดของเราก่อน “ปัญหา คือ แบบฝึกหัด อุปสรรค คือ ความท้าทาย” ทำยาก ยากมาก แต่ต้องฝึก ต้องเรียนรู้ เพราะถ้ายังปล่อยให้ปัญหาและอุปสรรคมาครอบคลุมจิตใจ เราก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้น, ชีวิตยังมีอีกหลายเรื่อง ยังมีอีกหลายคนซึ่งสำคัญกับชีวิตเรา คอยช่วยกันขับเคลื่อน ต้องค่อย ๆ แก้ แบบฝึกหัดชีวิต ให้ค่อย ๆ ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไป เชื่อแน่ว่า ทุกปัญหามีทางออก
ที่ปรึกษา : คนเราเดินลำพังไม่ได้ ต้องอยู่ร่วมกันเป็นทีม คอยดูแลซึ่งกันและกัน แล้วอย่างน้อยต้องมีที่พึ่งทางใจ โชคดีมีผู้ใหญ่เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เมตตาเรามาก ๆ เป็นเหมือนคนในครอบครัว คอยให้กำลังใจ คอยสนับสนุน, ท่านบอกเสมอว่า “ถึงจะช่วยไม่ได้ ก็ยังยินดีรับฟัง” อย่างน้อยทำให้เราได้รับการปลดปล่อย คลายความเครียดไปได้ หรือบางครั้ง ขณะที่เรายังมองไม่เห็นหนทางว่าจะทำได้ แต่ท่านเห็น บอกเสมอว่า “เอี้ยงทำได้”
เวลาของเราเท่ากัน : พอถึงวัยกลางคน ปัญหาสุขภาพเริ่มมีเข้ามา ต้องทบทวนการดูแลตัวเองให้มากขึ้น ยอมรับว่า ได้แค่คิด ทำได้ยาก ยิ่งช่วงนี้งานเยอะมาก ต้องเรียนรู้จากการดูภาพรวมของมหา’ลัย การบริหารจัดการเรื่องเวลาอาจยังไม่ดีนัก อยู่ที่นี่จนค่ำมืด แต่อีกเดี๋ยวคงต้องปรับ เพราะ “ทุกคนมีเวลาเท่ากัน” จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ มันคือการบริหารจัดการของเราที่ไม่ดีเอง คงต้องย้อนกลับไปคิดทบทวน ยิ่งเราอาสามาช่วยขับเคลื่อนผลักดันงานในองค์กร ถ้าร่างกายไม่พร้อมคงทำไม่ได้ อย่างน้อยต้องกลับไปขบคิดว่า “การดูแลรักษาสุขภาพ ต้องไม่ใช่เป็นแค่ความคิด ต้องลงมือทำด้วย” ที่ผ่านมาชอบเรื่องลีลาศ จะเข้าร่วมกิจกรรมตลอด รวมถึงการเต้นแอโรบิค ก็มีบ้าง และยังชอบงานบ้าน ทำความสะอาด ปรับเปลี่ยนบ้าน ทุกวันหยุดจะกลับไปแปดริ้ว ได้ปั่นจักรยาน ดูแลสุนัขที่เลี้ยงไว้หลายตัว, พยายามเรียนรู้งานช่างเบื้องต้น อะไรที่พอจะทำเองได้บ้าง เป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขค่ะ


